บทที่ 40 ความลับไม่อาจบอก (1)
“นามของเจ้า” ซูเฉินสอบถามกับปักษาสาว
“นกขมิ้นเปลวเพลิง” หญิงเผ่าปักษาตอบอย่างเชื่อฟัง แววตาของนางเต็มไปด้วยความเกรงกลัว
เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะนางจะไม่กลัว นางถูกซูเฉินเกลียดชังตั้งแต่เริ่มแรก แต่หลังจากการทดลองทั้งหมดที่เกิดขึ้น ความโกรธแค้น ความเกลียดชัง และความหยิ่งยโสของหญิงสาวเผ่าปักษาก็ได้กลับกลายเป็นความหวาดกลัว
กระทั่งการลงโทษที่สาหัสที่สุดก็คงจะไม่สามารถทำให้นางรู้สึกกลัวได้ถึงเพียงนี้ แต่การทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าของซูเฉินนั้นทำได้สำเร็จ
ไม่ใช่เพราะความทุกข์ทรมาน แต่เป็นเพราะความคิดของซูเฉินเกี่ยวกับชีวิต
ในสายตาของนักวิจัยแล้ว ทั้งหมดนี่ถือว่าเป็นแรงจูงใจสำหรับความคืบหน้า แต่ในสายตาของนกขมิ้นเปลวเพลิงแล้ว การถูกช่วงชิงชีวิตไปนั้นสยดสยองเสียยิ่งกว่าการทรมานที่โหดร้ายที่สุดเสียอีก ชีวิตนั้นไร้ความหมายในมือของซูเฉิน เผ่าปักษาเป็นเหมือนกับถุงใส่เนื้อไร้ค่าที่ถูกตีตราและแบ่งแยกออกตามการใช้งาน
ชีวิตไม่ใช่ชีวิตอีกต่อไป มันได้กลายเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบหนึ่งของฟันเฟืองเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยเช่นนี้ได้สร้างผลผลิตออกมาด้วย
นกขมิ้นเปลวเพลิงนั้นได้อยู่ในเหตุการณ์ที่ซูเฉินแยกชิ้นส่วนวิชาอาร์คาน่าออกมาจากร่างของชาวเผ่าปักษา เก็บมันไว้ และกระทั่ง…… เลียนแบบวิชาอาร์คาน่าที่บรรจุอยู่ข้างใน
นี่ทำให้ความเข้าใจของนกขมิ้นเปลวเพลิงกลับตาลปัตรและกลายเป็นเหมือนว่าโลกของนางกำลังจะล่มสลายลงรอบกาย
นั่นคือคำตอบว่าทำไมตอนนี้นางจึงเหลือบมองซูเฉินด้วยความเกรงกลัวราวกับว่าเขาเป็นปีศาจน่าขนลุก แล้วนางจะยังมีความกล้าต่อต้านซูเฉินได้อย่างไร ?
“นกขมิ้นเปลวเพลิงหรือ ชื่อไม่แย่เลยนะ” ซูเฉินบ่นพึมพำ
นั่นไม่ใกล้เคียงกับการเยินยอเลยสักนิด เผ่าปักษาส่วนมากนั้นมีชื่อที่ไพเราะงดงาม พวกเขามีศาสนาที่แสวงหาความสวยงาม ผู้คนมากมายมองพวกเขาเทียบได้กับความสูงส่งและสง่างาม
แต่ในสายตาของซูเฉินแล้ว พวกเขาอาจดูสูงส่งแต่พวกเขานั้นไม่ได้สง่างามอย่างแน่นอน เผ่าปักษานั้นจะว่าดุร้ายก็ดุร้ายเช่นกันเมื่อมาถึงเรื่องของการฆ่าแกงมนุษย์
“อย่างที่เจ้าเห็น ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญและเป็นมนุษย์คนหนึ่งผู้ชอบวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ในสถานการณ์ปกติเจ้าจะต้องทุกข์ทรมานเช่นเดียวกันกับเพื่อน ๆ ของเจ้า หลังจากที่เจ้าส่งต่อทุกอย่างที่ได้เรียนรู้มาให้กับข้า ข้าก็จะฆ่าเจ้าเสีย ทว่า… เจ้าพอจะเดาได้หรือไม่ล่ะว่าทำไมข้าถึงยังไม่ทำ ?” ซูเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าเขาจะยิ้มด้วยความใจดี นกขมิ้นเปลวเพลิงก็ยังคิดว่ามันน่าหวาดกลัวเช่นเดิม
นางตัวสั่นเทาและไม่ยอมปริปากแม้แต่น้อย
