จางเจิ้นที่ยิ้มเยาะ เซี่ยไห่หลง “เขาเป็นหัวหน้าของหน่วยรบพิเศษเทพอินทรี ไม่ใช่หัวหน้าของหน่วยรบพิเศษพยัคฆ์เดือดของฉัน อยากให้ฉันทำความเคารพเขา ฝันไปเถอะ!”
“แน่นอน หากเขามีความสามารถจริง ทำให้ฉันยอมจำนน อย่าว่าแต่ทำความเคารพเขาเลย ต่อให้ให้ฉันคุกเข่าโขกหัวคำนับยอมรับผิดฉันก็จะไม่ทำหน้ามุ่ยเลย!”
จางเจิ้นพูดอย่างน้ำลายกระจุยกระจาย เสียงดังบุ่มบ่าม
เซี่ยไห่หลงยิ้มอย่างเย็นชา “จางเจิ้น จะฆ่าไก่ไม่ต้องใช้มีดฆ่าวัว การที่จะให้นายยอมจำนนก็ไม่จำเป็นต้องถึงมือหัวหน้าเฉิน ฉันกับนายก็พอแล้ว!”
จางเจิ้นก็ยิ้มอย่างเย็นชา “เซี่ยไห่หลง นายคิดว่าฉันกลัวนายเหรอ! มาสิ!”
ชายวัยกลางคนที่ใบหน้าขาวและหล่อเหลาที่ยืนอยู่ข้างกายของจางเจิ้น หัวเราะแล้วพูดขึ้น “ในไม่ช้าทุกคนก็ต้องเข้าสู่สมรภูมิห้าประเทศแล้ว ต่อไปก็คือเพื่อนร่วมทีมที่ร่วมเป็นร่วมตายกันแล้ว ทำไมยังมาทะเลาะกันตรงนี้อีก?”
ชายอีกคนที่ไว้ผมยาวและมีหน้าม้าบดบังใบหน้าครึ่งหน้า ยิ้มอย่างกวนประสาท “ก็เพราะจะเข้าสู่สมรภูมิห้าประเทศในไม่ช้านี้แล้ว ดังนั้นจะไม่จริงจังไม่ได้ หากผู้ร่วมทีมคนนี้ไม่เห็นความสำคัญของชีวิตพวกเราล่ะ? ไม่เท่ากับฝากชีวิตผิดคนเหรอ?”
“ลี่เซี่ยว นายหมายความว่าไง?” นายว่าฉันเซี่ยไห่หลงเป็นคนที่ฝากชีวิตไม่ได้เหรอ? เซี่ยไห่หลงมองชายผมยาวอย่างโกรธเคือง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่พอใจ
ลี่เซี่ยวเอามือกอดอก ยังคงยิ้มอย่างกวนประสาทแล้วพูด “นายพูดเองนะ ฉันไม่ได้พูด”
สุดท้าย หญิงสาวใช้ผ้าปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้พูดมาโดยตลอด จู่ๆก็หัวเราะเบาๆ รอยยิ้มยิ่งอยู่ยิ่งเบ่งบาน ท่าทางงดงามเย้ายวน
“ฮ่าๆๆ พวกนายช่างมีความหมายจริงๆ ฉันรู้สึกว่าน้องชายคนนี้ไม่เลว อย่างน้อยหน้าตาก็ดีกว่าพวกนายทุกคน”
จางเจิ้นด่าด้วยความโกรธ “เฟิงเหมียน ฉันรู้ว่าเธอมันชอบเด็กหนุ่ม แต่ฉันจะบอกเธอ ฉันคนเดียวก็แทนมันได้สิบคน อย่างมันที่ดูดีแต่คงใช้งานไม่ได้ ตอนนี้เราต้องไปต่อสู้กับประเทศพวกนั้น ไม่ใช่ให้เธอไปเที่ยวชมธรรมชาติ คนอื่นไม่ใช่เพราะเห็นว่าเขาหน้าตาดีแล้วจะไว้ชีวิตเขา ความสามารถถึงจะเป็นมีประโยชน์!”
เฟิงเหมียนไม่ได้มีความกลัวเลย หัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย “นายไม่เคยลองเสียหน่อย นายรู้ได้ไงว่าคนอื่นไม่เก่ง? ไม่แน่เขาอาจจะเก่งกว่านายในด้านอื่นๆก็ได้? ฮ่าๆๆ………..”
พูดจบ เฟิงเหมียนก็ปิดปากหัวเราะ หัวเราได้อย่างมีเสน่ห์ และเธอไม่ลืมที่จะส่งสายตาที่เย้ายวนให้เฉินโม่
จางเจิ้นโกรธมาก ยืดอกในทันที พูดอย่างเสียงดัง “เฟิงเหมียน อีนางตัวดี เธอจะลองดูมั้ยว่าใครจะแน่กว่ากัน!”
คนพวกนี้ ล้วนผ่านสมรภูมิรบมาแล้ว แถมยังเคยฆ่าคนด้วย กลิ่นอายความเป็นโจรแรงมาก แม้กระทั่งผู้หญิงที่ชื่อเฟิงเหมียน ก็ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ดังนั้น นิสัยของคนพวกนี้ก็แปลกพลึกมากเช่นกัน
จีอู๋หยาเห็นทั้งสองคนยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ ก็พูดด้วยสีหน้าที่มืดมน “พอได้แล้ว ไม่ดูเลยว่าที่นี่มันที่ไหน คุยโวโอ้อวด อยู่ดีๆสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกพวกนายทำให้มัวหมอง
จางเจิ้นยังคงไม่ยอม มองไปยังจีอู๋หยา ความสำคัญของภารกิจครั้งนี้คุณไม่ได้บอกกับผู้บังคับบัญชาเหรอ?”
จีอู๋หยา ถลึงตาใส่เขา พูดอย่างเสียงดัง “แผนการนี้ผู้บังคับบัญชาเป็นคนอนุมัติเอง แล้วนายคิดว่าผู้บังคับบัญชาจะรู้ความสำคัญของภารกิจมั้ย?”
จางเจิ้นเถียงไม่ออก ถ้าแค่เรื่องการโต้วาที เขานั้นยังห่างชั้นเชิงของจีอู๋หยาอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังพูดอย่างไม่ยอม “ผู้บังคับบัญชาจึงส่งตัวเลือกนี้มา? ผู้บังคับบัญชาเมาหรือเปล่า?”
จีอู๋หยาจ้องมองด้วยดวงตาแข็งกร้าว “จางเจิ้น นายเกินไปแล้วนะ!”
จางเจิ้นตกใจทันที ถึงได้รู้ตัวว่าเมื่อกี้ตัวเองนั้นพูดอะไรออกไป รีบก้มหน้าขอโทษ “หัวหน้าจี ผมไม่ได้ตั้งใจ!”
จีอู๋หยาพูดอย่างเย็นชา “ถ้าหากนายตั้งใจ ฉันคงจัดการนายไปแล้ว!”