ตอนที่ 842 ลมพายุรวมตัวในแคว้นต้าฉิน
เนินเขาเว้านูน ฉากวิวทิวทัศน์รกชัฏทั่วผืน
เงาร่างสายหนึ่งพุ่งหวือระหว่างเนินเขา ความเร็วว่องไวอัศจรรย์หาใดเปรียบ ชือน้ำแข็งสีขาวราวหิมะสายหนึ่งทะยานสู่ท้องนภา แหงนหน้าร้องคำราม พิทักษ์อารักขาแก่เขา
เพียงชั่วขณะเท่านั้นเงาร่างสายนี้พลันอันตรธานลับไป กลับทำเอาเหล่าสัตว์ปีกสัตว์สี่เท้าระหว่างทางส่วนหนึ่งตกใจจนหวีดร้องแตกตื่นไม่สิ้นสุด
เงาร่างสายนั้นก็คือหลินสวิน
ตั้งแต่ออกจากเขาบรรพตเขียว เขาก็ลัดเลาะกลางเนินเขา รีบมุ่งสู่แคว้นตาฉิน
อีกยี่สิบกว่าวัน เทศกาลโคมกถามรรคที่มีชื่อเสียงก้องโลกจะเปิดฉากขึ้น ส่วนสถานที่ของเทศกาลโคมกถามรรค ก็อยู่บนเขาพยับครามภายในอาณาเขตแคว้นต้าฉินนั่นเอง
ตูม!
ทิวเขาประหนึ่งง้าว เรียงรันตั้งตระหง่านกลางห้วงอากาศ ทั่วสรรพางค์กายของหลินสวินปลดปล่อยแสงเรืองรองศักดิ์สิทธิ์ ความเร็วว่องไวประดุจไล่ทิวาล่าอสนี หวดข้ามห้วงอากาศ บังเกิดเสียงระเบิดดังอึกทึกครึกโครม
ตลอดทางเขาสำแดงและเคี่ยวกรำพลังของตน เพิ่งเลื่อนขึ้นระดับกระบวนแปรจุติ แม้จะเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแกร่งกล้าที่สุดตามตำนานเล่าขานแล้ว ทว่าหลินสวินก็ยังไม่อาจผ่อนคลาย
ก่อนมหาสงครามมาเยือน การหล่อหลอมมรรคเพื่อเป็นราชัน เหยียบย่างบนมกุฎ และกลายเป็นมกุฎราชันอย่างแท้จริง การฝึกปราณในระดับกระบวนแปรจุติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ระดับนี้เป็นระดับสุดท้ายแห่งห้าระดับใหญ่ของการฝึกปราณ อยู่เหนือระดับกำลังภายใน ระดับจิตผสานวิญญาณ ระดับมหาสมุทรวิญญาณ และระดับหยั่งสัจจะ เหนือขึ้นไปอีกก็คือราชันระดับสังสารวัฏที่ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างเฝ้าฝันใฝ่!
กล่าวได้ว่ากระบวนแปรจุติเป็นระดับสำคัญที่อยู่ตรงกลาง เชื่อมระหว่างการฝึกปราณก่อนหน้าและสิ่งที่กำลังจะตามมา หากปรารถนาเป็นราชัน จะต้องเสริมสร้างรากฐานให้เหนียวแน่นไร้ที่เปรียบให้ได้!
