ตอนที่ 843 ต้นโคมสำริดมรรคโบราณ
หลินสวินแวะพักที่เมืองเมฆาโรยครึ่งวัน ก่อนออกเดินทางมุ่งสู่เมืองผาดารา
เมืองผาดาราตั้งอยู่ในเขตใจกลางแคว้นต้าฉิน เป็นเมืองที่เก่าแก่มากเมืองหนึ่ง เล่าลือกันว่าเมืองผาดารามีมาตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้ว
เมืองผาดาราเลื่องชื่อในแดนฐิติประจิมอย่างยิ่ง เพราะเป็นสถานที่จัดเทศกาลโคมกถามรรคซึ่งจัดขึ้นทุกๆ ร้อยปี บนเขาพยับครามนอกเมืองผาดารานั่นเอง
…
ครึ่งวันต่อมา นอกเมืองผาดารา หลินสวินเก็บยานสมบัติ เงาร่างพลิ้วไหวมุ่งเข้าไปในเมือง
“อาจารย์ ในเมื่อเขาพยับครามก็อยู่นอกเมือง เหตุใดพวกเราไม่รีบเข้าไปตั้งแต่คราวแรก แทนที่จะเข้ามารอในเมืองนี้”
“ฮ่าๆ เจ้าเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคครั้งแรกย่อมไม่เข้าใจเป็นธรรมดา เขาพยับครามแห่งนี้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ยุคบรรพกาล ตำนานเล่าขานว่าเคยมีเทพแท้จริงเปิดธรรมสถาน ถ่ายทอดมรรค เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ปกคลุมด้วยปาฏิหาริย์แห่งหนึ่ง”
“ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ แม้จะเฉียดใกล้ยามนี้ แต่หากวาสนาไม่ถึงก็อย่าคิดเหยียบย่างบนนั้น”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”
ในเมืองผาดารา การจราจรพลุกพล่าน ผู้คนสัญจรไปมาคลาคล่ำ เสียงสนทนาเกรียวกราวดังก้องไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
เมืองเก่าแก่กว้างใหญ่แห่งนี้เป็นสถานที่รุ่งเรืองอันดับต้นๆ ในแคว้นต้าฉิน ประชากรไม่รู้ว่ามีกี่หมื่นคน แลดูคึกคักหาใดเปรียบ
ในขณะที่เทศกาลโคมกถามรรคใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทั่วทั้งเมืองผาดาราก็กลายเป็นสถานที่ซึ่งได้รับความสนใจมากที่สุดในแดนฐิติประจิมเช่นเดียวกัน
ทุกวันมีผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าใดเร่งรุดมาจากทุกทิศ ผู้สืบทอดสำนักโบราณ ลูกหลานตระกูลทรงอำนาจที่สืบทอดกันมาช้านาน สิ่งมีชีวิตและทายาทจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ… ล้วนแห่แหนเข้ามากันทั้งสิ้น
แน่นอน ที่เยอะยิ่งกว่าคือคนที่มาชมดูความครึกครื้น ถึงอย่างไรเทศกาลโคมกถามรรคก็ใช่ว่าใครจะสามารถเข้าร่วมได้ตามใจ
ขณะที่หลินสวินเข้ามาในเมือง เพียงชั่วขณะเท่านั้นนัยน์ตาดำพลันฉายแววประหลาดใจวูบหนึ่ง
ผู้แข็งแกร่งมากมายยิ่งนัก!
ภายใต้พลังจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของเขา ทำให้เห็นว่าในหมู่ฝูงชนบนท้องถนนนั้นไม่ขาดกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่ง บางคนหากกล่าวถึงพลานุภาพและความองอาจ ถึงขั้นไม่ด้อยไปกว่าบรรดาผู้กล้าที่หลินสวินเคยพบมาก่อนเลย!
