ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าพูดว่าอะไร”
“เข้าพูดว่า…ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชะตา”
เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสงบนิ่งและแน่วแน่ “ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเคราะห์ในชะตาคน”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองดวงตาเขาและกล่าวอย่างจริงจัง “ชะตาทอดตัวอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าดวงดาว”
เฉินฉางเซิงตอบ “เช่นนั้นข้าขอให้ใต้เท้าคำนวณและบอกข้าว่าข้าเป็นใครและข้าควรทำเช่นใด แทนที่จะบอกให้ข้าตัดสินใจเอาเองว่าจะทำอะไร”
“มีเรื่องน้อยมากที่ข้าไม่อาจคำนวณได้อย่างชัดเจน แต่เจ้าเป็นหนึ่งในนั้น” ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาเพิ่มขึ้นในยามที่กล่าว “เพราะอาจารย์ของเจ้าสามารถปิดบังความลับสวรรค์เช่นเดียวกับชุดดำ หากนี่เป็นแผนของพวกเขาข้าก็ไม่มีโอกาสที่จะมองทะลุได้”
ครั้นได้ยินชื่อกุนซือเผ่ามาร อารมณ์ของเฉินฉางเซิงก็แปลกไป “…เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชุดดำด้วยเช่นนั้นหรือ”
“หากข้าคาดคิดไม่ผิด การที่เจ้าเดินทางจากซีหนิงมาถึงจิงตูนั้นเป็นแผนการซึ่งมุ่งเป้ามาที่จักรพรรดินี” บางทีอาจเป็นเพราะเขาใช้พลังใจไปมากในการให้คำปรึกษาเฉินฉางเซิง ผู้เฒ่าความลับสวรรค์จึงดูอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง “ข้าไม่อาจคำนวณได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาทำอะไร แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าอยู่บ้าง”
เฉินฉางเซิงเงียบงันไปอีกครั้ง
เขานึกถึงคำพูดของสวีโหย่วหรงที่กล่าวกับเขาในคืนนั้น
เขานึกถึงบทสนทนากับถังถังในสำนักฝึกหลวงเมื่อหลายวันก่อน
คำพูดและบทสนทนารวมไปถึงสิ่งที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์พูดต่างก็ชี้ไปที่อาจารย์กับสังฆราช
“ข้า…จะไม่ร่วมมือ”
นี่เป็นเพียงคำพูดง่ายๆ ทว่าใช้เวลานานมากกว่าเฉินฉางเซิงจะพูดออกจากปากได้
เพราะนี่แสดงว่าเขาเริ่มสงสัยในตัวอาจารย์กับสังฆราช
บางทีอาจารย์กับสังฆราชอาจกำลังใช้เขาเพื่อเป้าหมายใหญ่บางอย่าง
เฉกเช่นดักบนหานซานที่ทำให้ราชามารได้รับบาดเจ็บสาหัส
เขาทนรับได้ แต่ไม่ว่าจะชอบใจ
ครั้งเดียวก็พอแล้ว แต่ไม่อาจทนได้หลายครั้งเกินไป
“แต่…หากเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนตลอดมาเล่า”
“หากเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อแผนนี้เล่า”
“หากการมีอยู่ของเจ้าเป็นแค่แผนการเล่า”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ย่อมไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปเพราะคำตอบของเขา แต่กลับถามอย่างหนักแน่นจนถึงขั้นโหดร้ายถึงสามคำถามซ้อน
แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น คำถามอีกมากมายตบหน้าเฉินฉางเซิงราวกับลูกเห็บเย็น
“หากเจ้าเป็นรัชทายาทเจาหมิง เหตุใดเจ้าสำนักซางกับสังฆราชถึงให้เจ้าเข้ามาในจิงตู”
“เพราะพวกเขาคิดว่าจะสามารถซ่อนเจ้าจากสายตาอันแหลมคมของจักรพรรดินีได้อย่างนั้นหรือ ไม่สิ บางทีพวกเขาอาจจะจงใจให้จักรพรรดินีเห็นเจ้า จับตาดูเจ้า”
“ทำไมละหรือ หรือว่าพวกเขาส่งเจ้ามาให้จักรพรรดินีเพื่อให้นางสังหารเจ้า นางจะได้เปลี่ยนชะตาได้อย่างสมบูรณ์”
“เฉินฉางเซิง อย่าพยายามตอบคำถามเหล่านี้ เพราะเมื่อเจ้ามองหาคำตอบ เจ้าย่อมเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ”
“ฉวยโอกาสที่เรื่องเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้น จากไป ซ่อนตัว อย่าให้ใครได้พบเจ้าอีก”
เฉินฉางเซิงไม่อยากจะฟังต่อไป
เขายืนขึ้นและพูดกับผู้เฒ่าความลับสวรรค์ “อันที่จริงหากท่านหวังจะแก้ปัญหานี้ ยังมีวิธีที่ง่ายกว่า”
“วิธีใด”
“ฆ่าข้าตอนนี้เสียเลย”
“ไม่ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”
“ทำไม”
สายตาผู้เฒ่าความลับสวรรค์กลับมาสุขุมในยามที่กล่าว “เพราะข้าจะไม่ตัดสินใจแทนจักรพรรดินี”
เฉินฉางเซิงมองกลับไปอย่างสุขุมเช่นกัน “เช่นนั้นข้าก็ขอให้ใต้เท้าอย่าได้ตัดสินใจแทนข้า”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็ไม่อยู่ต่อ หันหลังกลับและเดินเข้าสู่หมอกหนาในสวน
