บทที่ 914 เฝ้ารอโอกาสที่เหมาะสม!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ขณะนี้เมื่อหวังเป่าเล่อมีสิทธิ์ควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์แล้ว การเคลื่อนย้ายระยะทางไกลก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ตราบใดที่ระยะทางนั้นไม่ไกลจนเกินไป ชายหนุ่มก็สามารถเดินทางไปและกลับได้ด้วยระดับปราณในปัจจุบัน

ตอนแรก เขาคิดว่าคงเป็นเรื่องดีหากนำเจ้าเยี่ยเหมิง เจ้าลา และเจ้าอู๋น้อยไปซ่อนไว้ที่ตลาดตระกูลเซี่ย แน่นอนว่าพวกเขาจะปลอดภัยที่นั่น แต่ตลาดอยู่ห่างออกไปจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไม่น้อย และหวังเป่าเล่อคงต้องออกแรงมากเพื่อจะเดินทางไปให้ถึงที่นั่น ส่วนการเคลื่อนย้ายกลับก็คงเกินกำลังของชายหนุ่มไป

เป็นเหตุให้เขาตัดสินใจเลือกตัวเลือกถัดไป หวังเป่าเล่อพบสะเก็ดดาวที่ไม่มีคนอยู่ จึงหลอมวงแหวนปราณครอบมันเอาไว้ เขาใช้ความสามารถของเจ้าอู๋น้อยและเจ้าเยี่ยเหมิงอย่างเต็มที่ โอกาสที่จะมีใครหาสะเก็ดดาวชิ้นนี้พบท่ามกลางสะเก็ดดาวจำนวนเป็นล้านๆ ในจักรวาลนั้นใกล้เคียงศูนย์

ต่อให้มันถูกพบ ตราบใดที่ผู้ที่หามันพบไม่ได้มาจากอารยธรรมครามทองคำ ก็คงไม่เป็นอะไร ความเฉลียวฉลาดของเจ้าเยี่ยเหมิงและความสามารถในการซ่อนตัวของเจ้าอู๋น้อยสามารถช่วยให้พวกเขารอดปลอดภัยได้

หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกกังวลแม้แต่น้อยตอนเดินทางกลับ อันที่จริงชายหนุ่มไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลสักนิดเมื่อเดินทางกลับมาถึงดารานิรันดร์ สิ่งเดียวที่เขายังรู้สึกหวั่นใจอยู่ก็คือความปรารถนาอันสูงสุดของตัวเอง!

*สุสานดวงดารา!*หวังเป่าเล่อจับจ้องไปยังดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ขณะที่นั่งอยู่บนดารานิรันดร์ ที่ดาวเอกนั้น ร่างจริงของเขาหลับใหลอยู่ ไพ่ตายใบสุดท้ายของชายหนุ่มอยู่ที่นั่น!

*ข้าจะไม่ใช่มันหากไม่จำเป็นจริงๆ…*หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ร่างจริงของเขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าร่างสารัตถะ แต่ก็มีจุดอ่อนอยู่มากเช่นกัน อาการบาดเจ็บหรือความตายที่เกิดขึ้นกับร่างนั้นจะถือเป็นจุดสิ้นสุด ไม่เหมือนร่างสารัตถะในตอนนี้ หวังเป่าเล่อปลอดภัยกว่าในร่างสารัตถะ แถมยังเคลื่อนไหวได้ง่ายดายกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลไม่รู้สิ้นยังควานหาตัวเขาอยู่ เป็นอีกเหตุผลนึงที่ชายหนุ่มยังรีรอ

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงระมัดระวังเป็นอย่างที่จะปลุกร่างจริงของตนขึ้นมา เขาละสายตาจากดาวเอกไปมองค่ายของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายนอกดารานิรันดร์แทน สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ค่ายของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ

หวังเป่าเล่อต้องหาโอกาสังหารปรมาจารย์มหาทัณฑ์ให้ได้ มันเป็นทางออกที่รวดเร็วและตรงไปตรงมาที่สุด แม้จะไม่ได้ง่ายที่สุดก็ตาม ปรมาจารย์อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง ต่อให้หวังเป่าเล่อลองสู้กับอีกฝ่ายดู โอกาสชนะก็คงเกือบเป็นศูนย์ ไม่มีทางเลยที่เขาจะสังหารปรมาจารย์ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