ระดับกระบวนแปรจุติแบ่งออกเป็นสามขั้นใหญ่ ได้แก่ ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย
บรรลุถึงระดับนี้ ถ้ำสวรรค์ภายในร่างจะกลายเป็นจักระเทพ รวมถึงพลังต้นกำเนิดทั้งปวงของเจ้าตัวด้วย
กระบวนแปรจุติ ความหมายตรงกับชื่อ หมายถึงลักษณ์อัศจรรย์ของการเปลี่ยนแปลงและกำเนิดใหม่ หมุนวนโดยสมบูรณ์
ภายในจักระเทพ เก็บซ่อนไว้ซึ่งมรรควิถีของผู้ฝึกปราณ และแก่นจริงแท้แห่งการแจ้งมรรค ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งกำเนิดพลังของผู้ฝึกปราณด้วย
บรรลุถึงระดับนี้แล้ว ผู้ฝึกปราณสามารถควบคุมพลังแห่งเจตจำนงมรรค ควบรวมพลังจิตวิวัฒน์เป็นจิตรับรู้ มีพลานุภาพพลิกฟ้าคลุมดินอยู่ในครอบครอง
กล่าวโดยทั่วไป ระดับกระบวนแปรจุติก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่จุดสูงสุดในโลกียะแล้ว
ส่วนผู้เป็นราชัน นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตที่หยัดยืนอยู่บนยอดเขาเหนือปวงชน แยกตัวออกจากการฝึกปราณห้าระดับใหญ่ ข้ามผ่านความเป็นความตายและมุ่งแสวงหาอมตะนิรันดร์ เป็นเจ้าเหนือหัวระดับยักษ์ใหญ่ของโลกในปัจจุบัน
หากอริยเทพไม่ปรากฏกาย เช่นนั้นราชันก็อยู่เหนือสุด!
การฝึกปราณในปัจจุบันของหลินสวิน อยู่ในระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น สามารถสำแดงจักระเทพมหามรรคของตน
แต่ที่ต่างจากมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติทั่วไป คือเขาเหยียบย่างบนเส้นทางแห่งมกุฎแล้ว อีกทั้งมีวิญญาณแห่งพลังจิต แม้แต่การบำเพ็ญมหามรรค ก็บรรลุถึงขั้นเจตจำนงแห่งมรรคตั้งแต่ตอนที่อยู่ในระดับหยั่งสัจจะแล้ว
ส่วนตอนนี้ ความแข็งแกร่งของเขาสามารถกำราบสังหารราชันกึ่งระดับได้ ย่อมไม่เกรงกลัวผู้อยู่ในระดับเดียวกันหน้าไหนทั้งนั้น!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลินสวินมุ่งแสวงหาคือเส้นทางแห่งความบริบูรณ์ของตน เพื่อก้าวสู่จุดสูงสุดในบรรดาผู้เป็นราชันทั่วพิภพ ย่อมไม่อาจพอใจแต่เพียงเท่านี้อย่างแน่นอน
‘ครึ่งหลังของเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกินบันทึกความเร้นลับของการกลายเป็นราชัน ไม่ใช่วิธีฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างแท้จริง ดูจาดจุดนี้ หากต้องการทะลวงความเป็นความตายกลายเป็นราชัน จำเป็นต้องให้ตัวผู้ฝึกปราณก้าวออกจากมรรคาของตน… มีเพียงทำเช่นนี้ อาจจะสามารสร้างความแตกต่างกับผู้อื่น แตกต่างจากอดีต กลายเป็นมกุฎราชันอย่างแท้จริงได้…’
เร่งรีบเดินทางไปพลาง หลินสวินก็ทำความเข้าใจและใคร่ครวญไปด้วย
ครั้งก่อนตอนที่ทะลวงด่านในห้องโถงมรรคาสวรรค์ รางวัลที่ได้รับมามีสองชิ้น คือครึ่งหลังของ ‘เคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน’ และ ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’
เพียงแต่สิ่งที่บันทึกไว้ในเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน คือความเร้นลับแห่งการกลายเป็นราชัน หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นประสบการณ์และการหยั่งรู้อย่างหนึ่ง
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า หากบำเพ็ญเพียรตามมรรคาที่ตนเดินอยู่ต่อไป เช่นนั้นมรรคาที่ตนก้าวเดินย่อมไม่เหมาะแก่การก้าวกลับไปบนเส้นทางเก่าแก่ซึ่งมุ่งสู่ระดับราชัน จะต้องสืบสานอดีตบุกเบิกปัจจุบัน ฝ่าทะลวงเส้นทางแห่งราชันซึ่งเป็นของตน
สืบสานอดีตสำแดงปัจจุบัน ใช้ปัจจุบันเป็นหนทางบุกเบิกวิถีแห่งอนาคต!
