ตอนที่ 841 ตบหน้าราชันกึ่งระดับ
ฉัวะ!
เลือดสดๆ สาดกระเซ็น ลิ่นไท่เจินกรีดร้อง การโจมตีครั้งนี้ทำให้นางเจ็บหนัก ตื่นตระหนกเกินไป เกือบล้มหัวคะมำลงกับพื้น
การโจมตีเดียวเท่านั้นก็เกือบสังหารนางได้แล้ว สิ่งนี้ทำให้นางไม่อยากเชื่อ และไม่อาจยอมรับได้
เด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดถึงครอบครองความแข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวปานนี้ได้
“ไอ้เศษเดน!”
ลิ่นไท่เจินส่งเสียงหวีดแหลม เรือนผมขาวแผ่สยาย เลือดลมรอบกายพลุ่งพล่าน แขนขวาที่ขาดสะบั้นงอกออกมาใหม่ในชั่วขณะ แม้แต่รอยแผลที่ลึกจนเห็นกระดูกก็คืนสู่สภาพเดิมในชั่วพริบตาเช่นเดียวกัน
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
นางบันดาลโทสะ คิดว่าเมื่อครู่ตนเองประมาทถึงได้เกือบตกที่นั่งลำบาก ฉะนั้นจึงซัดโจมตีออกไปอีกครั้ง
ตูม!
ทั่วกายลิ่นไท่เจินเปล่งแสง กลิ่นอายพุ่งทะลุชั้นฟ้า ยื่นมือออกมา กระบี่วิญญาณสีม่วงสายหนึ่งปรากฏ ฝนกระบี่เจิดจรัสแตกซ่านออกมา
ห้วงอากาศแถบนี้ล้วนถูกฉีกขาด ส่งเสียงคร่ำครวญบาดหูหาใดเปรียบ
ไม่อาจไม่พูด ลิ่นไท่เจินแม้จะอยู่ในระดับกึ่งราชัน ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าดุดันเป็นที่สุด ครอบครองวิชาลับโบราณ ความสามารถดุดันเด็ดขาด
เมื่อสำแดงการโจมตีนี้ จักรวาลฟ้าดินปั่นป่วนสุดขีด แนวภูเขาในละแวกพันลี้ถูกคมกระบี่เกรี้ยวกราดเชือดเฉือนจนแตกสลายพังครืน สภาพการณ์น่าสยดสยอง
แต่ในเมื่อหลินสวินโจมตีออกไปแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะยั้งมือ!
“คว้าดารา!”
ทั่วร่างของเขาพลุ่งพล่านด้วยแสงเรืองรองสีอ่อน ดาบหักว่องไวดุจแสงกะพริบ ไหววูบกลางห้วงอากาศ ชั่วขณะนั้นราวกับดาราดวงแล้วดวงเล่าถูกเฉือนร่วง รัตติกาลนิรันดร์มาเยือน
ตูม!
เสียงปะทะสะเทือนเลือนลั่นฟ้าดิน ประดุจภูเขาไฟชนกัน
ชั่วขณะนั้นลิ่นไท่เจินถูกซัดปลิว ปากกระอักเลือด ผมขาวสยายกระเซิง ภาพลักษณ์ดูสะบักสะบอมผิดวิสัย “เป็นไปไม่ได้ นี่… เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
นางกรีดร้องอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไม่อยากเชื่อเข้าไปใหญ่ ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติมีอานุภาพน่ากลัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
การโจมตีครั้งแรก ก็ตัดแขนนางข้างหนึ่ง ทำให้นางเจ็บหนัก
การโจมตีครั้งที่สองนี้ ถึงขนาดทำให้นางถอยกรูด สะบักสะสะบอมเหลือทน
นี่เห็นได้ชัดว่าน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
ตูม!
ลิ่นไท่เจินจู่โจมออกไปอีกหน ทั่วสรรพางค์กายของนางราวไฟลุกโหม ยังคงไม่เชื่อว่าตนจะจนมุมอย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้ยามอยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง
ฝนกระบี่สีม่วงทั่วท้องฟ้าร่ายรำ ราวกับพายุฝนฟ้าคะนอง หอบม้วนเวิ้งฟ้าทั้งบนล่าง ไอดุดันเกรี้ยวกราดปกคลุมฟ้าดิน น่าสะพรึงหาใดเปรียบ
แม้เปลี่ยนคู่ต่อสู้เป็นราชันกึ่งระดับ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีระดับนี้ เกรงว่าคงไม่กล้ารับการโจมตีนี้ตรงๆ
ลิ่นไท่เจินก็นับว่ามีประสบการณ์ผ่านมาร้อยศึกตลอดชีวิต หนำซ้ำยังเคยสังหารราชันกึ่งระดับที่แท้จริงมาแล้ว นางมั่นใจในตัวเองอย่างยิ่งว่าการโจมตีครั้งนี้เพียงพอจะฆ่าผู้อยู่ในระดับกระบวนแปรจุติขั้นสูงสุดได้เกือบทั้งหมด!
