ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 78 มิใช่ทุกสิ่งเป็นเรื่องปั้นแต่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

การปรากฏตัวของราชามารได้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับเฉินฉางเซิง ความลับในร่างกายเขาถูกค้นพบ เป็นไปได้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับความโลภจากทั้งต้าลู่ บทสนทนาบนเกาะสร้างแรงกดดันให้กับเขาเป็นอย่างมาก นี่คือความลับเกี่ยวกับร่างกายของเขา เส้นลมปราณพิการจะทำให้เขาตายในไม่ช้าและความลับนี้ก็มีผู้ค้นพบแล้ว

กลายเป็นว่าเส้นลมปราณพิการเป็นผลมาจากการระเบิดของวงตะวันของเขาเอง กลายเป็นว่าเขาเป็นเชื้อพระวงศ์เฉินจริงๆ แล้วเขาใช่รัชทายาทเจาหมิงหรือไม่ หากเขาเป็นเชื้อพระวงศ์เฉิน การพบกันที่ริมแม่น้ำสิบหกปีก่อนย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ อาจารย์คงรู้นานแล้วว่าเขามีเบื้องหลังเช่นไร ศิษย์พี่ก็รู้เช่นกันหรือไม่

นี่คือสาเหตุที่เขารู้สึกกดดันอย่างหนัก

เขาต้องเผชิญกับเรื่องมากมายโดยตรง หากการปรากฏตัวของราชามารบนหานซานเป็นหลุมพรางจริงๆ ก็เป็นไปได้ว่าเขาถูกละทิ้ง หากการที่เขาออกจากซีหนิงมาจิงตูเป็นหลุมพรางเช่นกัน บทบาทใดกันที่เขากำลังแสดงอย่างไม่รู้ตัวอยู่ตอนนี้

ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการสมัครเข้าสำนักไม้เลื้อยทั้งหกหรือการเข้าร่วมการสอบใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคหรือความท้าทายใดที่ต้องเผชิญ เขาก็ไม่เคยเป็นกังวลเกินไป นี่เป็นเพราะเขาเชื่อว่าตนมีบ้านที่แท้จริงอยู่ในวัดเก่าเมืองซีหนิง อาจารย์กับศิษย์พี่เป็นความมั่นใจอย่างแท้จริงของเขา ในตอนนี้เขาตระหนักว่าทุกอย่างอาจเป็นเพียงเรื่องปั้นแต่ง

ความมั่นใจของเขาไม่มั่นคงอีกต่อไป แล้วเส้นทางแห่งจิตของเขาจะรักษาความสงบไว้ได้อย่างไร

หากเขาไม่อาจเชื่อใจศิษย์พี่อวี๋เหรินแล้วเขาจะยังพึ่งพาใครในโลกได้อีก

เฉินฉางเซิงมักได้รับคำชมว่ามีความสุขุมเยือกเย็นเกินวัย ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็เป็นผู้เยาว์วัยสิบหกปีคนหนึ่ง

กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ ผลเป็นเช่นนี้ เขาก็ยากที่จะทนรับได้ เขามองผิวทะเลสาบที่ปกคลุมไปด้วยหมอกอย่างมึนงง จิตใจห่อเหี่ยวโทมนัส

เสียงฝีเท้าดังขึ้นบนระเบียง

ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วเดินมา

พวกเขามองหลังของเฉินฉางเซิงอย่างเป็นห่วง

นับตั้งแต่เฉินฉางเซิงกลับมาก็ไม่พูดอะไร เก็บตัวอย่างมากจนถึงกับแทบตัดขาดตัวเอง เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น

“ผู้เฒ่าความลับสวรรค์พูดอะไรกับเจ้า”

ในที่สุดถังซานสือลิ่วก็ไม่อาจห้ามตัวเองได้ เดินไปข้างกายเขาและถามออกมา

เฉินฉางเซิงเอนกายพิงระเบียงไม่ยอมเปิดปากพูด ดูค่อนข้างท้อแท้

เจ๋อซิ่วพลันกล่าวขึ้น “ข้าไม่เชื่อว่ามีปัญหาที่ไม่อาจแก้ได้บนโลกนี้”

เฉินฉางเซิงเหยียดกายหันไปหาเขา ก่อนถามอย่างจริงจังยิ่ง “ถ้าหากมีจะทำอย่างไร”

คำตอบของเจ๋อซิ่วเหมาะกับนิสัยของเขาอย่างยิ่ง เรียบง่ายและมั่นคง “เลวร้ายที่สุดก็แค่ตาย”

ถังซานสือลิ่วที่ด้านข้างกล่าวเสริม “ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้คิดตายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก”

เฉินฉางเซิงมองดูทั้งสองคนและถามขึ้น “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าคือรัชทายาทเจาหมิง”

หากเขาไม่ต้องการพูด เขาก็จะไม่พูดอะไรเลย อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจมองข้ามเรื่องนี้ ดังนั้นจึงเปิดปากพูด พูดในสิ่งที่สำคัญที่สุด