นี่ย่อมเป็นมรรคาที่แตกต่างจากทั้งอดีตและปัจจุบันสายหนึ่งอย่างแน่นอน!
สิ่งที่เรียกว่าทุกยุคสมัยของแผ่นดินย่อมปรากฏอัจฉริยบุคคล ผลงานแต่ละคนเล่าขานสืบมานับร้อยปี หนทางในอดีตเป็นเพียงการสืบทอด สามารถตกทอดสืบต่อไปได้ แต่กลับไม่อาจรักษาให้คงเดิม เป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการก้าวเดินซ้ำรอยเดิมของคนสมัยโบราณ!
ไม่ว่าความสำเร็จจะยิ่งใหญ่เพียงใด ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถแก่งแย่งแข่งขันกับอริยบุคคลบรรพกาลได้เลย
และตอนนี้ มหาสงครามที่ไม่เคยมีมาก่อนกำลังมาเยือน นี่ย่อมเป็นมหาสงครามที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคบรรพกาลอย่างแน่นอน
ทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้ หากยังคงเดินย่ำซ้ำรอยเดิมบนเส้นทางเก่าแก่ จะเหยียบย่างบนเส้นทางมกุฎราชันอันเบาหวิวเฉกเช่นตำนานเล่าขานสายนั้นได้อย่างไร
ฝึกปราณจนบัดนี้ หลินสวินแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติ ทำให้เขายิ่งตระหนักขึ้นเรื่อยๆ ว่าหากยังยึดมั่นดึงดันในมรรคาที่สืบทอดต่อกันมา ชั่วชีวิตนี้เกรงว่าคงไร้วาสนากับระดับมกุฎราชันเป็นแน่แท้!
ดังนั้นสิ่งที่เขาร้องขอในตอนนี้ก็คือ มรรคาสายหนึ่งซึ่งเป็นของตัวเขาเองที่ไม่เคยมีมาก่อน
นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนทางแห่งการหล่อหลอมอย่างแท้จริง สรรสร้างเส้นทางมหามรรคที่แตกต่างจากอดีต เพียงพอจะประชันความรุ่งเรืองกับอริยบุคคลบรรพกาลได้
แน่นอน ทุกอย่างนี้อาจค่อนข้างริบหรี่อย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าการเดินทางพันลี้เริ่มต้นที่ก้าวแรก ขอเพียงพากเพียร จะต้องมีวันแห่งความสำเร็จแน่นอน
……
สามวันต่อมา
ในพื้นที่รกร้าง หลินสวินยืนตระหง่านกลางห้วงอากาศ ดาบหักโฉบพุ่งผ่านห้วงอากาศฉับพลัน แหวกเฉือนทิวเขาพันลี้ ราวกับสายฟ้าสีเงินยวง
เพียงแต่ทุกอย่างต่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
จนกระทั่งเงาร่างของเขาจากไปไม่นาน ทิวเขาลูกแล้วลูกเล่าเหล่านั้นถึงกับแหวกสะบั้นจากกึ่งกลาง ก่อนถล่มทลายโครมครืน
ภูเขาแต่ละลูกรอยตัดราบเรียบเป็นระเบียบ ราวกับถูกตัดด้วยมือของเทพสวรรค์ มีพลังอันน่าสั่นสะท้านอย่างหนึ่ง
กระบวนเฉือนนภาสงัด!
กระบวนท่าแรกในครึ่งหลังของ ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’ เงียบงันประดุจไร้สรรพเสียง ว่างเปล่าดั่งไร้พรมแดน ทว่าผ่าเฉือนแดนดินในชั่วแล่นโดยที่ผีสางเทวดาไม่แตกตื่น!