หากการต่อสู้ยืดเยื้อออกไป หวังเป่าเล่อก็คงจะต้องติดกับของปรมาจารย์ทั้งสองสำนัก ทั้งคู่อาจมีทางป้องกันไม่ให้เขาเคลื่อนย้ายหนีออกไป หากเป็นเช่นนั้น การพยายามสังหารปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็จะกลายเป็นอย่างอื่นไป เสมือนหนึ่งว่าชายหนุ่มได้ห่อตัวเองเป็นของขวัญแล้วไปนอนอยู่ที่หน้าบ้านของศัตรูแทน

*ช่างน่าปวดหัวอะไรเช่นนี้!*หวังเป่าเล่อยกมือถูหน้าผากและตัดสินใจเลิกคิดเรื่องนี้ไปก่อน เขาหลับตาลงเริ่มทำสมาธิ ชายหนุ่มฝึกไปด้วยระหว่างที่ทำสมาธิ เพื่อจะให้ปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ของเขาเสถียรขึ้น

เจ็ดวันผ่านไป หวังเป่าเล่อยังคงจับตาดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์และสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่หยุดพลางฝึกปราณไปด้วย

การแบ่งสมาธิเป็นสองส่วนเช่นนี้ย่อมหมายความว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการจากการฝึกปราณ แต่โชคยังดี ที่ผลลัพธ์ที่ได้มานั้นเป็นที่น่าพอใจ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความช่วยเหลือจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ ชายหนุ่มจึงมองเห็นว่า…ปรมาจารย์มหาทัณฑ์นั้นออกจากค่ายมาสามครั้งในช่วงเวลาเจ็ดวันดังกล่าว!

หวังเป่าเล่อเพิ่งได้รับพลังเสริมจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็สัมผัสไม่ได้ว่ามีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์คนอื่นๆ เข้ามาใกล้ปรมาจารย์ในการออกจากค่ายทั้งสามครั้งนั้น ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์คนอื่นๆ คงอยู่ห่างจากปรมาจารย์ไปพอสมควร…ตอนที่อีกฝ่ายออกจากค่ายครั้งแรก หวังเป่าเล่อรู้สึกอยากออกไปต่อสู้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องอดใจไว้ จากนั้นชายหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าปรมาจารย์ออกมาจากค่ายครั้งที่สองและครั้งที่สามตามลำพัง เมื่อนั้นเองหวังเป่าเล่อจึงสรุปได้ว่า…

อีกฝ่ายจงใจทำเช่นนั้น!

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จงใจสร้างโอกาสให้หวังเป่าเล่อ เฝ้ารอให้ชายหนุ่มปรากฏตัว ก่อนจะล่อให้เขา

เคลื่อนย้าย… ระหว่างการออกมาครั้งที่สามนั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ถึงขั้นพยายามบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ชั้นปลายอีกด้วย

ความกลัวอันยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกตนทั้งหลายคือการถูกขัดขวางระหว่างการบรรลุสู่ขั้นปราณต่อไป การถูกขัดขวางอาจส่งผลกระทบอันใหญ่หลวงและทำให้บาดเจ็บสาหัส ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่ใช่คนธรรมดา คงมีคนอื่นไม่กี่คนที่กล้าวางแผนเช่นนั้นและใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ!

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วแน่นก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน คลื่นพลังวิญญาณการเคลื่อนย้ายกระจายอยู่รอบกาย แต่ก่อนที่จะเกิดการเคลื่อนย้ายขึ้น… ชายหนุ่มก็สูดลมหายใจเข้าลึกและล้มเลิกความพยายามที่จะโจมตีศัตรู

เขาไม่มั่นใจนัก ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อยังมีอีกความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาอาจมีวิธีที่จะได้ขึ้นเรือดาวตก…

ไม่มีความจำเป็นต้องพยายามสังหารปรมาจารย์มหาทัณฑ์เลยแม้แต่น้อย การทำเช่นนั้นมีแต่อันตราย ยิ่งไปกว่านั้นโอกาสสำเร็จก็ต่ำนัก

*น่าจะมีวิธีอื่นที่ข้าจะสามารถชิงสิทธิ์การขึ้นเรือมาได้โดยไม่ต้องสังหารปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ข้าอาจจะลองขึ้นเรือหลังจากที่อารยธรรมครามทองคำได้สิทธิ์ไปแล้วและพยายามแย่งเอาสิทธิ์มา… อัจฉริยะที่พวกเขาเลือกให้ขึ้นไปบนเรือไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ อาจอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์เท่านั้น!*คิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มก็หรี่ตา ก่อนจะนั่งและเริ่มคิดถึงโอกาสสำเร็จของแผนการใหม่

มีปัญหาสามอย่างที่ข้าต้องหาทางรับมือ!