นอกจากนี้ยังมีเงาร่างของสัตว์ประหลาดเฒ่าส่วนหนึ่งไหววูบอยู่ในนั้นด้วย อาจเป็นผู้อาวุโสจากสำนักโบราณบางแห่ง หรือไม่ก็เป็นบุคคลสำคัญในขุมอำนาจใหญ่สักแห่ง ข้างกายพวกเขาล้วนมีชายหนุ่มหญิงสาวตามมาด้วย
‘ถึงขนาดมีพวกร้ายกาจที่มีกลิ่นอายเทียบชั้นได้กับพวกจั๋วขวงหลัน ลู่จิ่วเกอด้วย… ดูท่าคงเป็นอย่างที่เล่าลือ เมืองผาดาราแห่งนี้ได้กลายเป็นที่รวมตัวของผู้กล้ารุ่นใหม่ในแดนฐิติประจิมไปแล้ว’
ในใจของหลินสวินยิ่งรู้สึกทอดถอนใจขึ้นเรื่อยๆ
เขาเพิ่งเข้าเมืองมา มองไปที่ใดก็เห็นพวกชั้นยอดเกลื่อนกลาด แค่คิดก็รู้ว่าเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ดึงดูดคนรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงในแดนฐิติประจิมได้มากขนาดไหน
ทว่าผู้กล้าระดับแนวหน้าอย่างพวกจั๋วขวงหลันกับลู่จิ่วเกอถือเป็นส่วนน้อย ในหมู่คนเป็นร้อยเป็นพัน เห็นมีเพียงสองสามคนเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นก็ยังน่าทึ่งพอดู
อย่างไรเสียจั๋วขวงหลันก็เป็นถึงหนึ่งในห้าศิษย์สืบทอดแท้จริงของสำนักโบราณกระบี่โผผิน คนระดับเขา ในสำนักโบราณทั่วแดนฐิติประจิมก็มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น
หลินสวินเดินตามหลังกลุ่มคนมุ่งสู่ใจกลางเมือง
พันเขตแคว้นทั่วแดนฐิติประจิม ภายในเมืองมากมาย เกือบทุกเมืองล้วนมีต้นข่าวสารตั้งอยู่ในนั้น เมืองผาดาราก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
‘เหลือไม่ถึงเจ็ดวันก่อนที่เทศกาลโคมกถามรรคจะเริ่มต้นขึ้น จากการคาดการณ์ของเผ่าวาทวาโยของพวกเรา ยามนี้ลำพังแค่ในเมืองผาดาราก็มีผู้กล้ากว่าพันคนที่มาจากทั่วสารทิศในแดนฐิติประจิมแล้ว!’
‘อีกอย่างตัวเลขนี้ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเร็วน่าตกใจ มั่นใจได้ว่ายามเทศกาลโคมกถามรรคเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ จะต้องเปิดฉากบันลือโลกอย่าง ‘หมื่นผู้กล้าชิงความเป็นใหญ่’ แน่!’
‘ยามนี้มหาสงครามกำลังจะมาถึง ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ความนัยของเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ยิ่งเปลี่ยนเป็นไม่ธรรมดา สุดท้ายผู้กล้าแห่งยุคคนใดจะโดดเด่นเหนือปวงชน สามารถชิงอันดับหนึ่งในเทศกาลโคมไปได้ พวกเราตั้งตาคอยกัน!’