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีระดับนี้ หลินสวินกลับไม่หลบหลีก ดาบหักหวดพาดห้วงอากาศ แหวกผ่านเบาๆ หนึ่งหน
“สอยจันทรา!”
ชั่วขณะนั้นราวกับจันทร์เพ็ญดวงหนึ่งโผล่พ้นเหนือทะเลมรกต แสงเรืองรองส่องประกายเงินยวงทั้งพิสุทธิ์และว่างเปล่า ท่วมท้นทั่วฟ้าดิน
ตูม!
ฝนกระบี่สีม่วงทั่วท้องฟ้าพลันสลายกลายเป็นละอองแสงสีจางในบัดดล ถูกแสงจันทร์พิสุทธิ์กลืนกิน
ในขณะเดียวกันลิ่นไท่เจินกระอักเลือดอีกครั้ง นางเจ็บปวดไปทั่วร่าง ผมขาวทั้งหัวถูกฟันร่วงไปไม่รู้กี่เส้น เกือบกลายเป็นคนหัวล้าน
สิ่งนี้ทำให้นางแทบคลั่ง ดวงตาเบิกถลน
ก่อนหน้านี้นางมองหลินสวินเป็นเนื้อข้างเขียง สามารถเข่นฆ่าได้ตามใจ จึงเฉยเมยหยิ่งผยอง ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตามาโดยตลอด
แต่ไหนเลยจะคาดคิด ชั่วพริบตากลับกลายเป็นนางที่ถูกซัดจนปราชัยอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังไม่มีเรี่ยวแรงปัดป้องเลยแม้แต่น้อย!
ความแข็งแกร่งเหลื่อมล้ำกันมากเกินไปหรือ
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดอยู่ที่จุดนี้ ระดับกึ่งราชันกลับถูกเด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งเอาชนะอย่างง่ายดาย แม้แต่เรี่ยวแรงต้านทานยังไม่มี นี่มันน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว
หากไม่รู้ ทุกคนคงคิดว่านางคือระดับกระบวนแปรจุติ ส่วนเจ้าเด็กนั่นต่างหากที่เป็นราชันกึ่งระดับ!
“ยายแก่ เจ้าไม่ได้จะตอบแทนคุณด้วยความแค้นหรอกหรือ เข้ามาเลย!”
ไกลออกไป หลินสวินสีหน้าเยียบเย็น เพลิงโทสะที่สั่งสมอยู่ในใจของเขาไม่เคยระบายออกมาอย่างสมบูรณ์ ยายแก่คนนี้ช่างน่ารังเกียจ ไม่เพียงเนรคุณ ซ้ำยังจะฆ่าคนให้สิ้นซาก สิ่งนี้ทำให้เขาไม่สามารถอดทนได้โดยเด็ดขาด
“ไอ้เศษเดน อย่ามาวางโต!”
ลิ่นไท่เจินเจียนบ้าคลั่งอยู่รอมร่อ นางกรีดร้องเกรี้ยวกราดออกมา ดวงหน้าทรงเสน่ห์แปรเปลี่ยนเป็นคล้ำเขียวอำมหิต ก่อนโจมตีออกไปอีกครั้ง
“เผาตะวัน!”
เงาร่างของหลินสวินเจิดจรัส เบื้องหลังกายปรากฏเงามายาจักระเทพวงหนึ่งอยู่รำไร ส่วนดาบหักในพริบตานี้ราวกับกลายร่างเป็นอาทิตย์ดวงใหญ่ ระเบิดลุกโชนอย่างฉับพลัน
ครืน!
เปลวไฟเจิดจรัสบาดตาน่าพรั่นพรึงแผ่ขยายไปทั่วทิศ ทุกที่ที่ผ่านไป ห้วงอากาศถูกแผดเผา ทิวเขาหลอมละลาย แม้แต่กระแสน้ำยังถูกต้มจนระเหยในทันที!
อานุภาพนั้นโชติช่วงไพศาล ประหนึ่งหมายจะเผาฟ้าผลาญดินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
“อ๊าก..!”
