สายลมมากมายเหลือคณาเหนือทะเลสาบพัดผ่านค่ายกลมาอย่างไม่อาจหาความหมายได้ โบกโบยเข้ามาพาหมอกหายไปทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง
อารมณ์ของคนทั้งสองสะท้อนออกมา
“วิชาแพทย์ของข้าเป็นรองซาง ไม่เหนือกว่าอิ๋น”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองเฉินฉางเซิงและกล่าว “หากทั้งสองคนนั้นยังไม่รู้ ข้าเองก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร”
เฉินฉางเซิงมองไกลออกไป ครั้นสายลมพัดไล่ม่านหมอกไปแล้ว เขาก็มองเห็นความงามของทะเลสาบสีน้ำเงินเข้ม
“อย่างไรก็ตาม จากการคาดเดาของข้า เมื่อปัญหาของเจ้าเกิดจากการระเบิดของวงตะวันในยามที่เจ้าเป็นทารก ทำให้เส้นลมปราณของเจ้าติดขัด หากเจ้าไม่ทำการบำเพ็ญต่อหรือแม้แต่สลายปราณแท้ในร่างจนหมด บางทีเจ้าอาจจะรักษาสภาพในตอนนี้เอาไว้ได้ระยะหนึ่ง อย่างน้อย…ก็ชะลอการปะทุของอาการบาดเจ็บได้”
ได้ยินเช่นนั้น เฉินฉางเซิงก็ละสายตากลับมาและถาม “ผู้อาวุโส โอกาสสำเร็จมีเท่าไร”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ได้ใช้เวลาไม่น้อยคิดคำนวณในตอนที่เฉินฉางเซิงกำลังหมดสติ เขาจึงตอบไปตามตรง “สองส่วน”
สองส่วนเป็นตัวเลขที่น่ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง หากบอกว่ามีความหวัง ก็เป็นความหวังที่ริบหรี่ เรียกได้ว่าสิ้นหวังก็ยังได้ แต่เส้นทางข้างหน้าก็เห็นได้ชัดเจน
วันนี้เฉินฉางเซิงได้เรียนรู้หลายสิ่ง สิ่งที่เขาเป็นกังวล ทว่าปลายทางก็ยังคงเป็นเงามืดทะมึน
หากเป็นคนอื่น การต้องพบเจอกับความหวังและสิ้นหวังสลับกันไปมาเช่นนี้อาจทำให้กลายเป็นบ้าไปแล้ว แต่เขาหาได้เป็นเช่นนั้น
เขาสามารถหลุดพ้นจากความรู้สึกได้อย่างรวดเร็วและกลับคืนสู่ความสงบ
สีหน้าผู้เฒ่าความลับสวรรค์ไม่เปลี่ยนไป ทว่าจิตใจปั่นป่วนราวคลื่นลมแรง ด้วยนิสัยของเด็กคนนี้ หากสวรรค์มิได้มอบชะตาเช่นนั้นให้แก่เขา เขาจะไม่เข้าถึงมหามรรคได้อย่างไร
จิตของเฉินฉางเซิงนั้นน่าตระหนกอย่างยิ่ง เขากลับคืนสู่ท่าทีปกติอย่างรวดเร็วเกินจินตนาการ ถึงขนาดลืมบทสนทนาที่เพิ่งเกิดขึ้น
จากนั้นเขาก็ถามคำถามที่อ่อนต่อโลกอย่างยิ่ง
“ผู้อาวุโส ท่านอยู่ฝั่งใด”
……
……
หากคนอื่นถามผู้เฒ่าความลับสวรรค์ด้วยคำถามแบบนี้ คงต้องพบจุดจบที่น่าอนาถอย่างยิ่ง
แต่สถานะของเฉินฉางเซิงนั้นพิเศษอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับสังฆราชและซาง และยังน่าจะมีความสัมพันธ์กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์จึงตอบคำถามนี้อย่างละเอียด
“ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับพระราชวังหลีนั้นดีเสมอมา แต่ความสัมพันธ์กับอิ๋นนั้นไม่ดีนัก ความสัมพันธ์กับราชสำนักโจวก็ไม่ดี แต่ความสัมพันธ์กับจักรพรรดินีดีทีเดียว”
“เช่นนั้น…หากข้าเป็นองค์ชายรัชทายาทเจาหมิง…จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะสังหารข้าหรือไม่”
คำถามต่อมาของเฉินฉางเซิงไม่ได้อ่อนต่อโลก อีกทั้งยังหนักหน่วงอยู่บ้าง
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ให้คำตอบซึ่งยิ่งหนักหน่วงกว่าคำถาม
“จากที่ข้าเข้าใจจักรพรรดินี นางต้องลงมืออย่างแน่นอน นางรอมาสองปีแล้ว และคงไม่รอไปตลอด”
“เพราะเหตุใด”