…
หน้าต้นข่าวสารเงาคนไหววูบ มวลชนแน่นขนัด ใบข่าวสารจำนวนนับไม่ถ้วนขยับไหว ฉายภาพข่าวสารล่าสุดออกมาทีละใบ
หลินสวินยืนอยู่ตรงนั้น เก็บงำกลิ่นอายทั่วร่างเอาไว้ ซ้ำยังใช้เคล็ดวิชามหาไร้รูป บรรยากาศรอบกายบังเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคลอนดิน และไม่ห่วงว่าจะถูกคนจำได้
ยามนี้หลินสวินรู้แล้วว่าบนเขาพยับครามมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ต้นหนึ่ง ราวกับสร้างมาจากสำริดทั่วทั้งต้น ทนทานเก่าแก่ สูงเสียดฟ้า
มันคงอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน ผ่านการเปลี่ยนแปลงทุกยุคสมัยแต่ยังยั่งยืน มีความเก่าแก่ที่พอจะทำให้คนทั้งโลกรู้สึกสะทกสะท้าน
สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือ ทุกๆ ร้อยปีบนกิ่งก้านเปลือยเปล่าของต้นไม้ต้นนี้จะมีหน่อดอกสำริดควบรวมออกมาดอกแล้วดอกเล่า ทุกครั้งที่เบ่งบาน ก็เหมือนโคมสีสำริดส่องสว่างแขวนอยู่บนกิ่งไม้ทั่วทั้งต้น ละอองแสงเพลิงศักดิ์สิทธิ์อันพร่างพรายเจิดจรัสสาดเซ็นออกมานับพันนับหมื่นสาย ส่องสว่างท้องนภา ศักดิ์สิทธิ์หาที่เปรียบไม่ได้
ดอกสำริดดอกแล้วดอกเล่านั้นถูกเรียกว่า ‘ดอกโคมมรรคโบราณ’
ส่วนต้นไม้สำริดที่ทั้งเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ต้นนั้น ก็ถูกชาวโลกขนานนามว่า ‘ต้นโคมสำริดมรรคโบราณ’!
สิ่งที่เรียกว่า ‘เทศกาลโคมกถามรรค’ ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ ร้อยปีก็จะเปิดม่านที่ใต้ต้นโคมสำริดมรรคโบราณต้นนั้นนั่นเอง
เพียงแต่ก่อนหน้าที่ดอกโคมมรรคโบราณยังไม่เบ่งบาน ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้จะไม่ปรากฏบนโลกราวกับอริยะที่เร้นกาย
แม้จะมาถึงเขาพยับครามก่อนกำหนด ก็ไม่อาจเสาะหาร่องรอยของมันได้เลย
และเหตุที่เทศกาลโคมกถามรรคได้รับความสนใจจากทั่วทั้งแดนฐิติประจิม ไม่ใช่เพียงเพราะการถกมรรคง่ายๆ แค่นั้น ประเด็นหลักอยู่ที่คำว่า ‘เทศกาลโคม’ ต่างหาก
ในต้นโคมสำริดมรรคโบราณนั้นยังมีวาสนาชั้นเลิศซุกซ่อนอยู่ มีเพียงผู้กล้าไร้เทียมทานที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะมีโอกาสได้รับมัน!
ลือกันว่ามู่ซางเสวี่ยเจ้าสำนักเรือนกระบี่เร้นปุจฉาแห่งแดนฐิติประจิม เคยช่วงชิงศุภโชคชั้นดีจากเทศกาลโคมกถามรรคไปได้เมื่อสมัยยังหนุ่ม ทำให้มรรคาของเขาพุ่งทะยานสูงขึ้น ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็หลอมมรรคกลายเป็นราชัน อหังการทั่วทิศ!
ที่น่ากลัวที่สุดคือมู่ซางเสวี่ยในตอนนี้ได้รับการขนานนามให้เป็นสุดยอดตำนานแห่งระดับราชันทั่วหล้า สำนักโบราณมากมายต่างเห็นว่า อีกไม่กี่ปีเขาก็จะสามารถทะลวงอมตะนพเคราะห์ พบหนทางแห่งอริยมรรค กลายเป็นอริยะแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาอีกคน!
และตัวอย่างคนที่ได้รับศุภโชคในงานเทศกาลโคมกถามรรคที่ผ่านมาแบบเดียวกับมู่ซางเสวี่ยก็มีจำนวนไม่น้อย ไม่ว่ามากหรือน้อย ต่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่เอี่ยมบนมรรคาของตนกันทั้งนั้น
นี่ก็คือจุดที่เทศกาลโคมกถามรรคดึงดูดผู้ฝึกปราณในแดนฐิติประจิม เพื่อให้ได้รับศุภโชคโลกตะลึงจากการถกมรรค นี่เป็นสิ่งที่ไม่ว่าผู้ฝึกปราณคนใดต่างก็เฝ้าฝันถึง
แต่ว่าคนที่สามารถเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคมีเพียงเหล่าผู้กล้ารุ่นเยาว์เท่านั้น หากไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ แม้ว่าต้นโคมสำริดมรรคโบราณจะปรากฏก็ไม่อาจเยี่ยมกรายเฉียดใกล้
“หลีกทาง!”