ตอนนี้หลินสวินรู้แล้วว่าเพลงดาบวัฏจักรฟ้าฉบับสมบูรณ์ ความจริงแล้วควรเรียกว่า ‘หกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า’
หกกระบวนเฉือนนี้แบ่งออกเป็น คว้าดารา สอยจันทรา เผาตะวัน นภาสงัด เกิดดับ และไม่เที่ยงแท้!
แต่ละกระบวนเฉือนต่างมีพลังสะเทือนฟ้าสั่นคลอนพิภพในตัวเอง มหัศจรรย์คาดเดาไม่ได้ น่าสะพรึงไม่มีที่สิ้นสุด ย่อมเป็นวิชาชั้นยอดเหนือสุดที่สั่นคลอนอดีตจนถึงปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้หลินสวินฝึกฝนแต่เพียงครึ่งแรกของเพลงดาบวัฏจักรฟ้า ยังไม่สามารถรับรู้ถึงความเร้นลับขนานแท้ของมรดกวิชานี้
แต่ตอนนี้ต่างไปแล้ว
เพลงดาบที่สมบูรณ์ ก็เปรียบเสมือนความเร้นลับใหม่เอี่ยมที่ส่องแสงชัชวาล อานุภาพและแก่นอัศจรรย์ที่ซ่อนไว้ทั้งหมด ทำให้หลินสวินลอบตกใจไม่สิ้นสุด และยิ่งตระหนักถึงความเหนือธรรมดาของห้องโถงมรรคาสวรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากมรดกวิชาส่วนนี้ ก็ตกทอดมาจากห้องโถงมรรคาสวรรค์แห่งนั้น
ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ในปัจจุบันของหลินสวิน จึงทำได้แต่เพียงฝืนหยั่งถึงความเร้นลับของ ‘กระบวนเฉือนนภาสงัด’ ได้เท่านั้น ส่วนกระบวนเฉือนเกิดดับและไม่เที่ยงแท้นั้นคลุมเครือลึกลับเกินไป ทำให้เขาไม่สามารถทำความเข้าใจปริศนาลี้ลับทั้งหมดของมันได้ในยามนี้
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินร้องอุทานอย่างเสียไม่ได้
ระหว่างทางหลินสวินไม่ได้อยู่เฉยๆ เขาใช้วิญญาณแห่งพลังจิตนั่งสมาธิหยั่งห้วงนิมิต ใจจดใจจ่อกับปริศนาความเร้นลับของกระบวนเฉือนเกิดดับและกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้
ตามการคาดเดาของเขา ราวๆ ครึ่งปีก็น่าจะพอเข้าใจหยั่งถึงความเร้นลับทั้งมวลของสองกระบวนเฉือนสุดท้ายได้
……
เจ็ดวันต่อมา
หลินสวินเดินออกมาจากภูเขารกร้างอันกว้างใหญ่
เดิมทีอานุภาพของเขาดุดันราวกระบี่ เปล่งประกายคมกริบไร้ที่เปรียบ ทั้งตัวเปรียบเสมือนคมกระบี่ที่ตีหลอมมาร้อยปีพันปี เบ่งบานด้วยแสงเรืองรองที่บันดาลให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
เพียงแต่ขณะที่เขาสาวเท้าย่างออกไปทีละก้าว กลิ่นอายทั่วร่างก็เริ่มเก็บเข้าหากันทีละน้อย ไหลบรรจบกันประหนึ่งกระแสน้ำ ท้ายที่สุดประกายคมกริบทั้งมวลก็หดหายเข้าไปภายในกาย
เมื่อมองดูอีกครั้ง เขาสวมอาภรณ์สีขาวพระจันทร์ เรือนผมดำสนิทลู่ระช่วงเอว กลิ่นอายรอบกายราบเรียบประดุจน้ำนิ่ง หวนคืนสู่ท่วงทำนองแห่งความเป็นเอกเทศ
หลังจากผ่านการเคี่ยวกรำมานานหลายวัน ในที่สุดหลินสวินก็สร้างความมั่นคงในระดับของตนได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้งยังทำให้การฝึกปราณก้าวหน้าขึ้นไปอีกหนึ่งก้าวด้วย
และยามนี้เขาสามารถควบคุมเก็บปล่อยพลังทุกส่วนของตัวเองได้ดั่งใจแล้ว สิ่งนี้เรียกได้ว่าทำได้ตามใจปรารถนาไม่มียกเว้น ในอกมีอสนีเหิมฮึกทว่าจิตใจราวกับทะเลสาบแน่วนิ่ง
เมืองเมฆาโรย!
