ไท่จื่อผู้สูงศักดิ์ของเรา ไปด้วยความปรารถณาดี คิดแต่ว่าจะไปยินดีในวันครบร้อยวันของเด็กๆ แต่ของขวัญยังไม่ทันถูกส่งเข้าไป กลับถูกองครักษ์เงาของอ๋องฉีไล่ออกมาเสียแล้ว
กลับตำหนักไปด้วยความผิดหวัง ทีแรกคิดว่าเรื่องนี้จะจบเพียงเท่านี้ แต่น่าเสียดาย ที่เขาดูถูกความรักที่ท่านอ๋องมีต่อหลานสาวเสียแล้ว
งานร้อยวันจบลงด้วยความคึกครื้น ของขวัญที่เตรียมมาก็ได้ส่งมอบเป็นที่เรียบร้อย คนที่อยากประจบก็ได้ประจบเต็มที่แล้ว เหล่าขุนนางที่มาร่วมแสดงความยินดีหลังจากกินจนอิ่มดื่มจนพอใจแล้ว ก็พาฮูหยินของตนกลับบ้านไปอย่างมีความสุข แน่นอนว่านี่รวมไปถึงคู่ของหลินจ้งและฮูหยินหลินที่มีเรื่องจะบอกหลินหันเยียนด้วย
คู่ของเหวินซื่อและเปาอีฝาน รวมไปถึงคู่ของฉู่เหวินเจี๋ยก็ได้กลับไปแล้ว จวนอ๋องเงียบขึ้นมาทันที บ่าวรับใช้ในจวนยุ่งอยู่กับการทำความสะอาด
เหนื่อยติดต่อกันมาหลายวัน หวงฝู่อวี้ก็เหนื่อยแล้ว หลังจากส่งแขกคนสุดท้ายกลับไป จึงได้สั่งพ่อบ้านว่า “ทำความสะอาดจวนให้ดี ข้าขอกลับไปพักผ่อนก่อน”
พ่อบ้านรับคำ
หวงฝู่อวี้หันหลังเดินกลับเรือนของตนเองไป
บ่าวรับใช้ทั้งหมดกำลังเก็บกวาดอยู่ที่เรือนหน้า ยังไม่ได้กลับมา บริเวณเรือนของตนจึงได้เงียบสนิท หน้าประตูไม่มีคนเฝ้าสักคน
หวงฝู่อวี้เปิดม่านออก เดินเข้าไป เห็นหงเอ๋อร์กำลังทำความสะอาดอยู่ด้านใน จึงสั่งว่า “ออกไปก่อน”
หงเอ๋อร์มองหลินหันเยียน ไม่ขยับ
หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว น้ำเสียงเริ่มมีความรำคาญ “ไสหัวออกไป!”
หวงฝู่อวี้ไม่เคยพูดเช่นนี้กับนางมาก่อน หงเอ๋อร์กลัวจนตัวสั่น จากนั้นก็เดินออกไปด้วยความกลัว
คิ้วของหวงฝู่อวี้ขมวดลงมากกว่าเดิม ไม่มีสาวใช้คนใดในจวนอ๋องที่ไม่รู้จักกาลเทศะถึงเพียงนี้ ได้ยินคำสั่งจากเจ้านายแต่กล้าไม่ทำตาม หากนางมิใช่คนที่เยียนเอ๋อร์พาเข้ามาล่ะก็ เขาคงจะไล่นางไปทำงานกับคนใช้ระดับสามแล้ว
หลินหันเยียนเองก็ดูเหมือนจะตกใจเช่นกัน น้ำเสียงสั่นเครือ “พี่อวี้ หงเอ๋อร์ทำอะไรให้ท่านไม่พอใจหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงดุนางเช่นนี้”
หวงฝู่อวี้นวดขมับที่ปวดของตนเอง จากนั้นก็พยายามพูดด้วยเสียงนุ่มนวล ฝืนยิ้มให้หลินหันเยียนว่า “เตรียมงานร้อยวันจนเหนื่อยติดกันมาหลายวัน อารมณ์ข้าจึงไม่ค่อยดีเท่าใดนัก”
พูดจบ ก็ไม่มองนางแม้แต่น้อย เดินตรงไปยังเตียง ล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มมาคลุมตัว ปิดตาลงพักผ่อน
หลินหันเยียนเม้มปาก ยืนขึ้น เดินไปข้างเตียง มองเขาจากมุมสูงครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มแกะกระดุมเสื้อของตน
