บทที่ 915 การมาถึงของผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

โทรโข่งชิ้นนี้เป็นเพื่อนรักของหวังเป่าเล่อมายาวนาน มันอยู่กับเขามาตั้งแต่สมัยสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ โทรโข่งช่วยเหลือชายหนุ่มมาหลายต่อหลายครั้งในอดีต เขาทั้งหลอมและเสริมพลังให้มันอยู่หลายต่อหลายครั้ง จนเมื่อหวังเป่าเล่อไม่มีวัตถุดิบที่ดีเพียงพอจึงหยุดการหลอมเพิ่มระดับไป เขาหลอมมันจนหลอมต่อไม่ได้อีกแล้ว

หวังเป่าเล่อกำโทรโข่งเอาไว้แน่น พลางเฝ้ามองมันอยู่นานสองนาน หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ ชายหนุ่มก็วางโทรโข่งลง ก่อนจะเริ่มขุดลงไปในกระเป๋าคลังเก็บอีกครั้ง เขาหยิบกระบี่เหาะเหินสามเล่มออกมา พวกมันมีสามสีต่างกัน ใบมีดแสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของระบบการหลอมของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แม้ว่าจะคมกริบและเป็นอาวุธระดับเก้า แต่ก็ยังอยู่ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น

กระบี่ทั้งสามเล่มเสียหายหนัก แต่หลังจากที่หวังเป่าเล่อมาถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว เขาก็ใช้พวกมันในการฝึกซ้อมเพื่อเรียนรู้ระบบวัตถุเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ และเป็นการซ่อมแซมพวกมันไปในตัว

นอกจากยังมีเหรียญทองแดงโบราณทั้งห้า พวกมันก็ช่วยหวังเป่าเล่อเอาไว้มากเช่นกัน แต่ตอนนี้เหรียญทองแดงเหล่านี้เป็นเพียงภาระเท่านั้น ชายหนุ่มเก็บพวกมันเอาไว้เพราะหน้าตาที่โดดเด่น เมื่อเขาหยิบมันออกมาอีกครั้ง เขาจึงถือโอกาสนี้จ้องมองพวกมันอย่างละเอียด ชายหนุ่มกำลังจะวางพวกมันลงแต่แล้วก็ต้องส่งเสียงออกมาด้วยความฉงน

เหรียญพวกนี้มีบางอย่างแปลกไปหวังเป่าเล่อชะงักไปชั่วขณะ ชายหนุ่มหยิบเหรียญขึ้นมาใกล้ดวงตามากขึ้นก่อนจะจ้องดูอย่างละเอียด เขาลืมไปแล้วว่าได้เหรียญเหล่านี้มาอย่างไร เหมือนว่าจะมาจากกระเป๋าคลังเก็บจากศพที่พบบนสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจนัก ในอดีตเขาไม่ได้รู้สึกว่าพวกมันแปลกประหลาดอะไร แต่ขณะนี้เมื่อชายหนุ่มอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ เขาก็มองออกว่าเหรียญเหล่านี้มีอะไรบางอย่างที่พิเศษ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…วัสดุที่ใช้หลอมเหรียญเหล่านี้ขึ้นมา

ละอองศิลาจักรพิภพอย่างนั้นหรือนัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเบิกโพลงขึ้นช้าๆ ชายหนุ่มไม่ได้เห็นวัตถุดิบดังกล่าวเลยตั้งแต่มาถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่เคยเห็นวางขายอยู่ที่ตลาดตระกูลเซี่ย หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าวัตถุดิบล้ำค่านี้เป็นสิ่งจำเป็นในการหลอมดารานิรันดร์ มันทั้งหายากและมีราคาแพงยิ่ง หากจะตีราคาตามมาตรวัดของสหพันธรัฐเป็นกรัม ละอองศิลาจักรพิภพหนึ่งกรัมมีราคาถึงหนึ่งแสนผลึกสีชาด!

ราคาของละอองศิลาจักรพิภพจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณหลังจากที่พ้นสิบกรัมแรกไป หวังเป่าเล่อชั่งน้ำหนักเหรียญทั้งห้าในมือ เขาเชื่อว่าน้ำหนักรวมของพวกมันน่าจะร่วมๆ ครึ่งกิโลกรัม

หวังเป่าเล่อกังวลว่าเขาจะเข้าใจผิด จึงกดความตื่นเต้นเอาไว้ภายใน ก่อนจะยกมือขยี้ตาและจ้องมองเหรียญดีๆ อีกครั้ง ในที่สุดนัยน์ตาทั้งสองของชายหนุ่มก็เบิกกว้าง ลมหายใจไม่คงที่

*ข้าเข้าใจถูกต้อง! สวรรค์ ไม่คิดเลยว่าข้าจะร่ำรวยถึงเพียงนี้!*หวังเป่าเล่อแทบจะกระโดดขึ้นไปบนฟ้าด้วยความลิงโลดใจ ชายหนุ่มหันมองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณก่อนจะเก็บเหรียญเข้ากระเป๋าคลังเก็บอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงยกมือตบกระเป๋าเบาๆ ก่อนจะถอนใจยาว

เก็บเหรียญไว้กับตัวไม่ดีแน่ น่าเสียดายที่ข้าเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ไม่สะดวกนัก หากข้าทำได้…คงจะเอาเหรียญเหล่านี้ไปซ่อนไว้กับร่างจริงแล้วหวังเป่าเล่อยังคงตื่นเต้นอยู่ไม่หาย เขาไม่แน่ใจนักว่าได้เหรียญเหล่านี้มาอย่างไร แต่ขณะนี้เมื่อรู้ค่าของพวกมันแล้ว ชายหนุ่มจึงอยากรู้ที่มาของเหรียญเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง

*พวกมันถูกหลอมขึ้นมาจากวัตถุดิบราคาแพงลิบ ดังนั้นน่าจะเอาไว้ใช้ทำอย่างอื่นได้ด้วยเป็นแน่!*จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็คิดขึ้นมาได้ อาจจะมีสมบัติราคาแพงลิบอยู่ในกระเป๋าเขาอีกก็เป็นได้ สมบัติที่ในอดีตเขาไม่เห็นคุณค่า ชายหนุ่มเปิดกระเป๋าคลังเก็บขึ้นมามองดูสิ่งของทุกชิ้นอย่างถ้วนถี่

โชคไม่ดีนักที่เหรียญพวกนั้นเป็นข้อยกเว้นเพียงข้อเดียว หวังเป่าเล่อไม่เจออะไรที่มีค่าเท่าเหรียญทองแดงโบราณในกระเป๋าคลังเก็บอีกเลย

ชายหนุ่มทอดถอนใจ จากนั้นสายตาก็มองทอดไปยังกระบี่เหาะเหินและโทรโข่ง หวังเป่าเล่อมีวัตถุดิบหลอมวัตถุเวทอยู่บ้างในกระเป๋าคลังเก็บแต่ก็ไม่มากนัก เขาสามารถหลอมวัตถุเวทได้ชิ้นเดียว เมื่อคิดอยู่สักพัก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจทิ้งกระบี่เหาะเหินเอาไว้แล้วหยิบโทรโข่งขึ้นมา

*ข้าเลือกเจ้า!*ด้วยระดับปราณปัจจุบันของหวังเป่าเล่อ ทักษะการหลอมวัตถุเวทและตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันของเขา การจะเสริมพลังโทรโข่งนี้ย่อมไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เขาเพียงต้องสลับวัตถุดิบเดิมในโทรโข่งออกแล้วใส่ของใหม่เข้าไป จากนั้นก็เพิ่มตัวอักขระลงไปก็เท่านั้น

และด้วยเปลวเพลิงดารานิรันดร์ของหวังเป่าเล่อ โทรโข่งจึงมีพลังของเปลวเพลิงติดมาด้วย เพื่อจะยกระดับความสามารถนี้ให้ถึงขีดสุด หวังเป่าเล่อจึงกลืนโทรโข่งลงไป แล้วเก็บมันเอาไว้ในเปลวเพลิงดารานิรันดร์ที่เผาไหม้อยู่ในกายของเขา

เปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายเขาเป็นผลผลิตจากเคล็ดวิชาการฝึกปราณของเจ้าอู๋น้อย เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการหลอมวัตถุเวทที่สุดที่หวังเป่าเล่อมีในตอนนี้

ชายหนุ่มหล่อเลี้ยงโทรโข่งชิ้นนี้ด้วยเปลวเพลิงดารานิรันดร์อย่างตั้งใจ จากนั้นก็ก้มลงมองในกระเป๋าคลังเก็บอีกครั้ง แหวนคลังเก็บนอนนิ่งอยู่ภายใน และสมบัติอีกชิ้นหนึ่งก็นอนนิ่งอยู่ภายในแหวนวงนั้น

สิ่งนั้นก็คือ…คันธนูจักรพิภพ!

ข้าใช้คันธนูนี้ไม่เป็นเลย น่าเสียดายหวังเป่าเล่อส่ายหน้าด้วยความเศร้าใจ หลังจากที่การเหาะหนีสายฟ้าจบลง ชายหนุ่มก็ทดลองใช้คันธนูระหว่างเดินทางกลับ แต่ไม่ว่าจะโก่งสายสักเพียงใด มันก็ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ตามการคาดคะเนของหวังเป่าเล่อ เขาคงต้องอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์เป็นอย่างน้อยจึงจะใช้คันธนูได้

ข้ายังมีฝักกระบี่ในกายและพวกยุงด้านในอยู่…แต่พวกมันอยู่กับร่างจริงของข้าหวังเป่าเล่อส่ายศีรษะ ชายหนุ่มตัดสินใจเลิกคิดเรื่องสมบัติเวท ก่อนจะหันมาดูพลังเทพแทน

*อย่างแรกคือดวงเนตรปีศาจ… มันมีพลังสามารถหยุดความเคลื่อนไหวของศัตรูและใช้ต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ หากข้าลอบจู่โจมได้สำเร็จ ข้าอาจสังหารผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ด้วยดวงเนตรปีศาจได้ มันยังดูดกลืนพลังวิญญาณของศัตรูได้ด้วย ยิ่งข้าล้มศัตรูได้มากเท่าไร ข้าก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น!*หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่เป็นนาน หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจจะใช้ดวงเนตรปีศาจเป็นพลังเทพหลักของเขาในการต่อสู้

ต่อไปก็ระเบิดกำเนิดดวงดารา… มันไม่ทรงพลังเท่าพลังเทพอื่นๆ แต่ก็ดีกว่าใช้แค่แรงกายอยู่บ้าง มันใช้พลังงานมากและกินปราณมากเกินไป แต่ในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรดีกว่าให้ใช้ ระเบิดกำเนิดดวงดารา…ก็ถือเป็นการโจมตีที่รุนแรงและสามารถสร้างความเสียหายมหาศาลได้ หากข้าใส่พลังปราณทั้งหมดที่มีเข้าไป!

ต่อไปก็วิชาแห่งศาสตร์มืด ข้าควรหลีกเลี่ยงที่จะใช้มัน ส่วนบทสวดแห่งเต๋า… ข้าก็อาจต้องใช้อย่างระมัดระวังเช่นกันหวังเป่าเล่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตอนที่ใช้บทสวดแห่งเต๋าครั้งล่าสุดก่อนจะตัวสั่นขึ้นมา

ข้ามีพลังเทพและคาถาเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น อย่างเช่นกระบวนท่าดัชนีเมฆาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับกระบวนเวทประกายสายฟ้าและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเขตอัสนี…

หวังเป่าเล่อจมอยู่ในความทรงจำไปชั่วขณะ จากนั้นชายหนุ่มจึงยกมือขวาขึ้น เส้นสายฟ้าปรากฏขึ้นเหนือเล็บก่อนจะเต้นเร่าอยู่ระหว่างเล็บมือ มันเริ่มมาจากคาถาขั้นกำเนิดแก่นใน ก่อนจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณ จนกระทั่งมาถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะ สายฟ้าตอนนี้กลายเป็นสีใหม่ ซึ่งก็คือสีแดงก่ำ!