ลิ่นไท่เจินส่งเสียงกรีดร้องออกมา นางบาดเจ็บสาหัสแล้ว ผิวหนังแตกระแหงไหม้เกรียม ผมขาวถูกเผา เดิมทีเป็นหญิงรูปโฉมงดงามทรงเสน่ห์เหลือล้นผู้หนึ่ง ทว่ายามนี้กลับเหมือนถ่านไม้ที่ไหม้เกรียมไม่มีผิด
น่าอนาถไปแล้ว!
หากถูกผู้ฝึกปราณภายนอกเห็นเข้าคงไม่อยากเชื่อเป็นแน่
อย่างไรเสียในฐานะราชันกึ่งระดับผู้หนึ่ง เวลานี้กลับเหมือนปาไข่ใส่ศิลา เหมือนมดแดงเขย่าต้นไม้ กระทั่งต่อต้านและขัดขืนก็ยังทำไม่ได้ ถูกเด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งทำให้ปราชัยอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ใครเล่าจะคาดคิด
ชิ้ง!
หลินสวินเก็บดาบหัก ก้าวเท้าลงจากห้วงอากาศ แสงเรืองรองสีอ่อนคละคลุ้งทั่วสรรพางค์กาย เบื้องหลังมีจักระเทพเจิดจ้าสำแดงภาพอัศจรรย์นานัปการ ขับเน้นจนเขาประหนึ่งเป็นเทพไท้มาเยือนโลก
นี่คือศึกแรกหลังจากเขาข้ามผ่าน ‘มหาเคราะห์สามพิบัติ’ กลายเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ อานุภาพที่สำแดงทั้งหมดย่อมต่างจากที่ผ่านมา!
ย้อนไปก่อนหน้านี้ หากประมือกับราชันกึ่งระดับ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้ใช้ตัวช่วยอย่างคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาคราม ต้องงัดพลังสุดแรงเกิดกว่าจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้
ทว่ายามนี้ ราชันกึ่งระดับไม่สามารถคุกคามหลินสวินได้เลยแม้แต่น้อย นี่ก็คือพลานุภาพที่เหยียบย่างสู่มกุฎมรรคาระดับกระบวนแปรจุติ!
มกุฎสุดยอด ประหนึ่งผู้เป็นราชันแห่งระดับ สามารถมองข้ามศัตรูทั้งปวงในระดับเดียวกันได้!
และมกุฎมรรคาของหลินสวิน รากฐานและพลังที่สั่งสมมาทั้งหมดบรรลุถึงขั้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ต้น ฉะนั้นพลังที่มีในครอบครองทั้งหมดสามารถเรียกได้ว่าแตกต่างจากทุกคน เป็นหนึ่งไม่มีสองนับจากอดีตตราบจนปัจจุบัน!
“เจ้าคิดจะทำอะไร”
ลิ่นไท่เจินส่งเสียงกรีดร้อง เวลานี้นางมีสภาพน่าสังเวชหาใดเปรียบ ก่อนหน้านี้เกรี้ยวกราดมุ่งมาดจู่โจม ทว่ายามนี้กลับตื่นตระหนกอย่างสมบูรณ์
ถึงอย่างไรการถูกโหมโจมตีอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ หากยังไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ของตัวเอง เช่นนั้นก็คงเป็นคนโง่เกินบรรยายแล้วจริงๆ
ฉะนั้นเวลานี้ยามเห็นหลินสวินเดินเข้ามา ลิ่นไท่เจินจึงสะท้านในใจ ประดุจมองเห็นเทพมารตนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้
“ข้ามาส่งธิดาเทพของเผ่าพวกเจ้าด้วยเจตนาดี ไม่ได้มีความคิดอื่นใดแต่แรก กลับถูกเจ้ามองว่ามีใจคิดไม่ซื่อ เหยียดหยามดูหมิ่นข้า นั่นก็ช่างเถิด อย่างไรเสียผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด”
หลินสวินก้าวไปเบื้องหน้า นัยน์ตาดำราวสายฟ้า น่าขนลุกหาใดเปรียบ “แต่เจ้าไม่เพียงเนรคุณ ซ้ำยังคิดสังหารข้าให้สิ้น เจ้าไม่รู้สึกว่าตัวเองไร้ยางอายและต่ำช้ายิ่งนักหรือ”
“ทุกอย่างข้าล้วนคิดเพื่อความปลอดภัยของเผ่าข้าทั้งนั้น!”
ลิ่นไท่เจินยังคงเชิดคอตั้ง เดือดดาลและไม่ยอมรับอย่างที่สุด แก้ต่างให้ตัวเอง
“ตัวเองไร้ยางอาย ยังยกคุณธรรมเรื่องความปลอดภัยของเผ่าพันธุ์มาบังหน้า ดูท่าเจ้ามันหน้าด้านจริงๆ!”