ซูเฉินหน้าบูดบึ้ง “การรู้วิธีที่จะเกรงกลัวนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่การสูญเสียความสามารถที่จะตอบสนองต่อสถานการณ์นั้นคือหายนะ การกระทำของเจ้าออกนอกลู่นอกทางไปหน่อยนะแม่นางเผ่าปักษา นี่ไม่ใช่ทางที่เจ้าควรจะมอง เจ้าไม่สามารถปราบข้าได้ ข้ารู้ว่าเจ้าหวาดกลัวเพียงไร แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่เจ้าแสดงออกมาตอนนี้ ถ้าหากเจ้าพยายามจะโกหกข้าอีกครั้ง ข้าจะพาเจ้ากลับไปไว้ยังที่ทำงานวิจัยอีก”
นกขมิ้นเปลวเพลิงนิ่งงัน สักพักนางจึงพูดขึ้น “ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ฆ่าข้า อาจเป็นเพราะ… เจ้าทำมันเพื่อ… สิ่งนั้น…”
นางมองลงไปยังร่างกายของตัวเอง
ซูเฉินเข้าใจว่านางหมายถึงสิ่งใด
นอกจากปีกคู่ใหญ่แล้วเผ่าปักษาก็ดูเหมือนกับมนุษย์ทั่วไปและพวกเขาก็มีเสน่ห์น่าดึงดูดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มนุษย์หลายคนจึงสนใจในตัวพวกเขาและการกระทำชำเราก็เกิดขึ้นไม่น้อย
นกขมิ้นเปลวเพลิงมองซูเฉินเป็นคนเช่นนั้นไปด้วยอย่างเห็นได้ชัด
มันทำให้เขาไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
เขาพูดขึ้น “ข้าไม่ใช่คนต่ำตมเช่นนั้น ที่ข้าไม่ได้ฆ่าเจ้าเป็นเพราะมีสิ่งหนึ่งที่ข้าสงสัยเป็นอย่างมากก็เท่านั้น เจ้าโน้มน้าวใจตระกูลหรงให้ทรยศพวกเราได้ยังไง ?”
ในฐานะตระกูลจักรพรรดิอสูร สถานะของพวกเขาท่ามกลางเผ่ามนุษย์นั้นไม่ธรรมดาทีเดียว หากว่าพวกเขาเป็นศัตรูของตระกูลจู พวกเขาคงจะไม่ถูกกำจัดออกไปถ้าประมาทถึงเพียงนี้ ต่อให้เหมืองต่าง ๆ ของพวกเขาถูกขุดไปหมดแล้ว พวกเขาก็สามารถหาทำเลใหม่และเตรียมการอีกครั้งได้ ทว่าเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่มีทางเลยที่อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยจะปล่อยให้พวกเขาหลุดรอดไปได้ !
แล้วตระกูลหรงตอบตกลงที่จะหักหลังมนุษยชาติไปทำไมกัน ?
ข้อแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์นั้นมากกว่าแค่ทางกายภาพ เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะสามารถมีชีวิตที่ดีมีความสุข แม้ว่าคุณจะสลับฝ่ายพันธมิตรข้ามสายพันธุ์ไปโดยสิ้นเชิงก็ตาม
ตลอดเวลากว่าหลายหมื่นปีของการต่อสู้ระหว่าง 5 เผ่าพันธุ์ พร้อมกลุ่มกบฏติดกำลังที่มีจำนวนน้อยต่างกับเผ่าอื่น ๆ ลิบลับ ไม่มีผู้ใดคิดตลบหลังเผ่ามนุษย์ทั้งสิ้นเว้นเสียแต่ว่าพวกเขาบีบคั้นให้ต้องทำ โดยเฉพาะเผ่าที่แตกต่างกับพวกเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พวกเขาจะถูกบีบบังคับให้เข้าสู่สังคมที่ต่างจากเดิมไปมากทำให้การใช้ชีวิตนั้นลำบากยากเย็นยิ่งนัก
รวมไปถึงตระกูลหรงที่ตัดสินใจร่วมมือกับเผ่าปักษาผู้เกรงกลัวคนต่างเผ่าอย่างถึงที่สุด
แม้ว่าเผ่าปักษาจะมีกำลังกายที่อ่อนแอ พวกเขาก็สุดแสนจะภาคภูมิใจและทุกคนต่างก็ดูถูกเผ่าอื่น ๆ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะประวัติศาสตร์ของเผ่าปักษานั่นเอง