ไกลออกไปกำแพงเมืองขนาดมหึมาแห่งหนึ่งสะท้อนเข้าสู่สายตา เป็นช่วงชิงพลบพอดี แสงสนธยาดุจเพลิงไฟ ย้อมทั้งเมืองให้เป็นสีทองงดงามหนึ่งชั้น
‘เข้าสู่เมืองนี้ ก็เท่ากับเข้าสู่อาณาเขตแคว้นต้าฉินแล้ว นับจากวันนี้ยังเหลือเวลาอีกประมาณเจ็ดวันกว่าเทศกาลโคมกถามรรคจะเริ่มขึ้น ก็ไม่รู้ว่าแดนฐิติประจิมแห่งนี้มีเหล่าผู้กล้ามุ่งหน้ามารวมตัวกันสักกี่มากน้อย…’
เมื่อหลินสวินนึกถึงตรงนี้ก็อดนึกถึงเยวี่ยเจี้ยนหมิงจากสำนักยุทธ์พันเวท และฟางหลินหานจากอาศรมดาบแปดวิทูรขึ้นมาไม่ได้
และยังนึกถึงจี้ซิงเหยาธิดาเทพเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ซึ่งเล่าลือกันว่าถูกขนานนามให้เป็นบุคคลแนวหน้าในบรรดาคนรุ่นใหม่แห่งแดนฐิติประจิม รวมถึงอวี่หลิงคงบุคคลชั้นยอดที่มาจากแดนพิสุทธ์อมตะจากหนึ่งในสี่แดนวิภูแดนกาฬทักษิณ
กระทั่งเขายังนึกถึงหนึ่งในห้าผู้สืบทอดที่แท้จริงของสำนักกระบี่โผผินอย่างจั๋วขวงหลัน และพวกเซี่ยอวี้ถัง รวมถึงลู่จิ่วเกอองค์ชายห้าแห่งเผ่าอีกาเพลิง บางทีทั้งหมดนี้อาจมาถึงอาณาเขตแคว้นต้าฉินตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
‘ไหนจะจงหลีอู๋จี้ กับชิงเหลียนเอ๋อร์ธิดาเทพเผ่าหงส์เขียวอีก… ก็ไม่รู้ว่าสองคนนี้มากันหรือยัง…’
ครั้นหลินสวินนึกถึงตรงนี้ นัยน์ตาดำสนิทก็ฉายแววเย็นเยียบ
เขายังไม่ลืมว่าเจ้าสองคนนี้เหยียดหยามและประณามเขาต่อหน้าคนทั้งโลกอย่างไร มองเขาเป็นแท่นรองเหยียบ ใช้เรื่องนี้มาเสริมสร้างชื่อเสียงของตัวเอง
สวบ!