ความแข็งแกร่งที่มากขึ้นของสายฟ้าและสีที่เปลี่ยนไปนั้นเป็นผลมาจากการที่หวังเป่าเล่อคอยขัดเกลาเคล็ดวิชาฝึกปราณอยู่ตลอด ด้วยระดับปราณปัจจุบันของเขา การยกระดับคาถาง่ายๆ เช่นนี้ใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น

มันก็ดูแข็งแกร่งใช้ได้อยู่นะหวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงพลังทำลายของวิชาสายฟ้านี้ เขายกมือขวาขึ้นดีดนิ้วทีหนึ่ง มีสายฟ้าสีแดงก่ำปรากฏขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน เป็นคลื่นความร้อนที่ห่อหุ้มกายเขาเอาไว้ ก่อนจะมารวมตัวกันเป็นลูกสายฟ้าบนฝ่ามือของชายหนุ่ม

หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังของมัน หากเกิดระเบิดขึ้น รัศมีการทำลายจะแผ่ออกไปหลายกิโลเมตร กลายเป็นพายุสายฟ้าซึ่งทำความเสียหายได้ไม่เท่าทะเลสายฟ้าที่ขวดปรารถนาพามาเพราะการขอพรไปเรื่อยของเขา แต่ก็อาจเพียงพอที่จะสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ได้

“ต่อให้ฆ่าศัตรูไม่ได้ในครั้งเดียว ข้าก็อัดเขาซ้ำเป็นสองครั้งได้ หากสองครั้งยังไม่ได้ ข้าก็จะอัดเป็นสิบ!” หวังเป่าเล่อบ่นกับตนเอง ชายหนุ่มโบกมือก่อนจะส่งลูกสายฟ้าให้อันตรธานไป หมอกปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือเขาเป็นอย่างต่อไป มันก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะควบแน่นกลายเป็นนิ้วมือ คลื่นพลังอันรุนแรงที่เหนือกว่าพายุสายฟ้าแผ่ออกมาจากนิ้วมือนั้น ดูราวกับว่าใครสักคนเพิ่งจะปลดผนึกที่ขังนิ้วนั้นออก ทำให้คลื่นพลังไหลบ่าออกมาไม่หยุด!

หวังเป่าเล่อถึงกับกระตุกเมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีของพลังนั้น แววความตกใจและเคลือบแคลงสะท้อนวูบขึ้นมาในดวงตาขณะที่เขาสำรวจรัศมีดังกล่าวอย่างถ้วนถี่

ดัชนีเมฆาอาจเป็นพลังเทพอันโด่งดังของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น ถึงอย่างนั้นก็ดูท่าจะรุนแรงกว่าระเบิดกำเนิดดวงดาราถ้าใช้ด้วยระดับปราณของข้า ทำไมกันนะลมหายใจของหวังเป่าเล่อถี่เร็วเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณที่ไหลบ่าออกมาจากดัชนีเมฆา มีคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้!

*เคล็ดวิชาฝึกปราณของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์…ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น!*หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจว่าเมื่อกลับไปยังสหพันธรัฐเขาจะไปถามปรมาจารย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ให้รู้แน่แก่ใจ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าปรมาจารย์คิดค้นเคล็ดวิชาฝึกปราณเหล่านี้ขึ้นเอง หรือไปค้นพบมาจากอักขระโบราณใดๆ

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มทดสอบพลังเทพต่างๆ ที่เขาใช้จนเชี่ยวชาญมาตั้งแต่เริ่มต้นการฝึกปราณ ชายหนุ่มสังเกตว่า ดัชนีเมฆาดูจะเป็นกระบวนท่าเดียวที่แข็งแกร่งขึ้น พลังเทพอื่นๆ ไม่ได้สร้างความเสียหายรุนแรง บ้างก็เหมือนระเบิดกำเนิดดวงดารา คือต้องใช้ปราณปริมาณมากเพื่อให้โจมตีได้แรงขึ้น