ในความงัวเงีย หวงฝู่อวี้ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง จึงได้พยายามลืมตาขึ้น เมื่อเห็นภาพตรงหน้าชัดแล้วก็ตกใจมาก ความงัวเงียที่มีอยู่ได้หายไปทันที เบิกตาโพลง ผุดลุกขึ้นนั่งทันที รีบเอาผ้าห่มบนตัวห่มให้หลินหันเยียน น้ำเสียงมีความไม่พอใจอยู่ไม่น้อย “เยียนเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้ หากเป็นหวัดขึ้นมาจะป่วยเอาได้”
สีหน้าหลินหันเยียนแดงก่ำ ลำคอร้อนขึ้น กัดปาก รวบรวมความกล้า พูดเสียงเบาว่า “พี่อวี้ เรามาทำลูกด้วยกันเถิด”
หวงฝู่อวี้ผงะไป จ้องมองนาง ไม่พูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่
หลินหันเยียนก้มหน้าลง เมื่อไม่มีบทสนทนาต่อจึงได้เงยหน้าขึ้น แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นแววตาแปลกใจ ในใจมีเสียง ตุบ ดังขึ้นมา น้ำตาไหลรินออกมาทันที พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พี่อวี้ ท่านไม่เต็มใจหรือ”
หวงฝู่อวี้ได้สติกลับมา จึงเอื้อมมือไปแตะหัวนาง จากนั้นก็มาแตะหน้าผากตัวเอง เมื่อแน่ใจว่าหลินหันเยียนไม่ได้ป่วยจึงได้โล่งใจ รีบเอาผ้าห่มนางให้มิดชิดยิ่งกว่าเดิม “เยียนเอ๋อร์ พูดอะไรกัน พวกเรายังมิได้แต่งงานกันเลย หากเจ้าตั้งท้องเข้า จะถูกคนเย้ยหยันเอาได้นะ”
หลินหันเยียนกัดปากตัวเองจนเลือดแทบซึมออกมา ค่อยๆ เปิดปากพูดว่า “ข้าได้ถูกผู้คนเย้ยหยันไปแล้ว จะมีเรื่องน่าอายเพิ่มอีกสักเรื่อง ก็คงไม่ต่างกัน”
“ข้ามิได้หมายถึงเจ้า ข้าหมายความถึงลูก รอจนลูกเกิดมาแล้วจะถูกคนเย้ยหยันเอาได้” หวงฝู่อวี้อธิบายอย่างอ่อนโยน คิดเองว่าได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว แต่ไม่รู้เลยว่าคำนี้ได้ทำร้ายจิตใจของหลินหันเยียนเป็นอย่างมาก
น้ำตาไหลรินลงมาทันที พูดว่า “ในใจของพี่อวี้ ข้ายังสำคัญสู้ลูกมิได้เลยหรือเจ้าคะ”
เอาอีกแล้ว หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว ตั้งแต่พวกเขาอยู่ด้วยกันมา ก็ราวกับว่าเยียนเอ๋อร์ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างนั้น เอะอะอะไรก็ต้องร้องไห้ เยียนเอ๋อร์คนเดิมที่เข้มแข็ง ร่าเริง หายไปไหนเสียแล้ว
เขาอดทน ปลอบเสียงเบาว่า “ไม่ร้องแล้ว พี่อวี้พูดผิดไปแล้ว พี่ขอโทษ ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่สำคัญเท่าลูก แต่ว่าบัดนี้พวกเรา…เจ้ารอก่อนเถิด รอจนอีกสองสามวันเมื่อข้าขอร้องเสด็จพ่อและเสด็จแม่เรื่องงานแต่งของพวกเราแล้ว เราค่อยทำตอนนั้นก็ไม่สาย”
ดวงตาของหลินหันเยียนมีประกายเล็กน้อย “พี่อวี้ ท่านพูดจริงหรือ พวกเราจะได้แต่งงานกันเมื่อใด”
“เด็กๆ ครบร้อยวันแล้ว ในจวนก็ไม่มีงานอะไรอีก คงจะเร็วๆ นี้ เจ้าอดทนรออีกสักหน่อยเถิด”
หลินหันเยียน พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ พี่อวี้ ข้าจะรอเจ้าค่ะ”
เขาก้มจูบลงบนหน้าผากของนาง หวงฝู่อวี้ชมนาง “เยียนเอ๋อร์เด็กดีของพี่”