หลินสวินโกรธจัดจนยิ้ม เขาไม่พูดพล่ามอีก สะบัดฝ่ามือใส่หน้ายายแก่นี่ทันที เสียงตบดังกังวาน ตบจนนางร้องโหยหวนไม่ขาดสาย ดวงหน้าที่แต่เดิมไหม้เกรียมพลันแดงเป่งขึ้นมาในชั่วขณะ ปากจมูกกระอักเลือด ฟันร่วงกราวไม่รู้กี่ซี่
กระทั่งต่อมาปากของลิ่นไท่เจินบวมเจ่อจนเปล่งวาจาไม่ออก หลินสวินจึงรามือ โยนนางลงกับพื้นพลางกล่าวว่า “หากไม่เห็นแก่ที่เจ้าเป็นผู้อาวุโสของเสี่ยวฉง คนอย่างเจ้า ข้าคงฆ่าทิ้งตั้งแต่แรกแล้ว!”
แววตาของลิ่นไท่เจินเคียดแค้น ภายในใจเปี่ยมด้วยความรู้สึกอัปยศอดสู นางเป็นถึงราชันกึ่งระดับ กลับถูกเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งตบตีสั่งสอนเช่นนี้ ทำให้นางแทบทนไม่ไหวอยากขุดช่องมุดเข้าไปอยู่ในรู
หลินสวินขมวดคิ้วน้อยๆ เขามองแววเคียดแค้นในใจลิ่นไท่เจินออก ในใจบังเกิดไอสังหารหนักหน่วงจนเกือบควบคุมเอาไว้ไม่อยู่
ทว่าท้ายที่สุดเขาก็สะกดเอาไว้ ล้วงมือหยิบกล่องหยกใบนั้นที่ลิ่นไท่เจิน ‘ให้ทาน’ ก่อนหน้านี้ออกมาแล้วทิ้งไว้บนพื้น “ของเล่นชิ้นนี้เจ้าเก็บเอาไว้เองดีกว่า รีบไสหัวออกไป!”
กล่าวจบหลินสวินพลันหมุนตัวจากไป
เขากังวลว่าถ้ายังอยู่ต่ออาจทนไม่ไหวลงมือฆ่ายายแก่คนนี้ ฝึกปราณมาจนบัดนี้ เขายังไม่เคยพบเคยเจอคนแก่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน
“ไอ้เศษสวะ เจ้าคอยดูเถอะ!”
มองเงาหลังของหลินสวินจากไปไกลลับ ลิ่นไท่เจินไม่ได้มีความซาบซึ้งใดๆ แม้เพียงเสี้ยว ตรงข้ามกลับยิ่งรู้สึกเคียดแค้นมากขึ้นทุกที
น่าเสียดาย หลินสวินในตอนนี้ไม่เกรงกลัวการข่มขู่ของผู้ใด แม้ครั้งนี้ไม่ได้ฆ่านาง แต่ก็ไม่กลัวว่านางจะมาแก้แค้นเลยแม้แต่น้อย!
มหาสงคราม หนทางแห่งการฝึกปราณ ไม่อาจหลีกเลี่ยงการผูกพยายาทกับศัตรูมากมาย ถ้าหากกลัวการแก้แค้นจนปล่อยให้ตัวเองเปลี่ยนไป จากคนที่ฆ่าล้างสังหารหมู่อย่างไม่กลัวเกรง กลายเป็นคนที่แม้แต่ตัวเองยังชิงชังโดยสิ้นเชิง เช่นนั้นจะบำเพ็ญมหามรรค แสวงหาความเป็นอมตะทำไมเล่า
ศัตรูอาจแข็งแกร่งขึ้นแล้วชำระแค้นในอนาคต ทว่าตนเองในอนาคต ขอเพียงยึดมั่นพัฒนาตนจนแกร่งกล้า ก็มีแต่จะยิ่งแข็งแกร่งกว่าศัตรู!
นี่ก็คือความมั่นใจในตัวเองของผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!
ไม่ว่าภูตผีปีศาจ สัตว์ประหลาดมารอสูรจะมีเล่ห์เหลี่ยมกลโกงเท่าใด หากกล้าเข้ามา ข้าจะฆ่ามันในดาบเดียว!