“เจ้าเคยได้ยินข่าวลือเรื่องการต่อต้านสวรรค์เปลี่ยนชะตาหรือไม่”
“ข้าเชื่อมาเสมอว่านั่นเป็นเพียงข่าวลือ”
“ข่าวลือมักเกิดจากความจริง บางครั้งความจริงก็แปลกประหลาดยิ่งกว่าข่าวลือเสียอีก”
เฉินฉางเซิงเงียบงันไป
มีข่าวลือแพร่ไปทั่วต้าลู่อยู่ตลอดเวลา
หลายร้อยปีก่อน จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถูกจักรพรรดิไท่จงขับไล่ออกจากวังหลวง ในสวนร้อยหญ้า นางพบสหายสองคน และได้เรียนรู้ความลับของการต่อต้านสวรรค์เปลี่ยนชะตา
สหายทั้งสองก็คือสังฆราชคนปัจจุบันกับอาจารย์ของเขา เจ้าสำนักฝึกหลวงซางสิงโจว
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์สาบานกับท้องฟ้าดวงดาวว่านางจะทำลายสายโลหิตของนางเพื่อแลกกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
“ทำลายสายโลหิต…” เขาพึมพำกับตัวเอง
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองตาเขาและกล่าวอย่างจริงใจ “สิ่งที่เรียกว่าชะตานี้ไม่เคยทำการค้าครั้งเดียวจบ การต่อต้านสวรรค์เปลี่ยนชะตาไม่ใช่จุดสิ้นสุด นับตั้งแต่เจ้าทำการสังเวยต่อท้องฟ้าดวงดาวจนถึงวันที่เจ้ากลับคืนสู่ทะเลดวงดาว มันจะดำรงอยู่ตลอดเวลา หากจักรพรรดินีหวังจะเปลี่ยนชะตาอย่างสมบูรณ์ นางจะไม่อาจมีผู้สืบสายโลหิตแม้แต่คนเดียว”
“หากนางมีเล่า”
“หากนางมี ก็จะมีช่องว่างในชะตาของนางซึ่งจะกลายเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของนาง”
“แต่…หากข้าเป็นรัชทายาทโจวหมิงจริง เช่นนั้นจักรพรรดินี…ก็คือมารดาข้า”
ครั้นเฉินฉางเซิงคิดถึงปัญหานี้ อารมณ์ของเขาก็มีความซับซ้อนที่ไม่อาจระงับได้
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์สุขุมจนเหมือนกับเย็นชา “จักรพรรดินีเคยมีบุตรธิดามากมายแต่ก็ตายไปหมดแล้ว”
เฉินฉางเซิงถาม “แล้วองค์หญิงผิงเล่า”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ตอบ “น้อยคนนักที่รู้ว่าองค์หญิงผิงมิใช่ธิดาจักรพรรดินี แม้แต่ตัวองค์หญิงเองก็ยังไม่ทราบ”
ทันทีที่ได้ยินข้อมูลนี้ เฉินฉางเซิงก็ตกใจเกินจะกล่าว จากนั้นเขาก็ตระหนักว่ามีหลายเรื่องที่เขาไม่เข้าใจพลันได้รับคำตอบ
อย่างเช่นการที่จักรพรรดินีเอ็นดูองค์หญิงผิง อบรมสั่งสอนนางอย่างดี
อย่างเช่นยามที่องค์หญิงต้องการแข่งชิงความเมตตาจากจักรพรรดินีกับสวีโหย่วหรง นางจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อยู่เสมอ
“หากบอกว่าจักรพรรดินีมีทายาทอยู่ในโลกนี้ก็คงเป็นสวีโหย่วหรงคนเดียวเท่านั้น”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ดูเหมือนจะรู้ว่าเขาคิดอะไร “แม้จะเป็นเพียงแค่ผู้สืบทอดในแง่ของจิตวิญญาณและพรสวรรค์เท่านั้นก็ตาม”
เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน ก่อนจะถามขึ้น “ในเมื่อใต้เท้ามีความสัมพันธ์อันดีกับจักรพรรดินี เหตุใดใต้เท้าถึงได้บอกความลับของนางกับข้า”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ตอบ “เพราะข้าหวังว่าจะช่วยให้เจ้าเลือกคำตอบที่ถูกต้อง”
ในยามที่เขาพูดก็มองไปที่ผลท้อในมือเฉินฉางเซิง
ผลท้อถูกปอกมานานแล้ว ถึงแม้สีของมันจะไม่เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่สดใหม่เหมือนเช่นเคย