คำถามนี้ทำให้ถังซานสือลิ่วมองเจ๋อซิ่วด้วยความรู้สึกเป็นกังวล

อันที่จริงแล้วข่าวลือนี้แพร่กระจายในจิงตูมานานแล้ว แต่ทั้งเขาและเฉินฉางเซิงต่างก็คิดว่ามันไร้สาระ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใส่ใจมากนัก ทว่าตอนนี้เฉินฉางเซิงกลับเป็นฝ่ายถามคำถามนี้ขึ้นมาอย่างจริงจัง นี่หมายความว่าผู้เฒ่าความลับสวรรค์กับเฉินฉางเซิงได้พูดกันเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น…มันอาจเป็นความจริง

เจ๋อซิ่วยังคงสีหน้าเรียบเฉยไม่ให้การช่วยเหลือถังซานสือลิ่วแต่อย่างใด

สีหน้าของถังซานสือลิ่วแข็งค้างไป จากนั้นเขาก็ยิ้มและกล่าวกับเฉินฉางเซิง “เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน อายุพวกเจ้าต่างกันอยู่หลายปี”

เฉินฉางเซิงไม่ได้ยิ้ม จ้องมองดวงตาเขาเงียบๆ แล้วกล่าว “เจ้าไม่ได้บอกอยู่บ่อยๆ หรือว่าข้าโตเกินวัย ว่าข้าดูเหมือนกับคนแก่”

“โตเกินวัยหมายความว่าเจ้าเพิ่มอายุขึ้นสองปีได้เช่นนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นหมูที่โตเกินวัยในหนองน้ำเฮยซานก็ต้องตัวสูงใหญ่กว่าตัวอื่นในสายพันธุ์ไปตลอดชีวิตสินะ”

หน้าถังซานสือลิ่วเต็มไปด้วยการดูถูก

เฉินฉางเซิงไม่ได้โกรธหรือหัวเราะออกมาครั้นได้ยินคำเปรียบเปรยหยาบคายเช่นนั้น เพียงแต่ถามต่ออย่างจริงจัง “หากข้าเป็นแล้วจะทำอย่างไร”

ถังซานสือลิ่วเงียบไปจากนั้นก็ตอบอย่างจริงจัง “ต่อให้เจ้าเป็นก็ช่างปะไร ก็ทำเหมือนเป็นหูหมูจานหนึ่ง แค่จิ้มน้ำจิ้มกินเข้าไป”

เฉินฉางเซิงรู้ว่าเขาต้องการบอกให้ไม่สนใจเรื่องนี้ แต่… “จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะปล่อยให้ข้ามีชีวิตอยู่หรือ”

ถังซานสือลิ่วตอบ “ตอนอยู่ในสวนโจว หนานเค่อคิดจะปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตไหม บนทางเดินภูเขา ราชามารคิดจะให้เจ้ามีชีวิตรอดไหม”

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขาและความขุ่นข้องบนใบหน้าก็ผ่อนคลายลงบ้าง

“คืนอื่นอยากให้เจ้าตาย ไม่ได้หมายความว่าเจ้าต้องตาย ไม่ว่าจะเป็นใคร หนานเค่อ ราชามาร หรือแม้แต่จักรพรรดินี”

ถังซานสือลิ่วจ้องตาเขาและกล่าว “คิดในแง่ดี หากเจ้าเป็นรัชทายาทเจาหมิงจริง เช่นนั้นหากเจ้ามีชีวิตต่อไป เจ้าก็จะกลายเป็นผู้สืบทอดอันดับแรกของตำแหน่งจักรพรรดิต้าโจว”

ยามเมื่อพูด สีหน้าก็เต็มไปด้วยความจริงจัง แต่สิ่งที่กล่าวนั้นหาได้จริงจังไม่

เขารู้ว่าเฉินฉางเซิงไม่มีความสนใจในสิ่งที่เรียกว่าตำแหน่งจักรพรรดิ เขาแค่ต้องการใช้คำพูดผ่อนคลายบรรยากาศเท่านั้น

“ไหนๆ ก็พูดแล้ว เจ้าว่าอย่างไหนดีกว่า สังฆราชหรือจักรพรรดิแห่งต้าโจว” เขาถามเฉินฉางเซิงด้วยรอยยิ้ม

เฉินฉางเซิงไม่ตอบคำถามนี้ แต่เจ๋อซิ่วตอบ ลูกหมาป่าที่ไม่แยแสเรื่องราวทางโลกเสมอมาแสดงความเห็นอย่างเงอะงะ “เป็นจักรพรรดิย่อมดีกว่า กองทัพและสามสิบแปดขุนพลเทพอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้า ในอนาคตเมื่อเข้าสู่สงครามกับเผ่ามาร เจ้าก็จะเป็นผู้บัญชาการสูงสุด”

ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง

การมีเพื่อนเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง

เฉินฉางเซิงคิดในใจ

เขาไม่รู้ว่าเมืองซีหนิงเป็นเรื่องปั้นแต่งหรือไม่ การมีอยู่ของเขาเป็นเรื่องปั้นแต่งหรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็แน่ใจได้ว่าวันเวลาในจิงตูของเขานั้นเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