……
ย่ำค่ำโพล้เพล้
ในเขาบรรพตเขียว ลิ่นไท่เจินหวนกลับมาแล้ว รูปลักษณ์ของนางคืนสู่สภาพปกติ เพียงแต่ปราณดั้งเดิมเสียหายหนัก ดวงหน้าซีดขาวหาใดเปรียบ หว่างคิ้วเปี่ยมด้วยความอิดโรย
ชายหนุ่มหญิงสาวกลุ่มหนึ่งวิ่งโร่ตีวงล้อมเข้ามาด้วยความดีอกดีใจ
“ผู้อาวุโส พวกเราได้ยินธิดาเทพพูดหมดแล้ว ที่แท้เด็กหนุ่มที่มาส่งธิดาเทพเมื่อครู่ ก็คือเทพมารหลินผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรในแดนฐิติประจิมในตอนนี้!”
“ใช่แล้ว เขาเป็นถึงผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของเผ่าเรา หากไม่ได้การคุ้มกันตลอดทางจากเขา เกรงว่าธิดาเทพคงพบเจอเรื่องยากคาดเดาไปตั้งแต่ต้น”
“พอนึกถึงความสำเร็จเกรียงไกรของเทพมารหลินคนนั้นดูแล้ว ไม่รู้ว่าสังหารไอ้เศษสวะหมาดำไปเท่าไร นี่ก็เท่ากับช่วยเผ่าของพวกเราระบายความอัดอั้นตันใจไปได้หนึ่งเฮือกทีเดียว”
ชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านั้นต่างปริปากพูดเจื้อยแจ้วอย่างได้ใจ ไม่ได้สังเกตเห็นสักนิดว่าสีหน้าของลิ่นไท่เจินแข็งค้างหาใดเปรียบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เมื่อเร็วๆ นี้แหล่งที่อยู่ในเขาเถื่อนเมฆินทร์ของไอ้เศษสวะหมาดำพวกนั้น ถูกหญิงสาวปริศนาซึ่งมีอานุภาพทะยานฟ้าคนหนึ่งกำจัดจนสิ้นซาก สังหารจนพวกมันไม่เหลือชิ้นดี ตอนนี้แดนฐิติประจิมต่างลือกันกระฉ่อน ว่าคุณชายหลินคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับหญิงสาวปริศนาที่ว่า”
“หากเป็นเช่นนี้จริง คุณชายหลินก็คือผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของพวกเราทั้งเผ่า!”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เบื้องหน้าของลิ่นไท่เจินดำทะมึนขึ้นมาระลอกหนึ่ง รู้สึกเหมือนถูกคนใช้กระบองฟาดหนักๆ เข้าที่ท้ายทอย ทั้งตัวดูย่ำแย่เสียแล้ว
‘เทพมารหลิน… เขาถึงกับเป็นเทพมารหลินคนนั้น…’ นางพึมพำในใจ มีความรู้สึกพังทลายซึ่งไม่สามารถสาธยายออกมาได้
หากนางรู้แต่แรก ไหนเลยจะทำเรื่องพวกนั้นออกไป
เมื่อคิดว่าตนตอบแทนคุณด้วยความแค้น ซ้ำยังถูกอีกฝ่ายโจมตีและสั่งสอนยกหนึ่ง ลิ่นไท่เจินก็รู้สึกอยากตายขึ้นมาแล้ว
‘ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร ก็ได้ผูกปมพยายาทไปแล้ว เจ้าอาจมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อเผ่าข้า แต่ว่า… ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด! ต้องมีสักวัน ข้าจะคืนความแค้นและความอัปยศอดสูที่ได้รับมาทั้งหมดเป็นสิบเท่า!’
สุดท้ายลิ่นไท่เจินกัดฟันกรอด ตัดสินใจแน่วแน่อยู่ภายในใจ
“ไท่เจิน คุณชายหลินผู้นั้นอยู่ไหนกันเล่า”
ทันใดนั้นเสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น ทำให้ลิ่นไท่เจินสะดุ้งทันควัน มองเห็นผู้ชราคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นอยู่ไกลๆ ท่วงท่าสง่างามเป็นเอกเทศ ดั่งเทพเซียนเหนือธรรมชาติ
นี่คือผู้อาวุโสแห่งเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของพวกเขา นามว่าลิ่นตู้ กุมอำนาจทั้งหมดในเผ่า
ชั่วขณะนั้นสีหน้าลิ่นไท่เจินพลันเปลี่ยนไป ข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจเอาไว้ ก้าวไปเบื้องหน้าแล้วกล่าวอย่างละอายว่า “คุณชายหลินมีธุระสำคัญต้องจัดการ ข้าพยายามรั้งสุดกำลังก็ไม่อาจทำให้เขาอยู่ต่อในฐานะแขกได้ ในใจรู้สึกละอายยิ่ง…”