อย่างแรกก็คือ ข้าจะเข้าไปใกล้เรือวิญญาณหลังออกจากดารานิรันดร์ได้อย่างไร ปัญหานี้แก้ได้โดยการใช้พลังการเคลื่อนย้ายของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ ต่อให้อารยธรรมครามทองคำส่งผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ที่แข็งแกร่งมาคุ้มกันดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เอาไว้ ข้าก็ยังมีโอกาสลอบเข้าไปได้…

ปัญหาที่สองก็คือ ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะขึ้นเรือได้อีกครั้ง!

*และอย่างที่สาม… ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าคนเรือจะไม่พยายามห้ามข้าโจมตีเมื่อขึ้นไปอยู่บนเรือแล้ว!*หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มไม่แน่ใจเรื่องโอกาสในการก้าวข้ามอุปสรรคสองอย่างหลัง เขาก้มศีรษะ ก่อนจะพลิกฝ่ามือขึ้นมา แล้วดึงแหวนคลังเก็บออกมา หวังเป่าเล่อลังเลอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นก็ส่งดวงจิตเทพเข้าไปในแหวน

“ศิษย์พี่ ข้าขอขอบคุณในความช่วยเหลือ ข้าบรรลุขั้นปราณได้ก็เพราะท่านเกื้อหนุน ขอบคุณที่ช่วยตื่นขึ้นจากการหลับใหลเพื่อดึงเรือดาวตกมาหา ข้าเชื่อว่าท่านทำเช่นนั้นเพราะเหตุผลเดียว…” หวังเป่าเล่อใช้ดวงจิตเทพด้วยความระวัง ชายหนุ่มหยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังไม่ได้ยินคำตอบจากแหวนคลังเก็บ จากนั้นเขาจึงตัดสินใจบอกแผนของตัวเองกับอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย

“สถานการณ์ของข้าในตอนนี้ก็คือ ศิษย์น้องผู้ต่ำต้อยผู้นี้ไม่อาจชิงสิทธิ์เข้าสุสานดวงดารามาได้ ข้าจำเป็นต้องขึ้นเรือเพื่อไปสู้แย่งชิงสิทธิ์ของข้ามา”

“ข้าจึงมาขอความช่วยเหลือในการขึ้นเรือจากศิษย์พี่ และเพื่อจะสังหารเป้าหมายของข้าให้จงได้!” หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจนักว่าดวงจิตเทพของเขาส่งไปถึงกระดาษรูปมนุษย์หรือไม่ ชายหนุ่มมีความรู้สึกว่ากระดาษรูปมนุษย์นั้นตื่นอยู่ การปรากฏขึ้นของเรือวิญญาณก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกัน มีความเป็นไปได้สูงว่ากระดาษรูปมนุษย์ในแหวนนั้นวางแผนให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นเช่นนี้

หวังเป่าเล่อจำได้ว่ามีคลื่นพลังวิญญาณอ่อนๆ ที่กระดาษรูปมนุษย์แผ่ออกมาหลังจากที่เขาใช้บทสวดแห่งเต๋า ชายหนุ่มไม่ได้ล่วงรู้ถึงเหตุผลว่าเหตุใดกระดาษรูปมนุษย์จึงทำเช่นนั้น แต่สัญชาตญาณของเขาบอกว่า กระดาษรูปมนุษย์ตนนี้จะช่วยเขาขึ้นเรือและไปชิงสิทธิ์การเข้าถึงสุสานดวงดารามาได้แน่นอน!