“ขอบคุณ” เขากล่าวกับถังซานสือลิ่วและเจ๋อซิ่ว แล้วดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างจึงกล่าว “ข้ามีบางอย่างที่ต้องไปจัดการก่อน”

            เจ๋อซิ่วไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาต้องไปจัดการคืออะไร แต่ถังซานสือลิ่วนั้นสามารถเดาได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงไอพลังปราณจากของวิเศษและมองเห็นเสื้อผ้ากระพือผ่านทรายขาวน้ำตื้นด้านล่าง ทำให้เขารู้สึกหดหู่และคิดในใจ เจ้าหมอนี่เห็นคนรักสำคัญกว่าเพื่อน

……

……

เม็ดพุทราตกอยู่บนทรายขาวท่ามกลางน้ำในทะเลสาบที่ใสกระจ่าง บางทีอาจเพราะบรรจุไว้ด้วยไอพลังปราณของนาง เม็ดพุทรานี้จึงกลายเป็นสิ่งที่ปลามากมายในทะเลสาบนั้นต้องการที่จะเข้าใกล้ ผิวพุทราถูกตอดเล็มจนเกลี้ยงเกลา กลายเป็นเรียบลื่นอย่างมาก เฉกก้อนหินที่ถูกกัดกร่อน

เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงนั่งอยู่บนท่าน้ำ เท้าแช่อยู่ในน้ำ พวกเขาไม่ได้ตั้งใจนั่งติดกันแต่ไหล่ทั้งสองก็สัมผัสกันอยู่เป็นระยะๆ

ระยะห่างเท่านี้ จังหวะเช่นนี้ ความสงบเช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยที่สุด มีความสุขที่สุด เช่นเดียวกับความรู้สึกที่มีต่อกัน

สวีโหย่วหรงกล่าวเบาๆ “มีเพื่อนอย่างนี้ก็นับว่าคุ้มค่าที่จะมีความสุขอย่างยิ่ง”

เฉินฉางเซิงถาม “เจ้า…ไม่มีเพื่อนแบบนี้หรือ”

เขาจำได้ว่าตั้งแต่เด็ก นางเป็นที่เอ็นดูและได้รับความรักจากทั้งจิงตูในฐานะองค์หญิงน้อย จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อมรมเลี้ยงดูมาในฐานะผู้สืบทอด นับตั้งแต่อายุห้าขวบ นางก็ออกจากโลกียวิสัย จึงเป็นเรื่องยากที่นางจะมีเพื่อนธรรมดาแต่มีค่าอย่างมากได้

สวีโหย่วหรงยิ้มจางและกล่าว “เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่วิหาร…แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสต่างก็ปฏิบัติต่อข้าด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เว้นก็แต่ท่านอาจารย์เท่านั้น แล้วข้าจะสามารถสนธนาอย่างเป็นกันเองกับพวกเขาได้อย่างไรกัน แต่ข้าก็มีคนรู้จักในหมู่บ้านที่ตีนเขาอยู่บ้าง พอจะสนทนาเรื่องในใจกับพวกเขาได้…ข้าจะแนะนำเจ้าให้รู้จักพวกเขาในอนาคต”

ความสงสัยของเฉินฉางเซิงถูกกระตุ้นขึ้นด้วยคำพูดนี้ คิดในใจ ชาวบ้านธรรมดาเช่นใดกันที่เจ้าคุ้นเคยด้วย

“หากเราพูดถึงเพื่อนแล้ว…ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่หลีซานนั้นสนิทกว่า แต่พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ดังนั้นโอกาสที่จะพบก็ค่อนข้างน้อย”

“ข้าได้ยินว่า…ที่ซึ่งชิวซานจวินฝึกกระบี่นั้นอยู่ไม่ไกลจากวัดฉือเจี้ยนเท่าไร”

“เจ้าอยากถามอะไรกันแน่”

“ไม่มีอะไร”

“ก็ได้ ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด ข้านับถือศิษย์พี่เป็นเพื่อนคนสำคัญเสมอมา”

“ปัญหาก็คือเขาไม่ได้คิดแบบเดียวกันอย่างแน่นอน”

“องค์หญิงลั่วลั่วคำนับเจ้าเป็นอาจารย์แต่เจ้าไม่รู้หรือว่านางคิดอะไร”

“ข้าเถียงสู้เจ้าไม่ได้”

“เพราะคำโต้แย้งของเจ้านั้นไม่มีเหตุผล”

“ก็ได้”

“ทำไมเจ้าไม่พูดอีกแล้ว”

“เจ้าอยากได้ยินอะไร”

“เจ้า…เป็นรัชทายาทเจาหมิงจริงหรือ”

ท่าน้ำด้านล่างกลายเป็นเงียบงันในทันที

น้ำในทะเลสาบกระจ่างใสกระเพื่อมในขณะที่ทรายขาวยังคงแน่นิ่ง แต่ปลากลับว่ายไกลออกไปประหนึ่งสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป

เฉินฉางเซิงเงียบไปเป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าไม่รู้ แต่ข้าไม่คิดว่าข้าเป็น”

สวีโหย่วหรงเอียงศีรษะเล็กน้อยและเอนกายพิงไหล่เขาอย่างอ่อนโยน