ทันใดนั้นพลันมีเสียงตวาดราวกับสายฟ้าฟาดดังขึ้นใกล้ๆ กับต้นข่าวสาร ทำเอาผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งตกใจจนตัวสั่น เกือบล้มลงกับพื้น
ก็เห็นชายร่างยักษ์กลิ่นอายแกร่งกร้าว รูปร่างสูงใหญ่เกือบหนึ่งจั้งอยู่ไม่ไกลออกไป มือใหญ่ปานใบลานโบกสะบัดเต็มแรง กลุ่มคนถูกแหวกออกในทันที
ผู้ฝึกปราณบางส่วนหลบไม่ทันถูกผลักล้มคว่ำลงกับพื้น ขณะตั้งท่าจะด่าทอ แต่พอเห็นรูปลักษณ์ของชายร่างยักษ์คนนั้นเต็มตา สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที เงียบกริบปานจักจั่นหน้าหนาว
“ผู้แข็งแกร่งเผ่าฉลามสมุทรแห่งทะเลมารพิฆาต!” มีผู้ฝึกปราณร้องอุทาน
ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงต่างหน้าถอดสี ‘ทะเลมารพิฆาต’ สถานที่แห่งนั้นไม่ธรรมดา มีเผ่าทะเลสมุทรบรรพกาลซึ่งมีรากฐานเก่าแก่จำนวนมากอาศัยอยู่
และเผ่าฉลามสมุทรนี้ก็เป็นขุมกำลังระดับผู้นำฝ่ายหนึ่งในทะเลมารพิฆาต!
ชายร่างยักษ์คนนั้นแค่นเสียงเย็น วางมาดอันธพาลเด่นชัด จากนั้นเขาก็หันกลับมา ถอยฉากไปด้านข้างอย่างพินอบพิเทา ดูถ่อมตนเป็นที่สุด
และเวลานี้เองผู้คนถึงได้เห็นว่า ด้านหลังชายร่างยักษ์คนนั้นยังมีชายหญิงกลุ่มหนึ่งเดินตามมาด้วย
ผู้นำคือชายหนุ่มชุดคลุมทอง รูปร่างกำยำ มีผมยาวสีฟ้าเข้ม ดวงตาดุจดาบคม น่าสะพรึงหาใดเปรียบ
ชายหญิงคนอื่นๆ ต่างห้อมล้อมเขาประหนึ่งดาวล้อมเดือน ต่างพากันเดินมาที่หน้าต้นข่าวสาร
“นี่… ถึงกับเป็นบุตรเทพคนปัจจุบันของเผ่าฉลามสมุทร! ซาหลิวฉานที่ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดผู้กล้าแห่งทะเลมารพิฆาต!”
ผู้ฝึกปราณบางส่วนตกใจยกใหญ่ สีหน้ายิ่งดูกริ่งเกรงและนบนอบขึ้นเรื่อยๆ
เผ่าฉลามสมุทรน่ากลัวเป็นที่สุด และซาหลิวฉานในฐานะที่เป็นบุตรเทพคนปัจจุบันของเผ่าฉลามสมุทร ก็เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงเกรียงไกรในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิม
ลือกันว่าคนผู้นี้ถือกำเนิดมาพร้อมกับรากแห่งปัญญา แกนกระดูกผุดผ่อง สิ่งที่บำเพ็ญฝึกฝนคือวิชาอภินิหารเร้นลับของสำนักพุทธบรรพกาลที่แสนลึกลับ ความสามารถแท้จริงลึกสุดหยั่ง
ขบวนของซาหลิวฉานมีท่าทางเจือความเย่อหยิ่งเป็นเอกลักษณ์ มุ่งตรงไปที่หน้าต้นข่าวสารโดยไม่ได้สนใจสายตานบนอบยำเกรงจากรอบข้าง
“เหตุใดถึงยังไม่มีข่าวของเทพมารหลินคนนั้น”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งซาหลิวฉานก็มุ่นคิ้วกล่าว “ระหว่างทางมาเมืองผาดาราของข้าในครั้งนี้ ก็ได้ยินวีกรรมเกี่ยวกับคนผู้นี้มาไม่น้อย อยากถือโอกาสนี้ดูเสียหน่อยว่าเขาจะร้ายกาจเหมือนที่เล่าลือขนาดนั้นหรือไม่ แต่ไฉนจนป่านนี้เขากลับยังไม่มา”
ผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงลอบตกใจ บุตรเทพเผ่าฉลามสมุทร หนึ่งในสิบสุดยอดผู้กล้าแห่งทะเลมารพิฆาตคนนี้ ก็อยากประมือกับเทพมารหลินด้วยเช่นกัน!