หลินหันเยียนก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
หวงฝู่อวี้เอียงข้าง หยิบเสื้อผ้ามาให้นางใส่ “รีบใส่เสื้อผ้าเร็ว เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้”
สีหน้าของหลินหันเยียนเปลี่ยนไป ผุดลุกขึ้นทันที นางทำถึงเพียงนี้แล้ว ยังยั่วยวนเขาไม่สำเร็จอีกหรือ
เมื่อเห็นท่าทางของนางเช่นนั้น ก็รู้ว่านางคิดมากอีกแล้ว หวงฝู่อวี้จึงได้ถอนหายใจยาวเหยียด โยนเสื้อผ้าทิ้งไปเงียบๆ จากนั้นร่างกายก็ไม่ทำตามหัวใจ เขาเอนตัวลง ทับบนร่างหลินหันเยียน
สองวันต่อมา เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดอบอุ่นสาดส่องเข้ามาบนร่างคน ช่างสบายเหลือเกิน
เนื่องจากเมิ่งซื่อมีธุระที่บ้านจึงไม่ได้เข้ามา พระชายาถูกพ่อบ้านเรียกตัวไป อ๋องฉีจึงได้ว่างงาน เดินเข้าไปยังห้องเด็กอ่อนอย่างใจเย็น
แม่นมทั้งสองรีบลุกขึ้นทำความเคารพ
อ๋องฉีโบกมือ “ไม่มีธุระอะไรของพวกเจ้าอีกแล้ว กลับไปพักผ่อนที่ห้องเถิด”
เมื่อก่อนก็เป็นเช่นนี้ เมื่อป้อนนมจนอิ่มแล้ว ก็ไม่ใช้งานพวกนางอีกเลย แม่นมทั้งสองตอบรับ แล้วก็จากไป
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของแม่นมห่างไปเรื่อยๆ อ๋องฉีจึงได้รีบลุกขึ้น อุ้มเด็กคนหนึ่งขึ้นมาวางไว้ในรถเข็นเด็กที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำเอง จากนั้นก็อุ้มอีกคนวางไว้ด้านในเช่นกัน ห่มผ้าให้พวกนางอย่างดี จากนั้นก็รีบเดินออกไปด้านนอก
บ่าวรับใช้ในจวนเห็นเหตุการณ์เช่นนี้จนชินตาเสียแล้ว เนื่องจากทุกครั้งที่อากาศดี อ๋องฉีและพระชายาก็มักจะเข็นเด็กๆ ออกมาเดินเล่นในจวนเช่นนี้ จึงได้ก้มหน้าลงทำงานของตนเองไป
แต่สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ ครั้งนี้อ๋องฉีเข็นเด็กๆ ออกไปนอกประตูจวน มือทั้งสองออกแรง ค่อยๆ ยกรถเข็นเด็กขึ้นด้วยความระมัดระวังวางบนรถม้าที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ตนก็ตามขึ้นไปด้วย จับรถเข็นเด็กไว้ให้มั่นคง จากนั้นก็สั่งคนรถว่า “ไปพระราชวัง”
คนขับรถง้างมือหวดแซ่ลงบนตัวม้าเบาๆ รถม้าเคลื่อนไปยังพระราชวังอย่างช้าๆ
รถม้าเคลื่อนตัวไปช้าๆ อ๋องฉีนั่งอยู่ในรถม้า มองดูเด็กน้อยสองคนที่เป่าน้ำลาย ร้องอ้อแอ้อยู่ในรถเข็นด้วยสายตาเอ็นดู
เมื่อถึงประตูวัง ขันทีที่กำลังเฝ้าประตูอยู่เห็นชัดว่าเป็นท่านอ๋องฉี ก็รีบเข้าไปต้อนรับ ก้มคำนับ “คารวะท่านอ๋อง”
อ๋องฉีเดินลงมาจากรถม้าด้วยท่าทีสง่างาม
ขันทีผายมือออกมา ทำท่าทางเรียนเชิญ “เชิญท่านอ๋อง…”
ยังไม่ทันพูดคำว่าเข้าไป ก็ต้องทำตาโต เขาเห็นอะไรหรือ อ๋องฉีที่ท่าทางฉลาดหลักแหลม และสง่างาม กลับกำลังออกแรงยกของบางอย่างที่พวกเขาไม่รู้จัก หนำซ้ำในรถยังมีเด็กทารกอีกสองคนด้วยกัน
ขันทีตะลึง ตัวแข็งทื่อไป