กระทั่งช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขา เมื่อครั้งที่เทพอสูรบรรพกาลออกอาละวาด เผ่าปักษาก็ยังครอบครองสถานะที่สูงส่งกว่าผู้อื่น ขณะที่เผ่ามนุษย์กับเผ่าท้องสมุทรถูกสวาปามราวกับอาหารและเผ่าคนเถื่อนต้องคอยรับใช้เป็นผู้คุ้มกันของอสูร เทพอสูรบรรพกาลไม่ได้มองเผ่าปักษาเป็นอาหารเพราะร่างกายที่ผอมแห้งและการบินที่รวดเร็วของพวกเขา พวกเขาจึงถูกมอบหมายหน้าที่ให้ทำความสะอาดเทพอสูรบรรพกาล แม้ว่าเทพอสูรบรรพกาลจะมีความสามารถในการทำความสะอาดตัวเอง ทว่าพวกเขาก็เพลิดเพลินไปกับการดูแลเป็นพิเศษเช่นนี้
นี่คือสิ่งที่หวังโต้วซานหมายถึงตอนที่เขาบอกว่า “ชาวปักษาเหล่านั้นก็เหมือนกับอาหารที่บินไปมาและพวกเขาใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของพวกพ้องตนราวกับว่าเป็นของตัวเอง”
แต่ที่พวกเขาครอบครองสถานะสูงสุดในเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหมดในยุคสมัยนั้นก็เป็นข้อเท็จจริง ช่วงเวลานี้เองที่พวกเขาเริ่มพัฒนาความภาคภูมิใจหยิ่งผยองของพวกเขา
ความเกลียดชังต่อเผ่าอื่นที่รุนแรงนั้นเห็นได้จากการที่ชาวปักษาส่วนมากมองว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะร่วมมือเป็นฝ่ายเดียวกันกับเผ่ามนุษย์น้อยที่สุด เหล่าตระกูลที่ธรรมดาสามัญที่สุดก็ยังไม่ทำเช่นนี้ และเรากำลังพูดถึงตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูรอยู่ การกระทำของตระกูลหรงจึงเป็นเรื่องลึกลับยิ่งนัก
จูอวิ๋นเยี่ยนได้ถามข้อมูลจากหรงเซียงเสิ่งและคนอื่น ๆ แต่คำตอบเดียวที่นางได้มาคือการตัดสินใจนี้เป็นของบรรพชนของตระกูลหรง หรงกูลั่ว
ส่วนเหตุผลที่เขา ผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินที่ขาดอีกเพียงครึ่งก้าวไปสู่ด่านมหาราชันลงมือทำเช่นนั้น… ไม่อาจมีใครล่วงรู้ได้ !
ตามปรกติแล้ว ตระกูลนั้นมีไว้เพื่อรับใช้คนเบื้องบนเท่านั้น บรรพชนคือบุคคลที่คอยสนับสนุนทั่วทั้งตระกูล พวกเขาจึงกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของตระกูลไปด้วย
กระทั่งหรงเซียงเสิ่งและคนอื่น ๆ คัดค้านทางเลือกของหรงกูลั่ว แต่ต่อให้พวกเขาพูดคัดค้านออกไปก็ไม่ได้อะไร พวกเขาจึงได้แต่ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
ตอนนี้เมื่อหรงกูลั่วได้หลบหนีไปแล้ว คำถามนี้อาจจะยังคงอยู่ตลอดไปก็เป็นได้
หลังจากที่นกขมิ้นเปลวเพลิงถูกส่งกลับไปยังเมืองแล้ว จักรพรรดิหลีหวู่อี้ได้ส่งคนไปยังอาณาเขตเก่าของตระกูลหรงเพื่อสืบค้นว่าทำไมพวกเขาจึงเลือกที่จะทรยศเผ่ามนุษย์ แต่พวกเขาก็หาคำตอบไม่พบ เช่นเดียวกับความคิดของนกขมิ้นเปลวเพลิงที่ถูกรบกวนโดยวิชาลับที่จะทำงานด้วยตัวเองเมื่อนางถูกจับตัวได้และลบความทรงจำของนางบางส่วนออกไปด้วยระหว่างกระบวนการทำงานของมัน
เมื่อได้ยินคำถามของซูเฉิน นกขมิ้นเปลวเพลิงก็ตอบ “ข้าก็ไม่อาจรู้คำตอบได้เช่นกัน”
“ข้ารู้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่คืนตัวเจ้าให้กับข้าหรอก แต่เพียงแค่เพราะความทรงเจ้าถูกลบหายไปก็ไม่ได้แปลว่าข้าจะตามหาความจริงไม่ได้ อย่างไรแล้วความทรงจำเดียวที่ถูกลบออกไปนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่ความทรงจำอื่นใด ข้าพูดถูกหรือไม่ ?” ซูเฉินถามอีก