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงไม่รู้สึกตื่นตระหนกเลยเมื่อส่งดวงจิตเทพออกไป กลับกันชายหนุ่มเฝ้ารออย่างเงียบงัน สิบห้านาทีให้หลัง เสียงหัวเราะน่าสะพรึงกลัวของกระดาษรูปมนุษย์ก็สะท้อนก้องอยู่ในหูเขา

มันเป็นเสียงหัวเราะที่เจือจาง กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้พูดว่ากระไร แต่กระนั้นในวินาทีนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ว่าเจ้าอมนุษย์ตกลงที่จะช่วยเหลือ เขามีความรู้สึกแปลกประหลาดที่อธิบายไม่ได้ปรากฏขึ้นในใจ

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ชายหนุ่มวางแหวนคลังเก็บลง ลุกขึ้นยืนแล้วก้มศีรษะคำนับต่ำ

“ข้าน้อยขอขอบคุณศิษย์พี่เป็นอย่างสูง!”

หลังจากที่แสดงความขอบคุณแล้ว หวังเป่าเล่อก็เก็บแหวนเข้ากระเป๋าก่อนจะนั่งลง มีความคาดหวังสะท้อนอยู่ในดวงตา ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาเพียงต้องรอเท่านั้น!

*ข้าต้องรอให้เรือวิญญาณและผู้ฝึกตนอารยธรรมครามทองคำปรากฏตัว!*หวังเป่าเล่อรู้ว่าถึงแม้สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะล้มเหลวในการยึดครองดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ พวกเขาก็จะไม่มัวพะวงอยู่กับความผิดพลาด เป้าหมายของพวกเขาคือการช่วงชิงสิทธิ์การเข้าสุสานดวงดารามา และเป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะหาทางเข้าทางอื่นด้วย

*พวกเขาอาจจะซื้อสิทธิ์การเคลื่อนย้ายจากฝ่ายการเมืองหรือตระกูลอื่นๆ…*หวังเป่าเล่อไม่ได้ใส่ใจคิดเรื่องนี้มากนัก ขณะนี้ชายหนุ่มตัดสินใจแล้ว เขาค่อยๆ ทำใจให้เย็นก่อนจะเริ่มฝึกปราณขณะรอคอย นอกเหนือจากจะต้องรักษาระดับปราณให้อยู่ในจุดสูงสุดแล้ว หวังเป่าเล่อยังเริ่มจัดเรียงสมบัติเวทและพลังเทพต่างๆ ในครอบครองอีกด้วย

ขณะนี้สมบัติเวทของเขาหากไม่เสียหายก็มีระดับปราณต่ำกว่าระดับของเขาอยู่หลายขุม ทั้งคุณภาพและความแข็งแรงของสมบัติเวทกลุ่มหลังนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป หวังเป่าเล่อจึงขีดพวกมันออกจากรายชื่ออาวุธที่สามารถนำมาใช้สู้ได้ สิ่งที่คงเหลืออยู่มีเพียงเกราะมหาจักรพรรดิ อาวุธเทพของเขา และโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา

ชายหนุ่มมีอาวุธเทพระดับเก้าอยู่ในครอบครองสองสามชิ้น แม้ว่าในอดีตพวกมันจะเคยเป็นวัตถุเวทล้ำค่าสำหรับหวังเป่าเล่อ แต่ตอนนี้พลังทำลายของพวกมันมีน้อยนิด เทียบไม่ได้กับพลังทำลายจากนิ้วมือของเขาเพียงนิ้วเดียวด้วยซ้ำ

ระดับปราณของข้าพัฒนาเร็วเกินไป ข้าไม่มีเวลานั่งพัก หลอมและสะสมวัตถุเวทเอาเสียเลยหวังเป่าเล่อถอนใจ กองทัพหุ่นเชิดของเขาก็ถูกทำลายไปจนร่อยหรอจากการต่อสู้กับผู้อาวุโสฝ่ายขวา ตอนนี้ชายหนุ่มมีเพียงกองทัพของเหล่าวิญญาณเท่านั้น

หวังเป่าเล่อยกมือถูหน้าผาก เขายังไม่ถอดใจ ชายหนุ่มยังมีเกราะมหาจักรพรรดิสุดล้ำค่าอยู่ เกราะนี้มีค่าเสียยิ่งว่าสมบัติเวทเป็นแสนๆ ชิ้นเสียอีก

*ช่างน่าเสียดาย สมบัติเวทที่ข้ารักใคร่เป็นอย่างมากในอดีตเหล่านี้…*หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นอย่างรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย ก่อนที่โทรโข่งขนาดยักษ์จะมาปรากฏขึ้นในมือ