เพราะเหตุใดถึงบอกว่า ‘ก็อยาก’
ง่ายมาก ในเมืองผาดารายามนี้ เหล่าอัจฉริยะผู้กล้ารวมตัว และมีจำนวนไม่น้อยไม่ชอบใจเทพมารหลิน หมายจะประกาศศักดาต่อเทพมารหลินยามที่เทศกาลโคมกถามรรคเปิดฉากขึ้น!
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร ไม่กี่วันก่อนก็แพร่สะพัดไปทั่วแดนฐิติประจิมแล้ว
ปัจจุบันก็มีผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างกำลังรอคอย ดูว่าเทพมารหลินที่ถูกกล่าวขานเสียจนน่าอัศจรรย์คนนั้น ครั้งนี้จะกล้ามาร่วมงานเทศกาลโคมกถามรรคหรือไม่
หลินสวินซึ่งอยู่ในกลุ่มคนสีหน้าราบเรียบ ในใจกลับเคียดแค้นเจ้าเฒ่าสากกะเบือไป่เฟิงหลิวนั่นขึ้นทุกที หากไม่ใช่เพราะเขาไปป่าวประกาศเรื่องของตนมาตลอดก่อนหน้านี้ มีหรือตนจะตกเป็นเป้าสายตาผู้คนตั้งมากมายขนาดนี้
ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า พวกคนที่รู้จักและไม่รู้จักเขา ต่างพากันตั้งท่าจะเล่นงานเขากันหมด ทำเอาหลินสวินหมดคำพูดไปชั่วขณะ
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เกรงกลัว เพียงแต่รู้สึกรำคาญมากก็เท่านั้น
ดังคำกล่าวที่ว่าคนกลัวชื่อเสียงหมูกลัวอ้วนพี คนโบราณว่าไว้ไม่ผิดจริงๆ!
“นับแต่นี้เป็นต้นไป หากใครสามารถแจ้งเบาะแสว่าพบเห็นเทพมารหลินปรากฏตัวในเมืองผาดารา ให้มารับรางวัลจากข้าได้!”
ซาหลิวฉานท่าทางเย่อหยิ่ง เจือกลิ่นอายแข็งแกร่งบีบคั้นผู้คนสายหนึ่ง กล่าวอย่างราบเรียบว่า “แน่นอน ถ้าหากเทพมารหลินคนนั้นกล้าปรากฏตัวมาพบเอง ขอเพียงเขายอมรับว่าแข็งแกร่งสู้ข้าไม่ได้ ข้าย่อมไม่ปล่อยให้เขาพ่ายแพ้อย่างอุจาดตาจนเกินไป!”
กล่าวจบเขาก็หมุนตัว พาบรรดาชายหญิงทั้งหมดสาวเท้าเดินออกไปจากที่แห่งนี้
ผู้ฝึกปราณในลานทั้งหมดต่างสูดลมหายใจเย็นเยียบ นี่ซาหลิวฉานกำลังเลียนแบบจงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์ กดข่มเทพมารหลินต่อหน้าผู้คนงั้นหรือ
ส่วนในใจหลินสวินก็หงุดหงิดอยู่บ้างเช่นกัน เหตุใดตอนนี้ไม่ว่าใครต่างก็กล้ากระโจนออกมาวิพากษ์วิจารณ์และดูแคลนตนไปเสียหมด?