เฉินฉางเซิงเงียบงันไป จากนั้นจึงถาม “ข้าจะสามารถเลือกอะไรได้”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ตอบ “เลือกทำเหมือนไม่รู้อะไร กลับไปยังจิงตู ให้จักรพรรดินีสังหาร หรือเลือกที่จะจากไป ฝังชื่อของเจ้าไว้ และหายไปจากสายตา”
เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้นถามผู้เฒ่าความลับสวรรค์ “แต่ทำไมถึงให้ข้าเป็นคนเลือก”
“เพราะ…ข้าไม่อยากให้จักรพรรดินีต้องเผชิญหน้ากับข้อสอบปรนัยที่ยากเย็นอีกครั้งหนึ่ง” ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ถอนหายใจด้วยความเศร้าที่ไม่อาจวัดได้ “นับจากตอนที่เจ้าเข้าสู่จิงตู นางก็ลังเลเสมอมา ไม่เช่นนั้นเจ้าคงตายไปนานแล้ว…แม่เสือกินลูก ไม่มีอะไรน่าเศร้าไปกว่านี้อีกแล้ว”
รูจมูกเฉินฉางเซิงอ้ารับอากาศหายใจอย่างยากลำบาก ส่งเสียงฟืดฟาด
มีแต่คนที่รู้จักเขาดีจึงจะเข้าใจว่านี่คือสัญญาณบอกว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา น้อยครั้งนักที่เขาจะมีท่าทีเช่นนี้
ลั่วลั่วรู้ ถังซานสือลิ่วรู้ แต่สวีโหย่วหรงยังไม่รู้
“แล้วลูกที่ถูกแม่เสือกินเข้าไปเล่า ลูกทั้งหมดที่ถูกเสือกินเข้าไป พวกเขาไม่น่าเศร้ายิ่งกว่าหรอกหรือ”
เขามองเข้าไปในดวงตาผู้เฒ่าความลับสวรรค์ในยามที่เขากล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น ไม่สำคัญว่าข้าเป็นรัชทายาทเจาหมิงหรือไม่ ต่อให้ข้าเป็น ก็ไม่ควรให้ข้าเป็นคนเลือก ควรเป็นนางต่างหาก ใต้เท้าอยากให้ข้าฝังชื่อตัวเองและหายตัวไป แต่ทำไมนางไม่ทำเหมือนกับว่านางไม่รู้อะไรและไม่ทำอะไรแทนเล่า”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ตอบ “เจ้าได้ปรากฏตัวขึ้นในจิงตูแล้ว จะให้นางทำเป็นมองไม่เห็นเจ้าอย่างนั้นหรือ จากสำนักฝึกหลวงจนถึงการชุมนุมไม้เลื้อย จากการประกาศของเหมยลี่ซาที่ถนนเสินของพระราชวังหลีจนถึงอันดับหนึ่งขั้นหนึ่งในการสอบใหญ่ มีคนมากมายที่จงใจให้จักรพรรดินีมองเห็นเจ้า”
เฉินฉางเซิงตอบ “นางเห็นข้าแล้วจะเกิดอะไรขึ้น”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ตอบ “หากเจ้าเป็นรัชทายาทเจาหมิง เจ้าก็คือจุดตายในการเปลี่ยนชะตาของจักรพรรดินี หากเจ้าอยู่ในจิงตูอีกหนึ่งวันนางก็จะเห็นเจ้าอีกหนึ่งวัน สำหรับนาง นี่เป็นการทรมานที่ไม่อาจจินตนาการได้ หากนางปล่อยเจ้าไปและไม่สนใจการมีอยู่ของเจ้า เจ้าก็จะกลายเป็นเคราะห์ในชะตาของนาง สองปีก่อน ในคืนที่เจ้าเลือกดาวชะตาในสำนักฝึกหลวง หลายคนก็สัมผัสได้ ผ่านไปไม่กี่วันข้าก็ทำการคำนวณอยู่เสมอและยืนยันได้ว่าข้าคิดไม่ผิด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉินฉางเซิงก็เงียบงันไป
ท้องฟ้าดวงดาว ชะตาคือสิ่งที่ปรากฏขึ้นบนแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ท้าทายสวรรค์เปลี่ยนชะตาคือเรื่องที่เขียนอยู่ไว้ในบันทึกของหวังจื่อเช่อ เขาเคยอยู่ที่นั่นมาก่อน ได้อ่านมันมาก่อน เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าเส้นที่เกิดจากดวงดาวบนแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไม่ตายตัว ในบันทึกของหวังจื่อเช่อเขียนไว้ว่า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชะตา!
“ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชะตา” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว
……