นกขมิ้นเปลวเพลิงตะลึงงัน “แล้วยังไงล่ะ”
“เล่าเรื่องตัวตนของเจ้าให้ข้าฟังก่อนสิ”
นกขมิ้นเปลวเพลิงยังคงงุนงงอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับโดยดูไม่เต็มใจนัก “ข้าเป็นนักร่ายมนตร์จากรังเสียงละไม”
รังทั้งหลายนั้นเป็นการแบ่งแยกภายในสังคมเผ่าปักษา คล้ายคลึงกับเผ่าของคนเถื่อนและอาณาจักรของมนุษย์ นักร่ายมนตร์จะครอบครองสถานะที่ไม่เหมือนใครเช่นเดียวกันกับที่วิญญาณหลงทางหรือนักพยากรณ์กระดูกทำในวัฒนธรรมเผ่าคนเถื่อนและความสามารถที่แปลกประหลาด นักร่ายมนตร์ สามารถขับร้องบทเพลงที่ชำระล้างจิตของคนให้บริสุทธิ์ ทำให้พวกเขามีสติปัญญาที่หลักแหลมยิ่งขึ้น และเพิ่มพูนพลังจิตของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง บทเพลงเหล่านี้ถูกใช้โดยเฉพาะกับการรับมือการโจมตีทางจิต พวกเขาอาจเปรียบได้กับนักบวชในแง่มุมหนึ่งและพวกเขาเป็นของหนึ่งใน 3 อาชีพพิเศษหลักของเผ่าปักษา
การที่นกขมิ้นเปลวเพลิงเป็นนักร่ายมนตร์นั้นอธิบายได้ทันทีว่านางสามารถลบล้างการควบคุมหุ่นเชิดของจูเซียนหลิงได้อย่างไร อย่างไรแล้วเผ่าปักษาก็ก้าวข้ามมนุษย์ทั้งในด้านการใช้พลังต้นกำเนิดและความเข้าใจในจิต นอกจากนี้ นักร่ายมนตร์มักจะมีพรสวรรค์ในลักษณ์เหล่านั้นด้วย
แต่ทำไมเผ่าปักษาจึงส่งนักร่ายมนตร์มาไกลถึงอาณาเขตเผ่ามนุษย์กันล่ะ ?
เพื่อปลดปล่อยทาสมนุษย์ธรรมดาทั่วไปให้เป็นอิสระเท่านั้นเองหรือ ?
ซูเฉินไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็พูด “งั้นความทรงจำของเจ้าก็ถูกลบออกไปโดยวิชาลับหรือ”
“ใช่” นกขมิ้นเปลวเพลิงตอบอย่างว่านอนสอนง่าย
“นักร่ายมนตร์นั้นไม่ใช่นักรบ และเผ่าปักษาก็ไม่ได้พึ่งพาโลหะเพื่อรักษาสังคมของพวกเขาไว้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ต้องสรรสร้างวิชาลับแบบนี้ขึ้นมาแต่แรก”
“วิชาลับนี้จัดการด้วยช่วงเวลาหนึ่งหรือด้วยอะไรบางอย่าง ข้าหมายถึง หากว่าวิชานี้สามารถลบความทรงจำของเจ้าได้ มันก็ควรจะทำเช่นเดียวกันและด้วยกฎแบบเดียวกันสิ”
“……ด้วยคำเฉพาะน่ะ ข้าจำไม่ได้ว่าคำเหล่านั้นที่กำหนดไว้เฉพาะคืออะไรบ้างไม่ว่าพวกมันจะเกี่ยวเนื่องกันอย่างไรก็ตาม ศีรษะของข้าจะปวดร้าวทันทีที่พยายามนึกถึงมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับข้า สมองของข้าไม่ยอมให้ข้านึกคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับความทรงจำเหล่านั้นเพื่อปกป้องตัวข้าเอง” นกขมิ้นเปลวเพลิงตอบอย่างหมดหนทาง
“อย่างนี้เอง” ซูเฉินลูบคางของเขา “งั้นอย่างน้อยเจ้าก็ควรจะรู้ว่าคำเหล่านี้และเนื้อหาของพวกมันมีต้นตอมาจากที่ไหนสิ ใช่ไหม”
นกขมิ้นเปลวเพลิงพยักหน้า “นายข้า หัวหน้าเผ่าเมฆาใสระยับ”
“แล้วนางใช่คนที่ส่งเจ้ามายังอาณาจักรมนุษย์เพื่อตามหาตระกูลหรงหรือไม่ หรือเจ้ามาด้วยตัวของเจ้าเอง ?”