หลินสวินไม่ได้โอ้เอ้ เงาร่างไหววูบมุ่งปราดไปยังเมืองเมฆาโรยที่อยู่ไกลออกไปทันที
“ข่าวด่วนสะเทือนขวัญ! หลี่ชิงฮวนผู้กล้ารุ่นเยาว์จากสำนักยุทธ์สมุทรครามแคว้นเมฆาหยก อู่ต้วนหยาผู้สืบทอดแท้จริงอันดับหนึ่งแห่งสำนักตะวันทมิฬแคว้นจันทร์กระจ่าง ไปถึงเมืองผาดาราที่อยู่หน้าเขาพยับครามพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว”
“จากที่คำนวณ จวบจนบัดนี้เหล่าผู้กล้าที่มีชื่อเสียงซึ่งมาจากภายในพันเขตแคว้นของแดนฐิติประจิม ได้มาถึงมากกว่าห้าร้อยคนแล้ว!”
“ว่ากันว่าเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีบุคคลเก่งกาจจากอีกสามแดนวิภูอย่างชัยบูรพา ดาราอุดร และกาฬทักษิณเข้าร่วมด้วย!”
ทันทีที่เข้าสู่เมืองเมฆาโรย บนท้องถนนอันคึกคักคลาคล่ำ โรงสุราร้านน้ำชามีผู้คนรวมกลุ่มกัน เกือบทุกหัวระแหงต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์และพูดคุยข่าวสารเกี่ยวกับเทศกาลโคมกถามรรค
ภาพเหตุการณ์ที่ร้อนแรงเช่นนั้นทำให้หลินสวินลอบตกใจ อดทอดถอนหายใจไม่ได้ อิทธิพลของเทศกาลโคมกถามรรคต่อแดนฐิติประจิม ไม่ได้ยิ่งใหญ่แบบทั่วไปจริงๆ ด้วย
ดูจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ฝึกปราณในโลกนี้ก็เห็นแล้ว
“เฮ้ย ได้ยินมาว่าเทพมารหลินคนนั้นเคยปรากฏตัวในเมืองหมอกโลหิตด้วย ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
สิ่งที่ทำให้หลินสวินมีอาการแปลกไปเล็กน้อยก็คือ… ในเสียงพูดคุยเซ็งแซ่เหล่านี้ถึงขั้นมีกระแสเสียงจำนวนมากกำลังพูดถึงเขาอยู่ด้วย
“ฮ่าๆ ที่ข้าอยากรู้มากกว่าก็คือ เทพมารหลินคนนั้นจะกล้าเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคด้วยหรือไม่ต่างหาก จนถึงตอนนี้ไม่ได้มีเพียงพวกชั้นยอดอย่างจงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์เท่านั้น ผู้กล้าคนอื่นๆ บางส่วนต่างก็มีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเทพมารหลินเป็นอย่างยิ่ง หมายสำแดงอานุภาพแก่เทพมารหลินในงานเทศกาลโคมกถามรรคกันทั้งนั้น”
“ข้าก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน สาเหตุก็เป็นเพราะกิตติศัพท์ที่เทพมารหลินสร้างขึ้นก่อนหน้านี้มีมากเกินไป ค่อยๆ กลบชื่อเสียงของผู้กล้าจำนวนมาก สิ่งนี้ย่อมทำให้ผู้คนไม่พอใจอย่างยิ่ง ซ้ำยังได้ยินอีกว่าตอนนี้สำนักต่างๆ พากันคิดว่าชื่อเสียงของเทพมารหลินอาจแหกตา และไม่ได้ร้ายกาจเหมือนที่เล่าขานแต่อย่างใด!”
“ไม่ว่าอย่างไรหากเทพมารหลินกล้ามาจริงๆ จะต้องมีเรื่องสนุกฉากใหญ่ให้ชมเป็นแน่”
หลินสวินได้ยินการวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ สีหน้าก็ยิ่งประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาสงสัยจริงๆ ว่าเบื้องหลังของการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดนี้ จะมีพวกปากมากเผ่าวาทวาโยคอยพัดกระพือใส่ไฟอยู่เบื้องหลังหรือไม่!
อย่างไรเสียการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนี้ก็มากเกินไป ดูเหมือนต้องการให้ผู้คนจำนวนมากมองตนเป็นเหมือนเป้าล่อ…