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองแผ่นหลังของเขา กล่าวอย่างอ่อนแรง “หายตัวไป แบบเดียวกับซูหลี นี่นับเป็นเมตตาอันยิ่งใหญ่ต่อโลกใบนี้”
เฉินฉางเซิงหยุดเดินแต่ไม่พูดอะไร
เขากัดลูกท้อในมือและเดินหายเข้าไปในหมอก
……
……
หมอกรวมตัวกันและกระจายไป ผู้คนมาแล้วก็ไป
ไม่นานหลังจากเฉินฉางเซิงจากไป สวีโหย่วหรงก็นั่งเรือมายังเกาะเล็กใจกลางทะเลสาบและนั่งในตำแหน่งที่เขานั่ง
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์กล่าว “อันที่จริงแล้วก่อนเจ้ากับเฉินฉางเซิง ยังมีอีกคนหนึ่งที่นั่งตรงนี้”
สวีโหย่วหรงถาม “ใคร”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ตอบ “หลิวชิง”
สวีโหย่วหรงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกชื่อนี้ออก
“ข้าถามหลิวชิงว่าเฉินฉางเซิงเป็นคนเช่นใด”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์กล่าวต่อ “เขาครุ่นคิดคำถามนี้เป็นเวลานานแล้วก็บอกข้าว่า…เฉินฉางเซิงเป็นคนดี”
มือสังหารชื่อก้องโลกประเมินเฉินฉางเซิงว่าเป็นเช่นนั้น สวีโหย่วหรงรู้สึกว่าช่างเหมือนปาฏิหาริย์
“แล้วเจ้าล่ะ ในสายตาของเจ้าเฉินฉางเซิงเป็นคนเช่นไรกัน”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองดูนางและถามอย่างสุขุม
คำถามนี้ถามอย่างสงบนิ่งยิ่งนัก ดวงตาผู้เฒ่าความลับสวรรค์ก็สุขุมยิ่ง สุขุมราวกับว่าเขารู้ความลับมากมาย
ไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าสวีโหย่วหรงมีอารมณ์เช่นใด ผ้าขาวพลิ้วไปตามลม กลืนกลายไปกับมวลหมอก
เสียงอันดังผ่านผ้าขาวนั้นอ่อนโยนและมั่นใจมาก
“เขาเป็นคนจริง”
ได้ยินเช่นนั้นผู้เฒ่าความลับสวรรค์ก็หวั่นไหวเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าสวีโหย่วหรงจะประเมินเฉินฉางเซิงสูงเช่นนี้
ครั้นเมื่อคำนึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นช่วงสองปีที่ผ่านมาและเรื่องเกี่ยวกับร่างกายของเฉินฉางเซิง เขาก็ตระหนักว่าการประเมินนี้ถูกต้องทีเดียว
“การจะรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาในโลกอันโหดร้ายนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ถอนหายใจและกล่าว “บอกจักรพรรดินีว่าหากเฉินฉางเซิงกลับไปจิงตูให้สังหารเขาอย่าได้ลังเล”
ประโยคแรกเป็นคำชม ประโยคหลังเป็นคำสั่งฆ่า
ข้าหลวงเต็มจิงตู ทุกคนเปี่ยมสังหาร
สวนเงียบงันยิ่ง เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแจ่มชัด
สวีโหย่วหรงไม่กล่าวอะไร เพียงแค่มองไปที่ชายชรา
ผ้าขาวอาจบดบังใบหน้านาง ทว่าไม่อาจปิดบังสายตาสุขุมเด็ดเดี่ยวได้
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มิได้สบตากับนาง เขายืนขึ้นไพล่มือไว้ด้านหลัง ทอดสายตาไปยังทะเลสาบอันปกคลุมไปด้วยหมอก น้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ในยามกล่าว “หากเจ้าไม่ต้องการทำ ก็นำเขาจากไป ใช้ความรัก ใช้ความตั้งใจ ใช้กระเรียนขาว ใช้วัยเด็กของเจ้า ใช้วิธีใดก็ได้ ไปไกลเท่าไรก็ยิ่งดี”
สวีโหย่วหรงจ้องมองหลังของชายชราและถาม “ใต้เท้าคำนวณได้ว่าอย่างไร”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ไม่ได้หันกลับไป “เขาหมดสติไปเป็นเวลาสามวันสามคืน ข้าก็คำนวณเป็นเวลาสามวันสามคืน แต่กระนั้นก็ยังเต็มไปด้วยหมอกกับแสงเพียงสายหนึ่งเท่านั้น”
สวีโหย่วหรงพึมพำ “แสงหรือ”
“แสงนี้ชัดเจนหาใดเปรียบเฉกเช่นกระบี่ของซูหลี”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์กล่าวทิ้งท้าย “หากเขารอดชีวิตกลับไปยังจิงตู จักรพรรดินีจะตาย เจ้าจะเลือกเช่นใด”
……
……
เขากลับไปที่บ้าน ยืนที่ระเบียง เหม่อมองไปที่ทะเลสาบกว้างใหญ่ตรงหน้า แต่เฉินฉางเซิงไม่รู้สึกว่าจิตใจโล่งโปร่งแม้แต่น้อย
เขาคิดถึงคำพูดสุดท้ายของผู้เฒ่าความลับสวรรค์ หายตัวไป แบบเดียวกับซูหลี นี่นับเป็นเมตตาอันยิ่งใหญ่ต่อโลกใบนี้
แล้วความเมตตาที่โลกมีต่อซูหลีอยู่ที่ใดเล่า ความเมตตาที่มีต่อข้าอยู่ที่ใด
เขาเอนกายพิงระเบียงหันหน้ารับลม ตรึกตรองอย่างเงียบงันเป็นเวลานาน