อ๋องฉีไม่ได้สนใจผู้ใดทั้งสิ้น เข็นรถเด็กอ่อนตรงเข้าไปในวัง
ขันทีได้สติกลับมา ก็รีบเดินเข้าไป พูดอย่างประจบประแจงเช่นเคยว่า “ท่านอ๋อง ให้ข้าน้อยทำเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบก็ยื่นมาออกมา เมื่อกำลังจะไปสัมผัสกับรถเข็นเด็ก สายตาเย็นชาของอ๋องฉีก็มองมา ทำเอาเขาตกใจกลัว หยุดการกระทำ และยืนนิ่งอยู่กับที่เช่นเคย มองดูอ๋องฉีเข็นรถเข็นเด็กเข้าไปด้านในวังด้วยความงุนงง
ในห้องทรงพระอักษร ฝ่าบาทกำลังอ่านฎีกาอยู่ หัวหน้าขันทีเดินเข้ามารายงานด้วยสีหน้าประหลาดและน้ำเสียงที่แปลกไป “ฝ่า ฝ่าบาท ท่านอ๋องฉีมาพ่ะย่ะค่ะ”
รับใช้ข้างกายเขามาหลายปี ฝ่าบาทยังไม่เคยได้ยินเสียงที่แสดงความตกใจได้ชัดเจนเช่นนี้ของหัวหน้าขันทีมาก่อน จึงได้เงยหน้ามองเขา ขมวดคิ้วลง “เกิดอะไรขึ้นหรือจึงได้ตกใจถึงเพียงนี้”
หัวหน้าขันทีกลืนน้ำลายลงคอ “ฝ่าบาท เชิญท่านเสด็จมาทอดพระเนตรเองเถิด ท่านอ๋องท่าน…”
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี” ฝ่าบาทตำหนิเขา “รับใช้ข้างกายข้ามานานหลายปีแล้ว เกิดเรื่องขึ้นยังตื่นตระหนกเพียงนี้ได้”
มิใช่ว่าตื่นตระหนก แต่คือตกใจพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท หัวหน้าขันทีคิดในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมา ยืนคำนับอยู่ข้างโต๊ะ รอคำตอบจากฝ่าบาท ไม่กล้าพูดกระไร
ฝ่าบาทหรี่ตาลง ตรัสด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เชิญเขาเข้ามาด้านใน” เขาเองก็อยากเห็นกับตาว่าอ๋องฉีจะมีแผนการอะไรอีก จึงได้ทำให้หัวหน้าขันทีผู้ที่ปกติแล้วทำงานละเอียด มิเคยเกิดเรื่องพลาดขึ้นให้ตกใจได้ถึงเพียงนี้
หัวหน้าขันทีโล่งใจ หันหลังเดินออกไป พูดกับอ๋องฉีด้วยความนอบน้อมว่า “ท่านอ๋อง ฝ่าบาทเรียนเชิญด้านในพ่ะย่ะค่ะ”
กลัวก็เพียงแต่ว่าจะเสียงดังรบกวนเด็กๆ อ๋องฉีจึงได้ตอบเสียงเบาว่า อืม จากนั้นก็เข็นรถเข็นเด็กเข้าไปด้านใน
หัวหน้าขันทีลังเลอยู่เล็กน้อย ไม่กล้าเข้าไป เมื่อครู่ตนทำท่าตระหนกทำเอาฝ่าบาทไม่พอพระทัยแล้ว หากเข้าไปเห็นท่าทางที่ฝ่าบาทตกพระทัยอีกล่ะก็ เห็นที เส้นทางการเป็นขันทีสูงสุดของเขาก็คงจบสิ้นแล้ว เมื่อเห็นแก่ทรัพย์สินเงินทองของของตัวเองแล้ว ยืนรออยู่ด้านนอกดีกว่า
เมื่อหัวหน้าขันทีออกไปแล้ว ฝ่าบาทจึงได้วางฎีกาในมือลง ผ่อนคลายอิริยาบถ ประทับลงบนเบาะ สายพระเนตรจับต้องไปที่ประตูห้องหนังสือ รอดูว่าอ๋องฉีจะทำอะไรกันแน่
ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออก สิ่งที่เข้ามาเป็นอันดับแรกคือสิ่งของหน้าตาประหลาดที่มีล้อหมุนอยู่ ฝ่าบาทเบิกตาโต ถึงได้เห็นชัดว่า ของหน้าตาประหลาดนี้คือเด็กสองคน