พูดให้ง่ายก็คือ พลังเทพเหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่งพอ จึงไม่อาจปล่อยพลังเต็มที่ของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะออกมาได้ หากเขาใช้พลังปราณออกไปร้อยละสิบ ก็จะสามารถสร้างความเสียหายให้ศัตรูได้เพียงร้อยละสิบสอง เมื่อเทียบกันแล้ว วิชาดัชนีเมฆาอาจทำได้ถึงร้อยละสิบแปดหรือสิบเก้า

ช่างน่าเสียดายที่พลังเทพอื่นๆ ที่ข้าได้รับมาจากนิมิตมืดนอกเหนือไปจากดวงเนตรปีศาจนั้นมีรัศมีวิชาแห่งศาสตร์มืดอยู่แรงกล้า ข้าต้องบรรลุระดับดาวพระเคราะห์เสียก่อนจึงจะสามารถฝึกต่อจนเชี่ยวชาญได้หวังเป่าเล่อส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนที่นัยน์ตาจะทอประกายในอึดใจต่อมา

ข้ายังมีความสามารถเฉพาะตัวอยู่ แม้ว่าพลังของมันอาจจะจำกัดในสถานที่อื่นๆ แต่ก็น่าจะทรงพลังที่สุดในสุสานดวงดารา!

ความสามารถเฉพาะตัวนั้นก็คือ…ทักษะที่ข้าได้มาเมื่อครั้งที่ได้รับวิญญาณจุติ… ทักษะที่สามารถรับพลังเสริมจากดาวเคราะห์รอบกาย!

*ยิ่งดาวเคราะห์ดวงใหญ่เพียงใด พลังของข้าก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งข้าอยู่ใกล้ดาวเคราะห์มากเพียงใด ข้าก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามกัน แปลว่ายิ่งมีดาวเคราะห์อยู่รอบกายมากเพียงใด ข้าก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก!*ความคิดนั้นทำให้หวังเป่าเล่อมั่นใจขึ้นเป็นอันมาก เขายิ่งมั่นอกมั่นใจที่จะประสบความสำเร็จในสุสานดวงดารา ชายหนุ่มกำลังจะคิดแผนต่อไป แต่จู่ๆ ก็มีสีหน้าตื่นตกใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างปุบปับ มองจ้องไปในจักรวาลที่อยู่ห่างออกไป

ด้วยความช่วยเหลือจากดวงเนตรดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อจึงสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งที่มาจากทิศทางนั้น พลังนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุกสว่างของดารานิรันดร์ แสงอันเจิดจ้าของมันส่องสว่างขึ้น ทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์สว่างไสวไปทั่ว

ที่ตรงเส้นเขตแดนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และที่ปลายสุดฝั่งหนึ่งของทะเลแห่งแสงนั้น จู่ๆ ก็มีเงาร่างสองร่างค่อยๆ ปรากฏขึ้น!

ร่างหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มใบหน้าเย่อหยิ่ง อีกร่าง…เป็นชายชราสวมชุดคลุมสีทอง!

ชายชรานั้นเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ ขณะที่ร่างของเขาค่อยๆ ก่อตัวขึ้น  สีหน้าเขาก็แสดงให้เห็นว่าสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ชายชราปรายตามองมายังดารานิรันดร์ที่หวังเป่าเล่ออยู่

มีเสียงดังสนั่นขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อเมื่อสายตาของชายชราจับจ้องมาที่เขา ดารานิรันดร์ที่ชายหนุ่มยืนอยู่ปะทุขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อตัวเป็นเกราะกำบังสายตาอันทรงพลังของอีกฝ่าย แต่ก็ยังไม่อาจหยุดร่างที่สั่นสะท้านของชายหนุ่มซึ่งเกิดจากสายตาคู่นั้นได้ ปราณของหวังเป่าเล่อเริ่มไม่คงที่

ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์!