นกขมิ้นเปลวเพลิงตอบหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ นางมอบภารกิจกับให้ข้าและข้าก็ไปเพื่อทำให้สำเร็จ นั่นคือสิ่งที่นำพาข้ามายังจุดนี้”
“งั้นก็ไม่ใช่หัวหน้าเผ่าของเจ้าที่หวังให้เจ้ามาที่ตระกูลหรงสิ”
นกขมิ้นเปลวเพลิงผงกหัวของนาง
“งั้นเป้าหมายของภารกิจนี้ก็ไม่ใช่ตระกูลหรง แต่ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งพวกเราก็เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เจ้าแค่บังเอิญมาพบปะกับตระกูลหรงเข้าระหว่างที่ทำภารกิจของเจ้า ข้าเข้าใจถูกไหม”
นกขมิ้นเปลวเพลิงพูดด้วยความก่อกวน “ข้าคิดว่างั้น”
ซูเฉินถาม “แล้วเจ้าหาที่นี่เจอได้ยังไง”
“นั่นเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำที่ข้าเข้าถึงไม่ได้”
“งั้นหรือ……” ซูเฉินถูคางอีกครั้งและก้าวหลังและหน้าอยู่ไม่กี่ครั้งแล้วจึงถาม “เจ้าได้รับค่าจ้างเมื่อใด”
“เมื่อสามเดือนก่อน”
“และเจ้ามาถึงยังเมืองนภาลัยราบเมื่อไร”
“ราวหนึ่งเดือนก่อน”
“ตระกูลหรงและตระกูลจูเริ่มแสดงความเป็นปรปักษ์ต่อกันเมื่อไร”
“ครึ่งเดือนก่อนกระมัง”
“งั้นเจ้าก็ใช้เวลาแค่ครึ่งเดือนในการซื้อตระกูลหรงและโน้มน้าวพวกเขาให้ต่อสู้กับตระกูลจู เจ้าต้องกำจัดตระกูลจูเพื่อให้สำเร็จภารกิจหรือ ?”
“ข้าไม่รู้”
“ราคาที่เจ้าจ่ายเพื่อซื้อตระกูลหรงเกี่ยวข้องอะไรกับภารกิจของเจ้าไหม ?”
“ข้าไม่รู้”
“ราคาหรือสมบัติชนิดใดที่เพียงพอจะหว่านล้อมผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินจากตระกูลชนชั้นสูงสายเลือดจักรพรรดิอสูรให้ทรยศเผ่ามนุษย์ของตัวเองได้กัน ?”
“ไม่รู้สิ”
“เจ้าและพวกรวมกี่คนที่ถูกส่งมาจากรังเพื่อภารกิจนี้ ?”
“มีเพียงพวกข้า 3 คน”
“ก่อนที่เจ้าจะออกมา สิ่งของอะไรที่เจ้านำติดตัวมาด้วย”
“ของส่วนตัวของพวกเราเล็กน้อย แล้วก็…….”
นกขมิ้นเปลวเพลิงเริ่มกรีดร้องขณะที่นางแกว่งไกวศีรษะของตนไปมาและตกลงสู่ห้วงความทรมาน
“เป็นอะไรบางอย่างที่เจ้าพูดไม่ได้หรือ ?”
“ชะ-ใช่”
“เจ้ารู้ไหมว่าพวกมันอยู่ที่ใด ?”
“ไม่…… ข้านึกถึงความทรงจำที่เกี่ยวข้องไม่ได้เลย”
“แต่อย่างน้อยเจ้าก็รู้เรื่องนั้น ตอนที่เจ้าถูกจับกุม สมบัติเหล่านี้ไม่ใช่ของเจ้า ใช่ไหม ?”
ท่าทางนกขมิ้นเปลวเพลิงเปลี่ยนไปทันที