จึงได้แอบถอนหายใจเบาๆ ยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น อ๋องฉีก็เดินตามเข้ามาด้วยความอบอุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความรัก
ฝ่าบาทผงะไป หากมิใช่การฝึกฝนหลายปีทำให้เขาพยายามควบคุมตัวเองได้ มิเช่นนั้นเขาคงจะยกมือขึ้นมาขยี้ตาตัวเอง เพื่อดูให้แน่ชัดว่าตาฝาดไปหรือไม่ คนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มผู้นี้เป็นน้องชายคนเดียวกันกับที่นำทัพทหารนับหมื่น กล้าหาญชาญชัย ร่างอาบไปด้วยเลือด บุกเข้ามาในวัง จนทำให้คนในวังเห็นแล้วฮึกเหิมคนนั้นอยู่หรือไม่
เมื่ออ๋องฉีเห็นฝ่าบาททำหน้างงราวกับไก่ตาแตกอย่างที่ตนวาดเอาไว้ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิ เข็นรถเข็นเด็กเข้ามา เดินตรงไปยังหน้าโต๊ะหนังสือ หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็เรียนฝ่าบาทที่ยังไม่ได้สติกลับมาว่า “เสด็จพี่ทรงงานยุ่งมาก จนขนาดวันครบรอบร้อยวันของหลานสาวยังไม่มีเวลามาร่วม น้องจึงพาพวกนางมาเข้าเฝ้าท่านเอง”
เมื่อเห็นท่าทางโอ้อวดของเขา ฝ่าบาทอยากจะด่าเขาว่า อย่างนี้เรียกว่ามาดูข้าหรือ นี่เรียกว่ามาอวดต่างหากเล่า
เมื่อได้สติกลับมา ก็ทำเสียงไม่พอใจเบาๆ ในลำคอ ไม่ได้รับสั่งอะไร มองอ๋องฉีนิ่งๆ ดูว่าเขาจะทำอย่างไร
อ๋องฉีก็ไม่ได้หวังว่าฝ่าบาทจะตอบรับเขา จงได้โน้มตัวลง อุ้มหลานขึ้นมาไว้ในอกแล้วโยกตัวไปมา
กระทั่งฝ่าบาทเบิกพระเนตรอีกครั้ง อ๋องฉีก็เดินไปตรงหน้าเขา โน้มตัวลง ให้ฝ่าบาทได้มองเด็กในอ้อมอกเขาให้ชัด พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “เสด็จพี่ อิจฉาหรือไม่”
ร่างของฝ่าบาทตึงเกร็ง พระหัตถ์กำฎีกาไว้แน่น พยายามอย่างมากที่จะไม่ให้ตนฟาดใส่เขาไป
อ๋องฉีทำเป็นมองไม่เห็น หันหลัง วางเด็กในมือลง จากนั้นก็อุ้มอีกคนขึ้นมา ก้มลงเช่นเดิม ให้ฝ่าบาทเห็นได้ชัด ปกปิดความภาคภูมิในสายตาไม่อยู่ “เหมือนกันราวกับแกะ ลูกชายข้าเก่งใช่หรือไม่”
พูดจบ ก็ไม่มองสีหน้าคร่ำเครียด และแววตาโกรธเคืองของฝ่าบาท เขาวางเด็กลงไปในรถเข็นดังเดิม และเข็นออกไปโดยไม่ได้ทำความเคารพ
ประตูห้องทรงพระอักษรปิดลง ฎีกาเล่มหนาในมือของฝ่าบาทก็หล่นลงที่หน้าประตู เสียงด่าทอด้วยความโกรธตามมา “สารเลว ต่อจากนี้ห้ามให้เขาเข้ามาเหยียบที่นี่อีกเป็นอันขาด”
น่าโมโหเสียจริง ก็แค่หลานสาวสองคนมิใช่หรือ มีอะไรน่าโอ้อวดนัก ข้ามีลูกชาย ข้าเองก็มีหลานสาวได้เช่นกัน ของเจ้ามีสองคน ลูกข้าจะมีสามคนให้ได้ ฮึ!
ดังนั้น ด้วยความโกรธ ฝ่าบาทจึงได้เสียสติกระทั่งมีรับสั่งที่แปลกประหลาดที่สุดตั้งแต่ได้รับตำแหน่งฮ่องเต้มา ประกาศให้ไท่จื่อเข้าวัง รับสั่งเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ตั้งแต่บัดนี้ไป ห้ามออกจากตงกงอีก มีลูกสาวได้เมื่อไรค่อยว่ากัน มิเช่นนั้น เจ้าก็อย่าอยู่ในตำแหน่งไท่จื่ออีกเลย”