ดวงตาของหวงฝู่ซวิ่นเบิกกว้าง มองไปทางฮ่องเต้ด้วยความตกใจ เข้าใจว่าหูตนเองฝาดไป ท่านผู้นี้เป็นเสด็จพ่อของเขาที่ชาญฉลาด ปกครองบ้านเมืองได้อย่างดีผู้นั้นหรือไม่ มิใช่ตัวปลอมแน่หรือ
ฝ่าบาทกำลังมีไฟโกรธสุมอยู่ เมื่อเห็นท่าทางเงอะงะของเขา ไฟโกรธก็ลุกโชนขึ้น ทำเสียงไม่พอใจเสียงดัง
หลังจากหวงฝู่ซวิ่นกลัวจนตัวสั่นไปแล้วนั้น ก็มีรับสั่งหัวหน้าขันทีว่า “เจ้าติดตามไท่จื่อไปตงกง หากไท่จื่อไม่พยายาม เจ้าก็เตรียมออกจากตำแหน่งหัวหน้าขันทีได้เลย”
เขาเป็นหัวหน้าขันทีของตน แต่เมื่อตอนที่อ๋องฉีมากลับไม่ได้รายงานได้อย่างชัดเจน ทำให้ตนได้ต้องขายหน้าเช่นนี้ หากไม่ลงโทษเขา ไฟโกรธในใจก็ยากจะหายไปได้
หัวหน้าขันทีแอบบ่นใจใน แต่รู้ดีว่าฝ่าบาทโกรธลามมาถึงเขา หลังจากทำความเคารพ คำนับแล้ว ก็ผายมือให้หวงฝู่ซวิ่นที่ยังไม่ได้สติกลับมา พูดด้วยเสียงแหลมว่า “ไท่จื่อ เรียนเชิญพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นได้สติกลับมา กำลังจะอ้าปากประท้วง แต่เมื่อเห็นสิหน้าของฝ่าบาทแล้วนั้น คำที่ต้องการจะพูดก็ถูกกลืนลงคอ เสด็จพ่อกำลังโกรธมาก หากไปกวนท่านตอนนี้ ตนจะต้องตกที่นั่งลำบากเป็นแน่
เขาตอบรับอย่างนอบน้อม หันหลังเดินออกไปด้านนอก แต่ขณะที่เดินไปถึงหน้าประตูนั้น ฝ่าบาทก็เสริมว่า “เอาครั้งเดียวให้ได้สองคน หน้าตาเหมือนกันนะ”
ไท่จื่อผู้สูงศักดิ์ เดินเซ สะดุดเข้ากับธรณีประตู ใบหน้าล้มคว่ำไปกับพื้นหน้าประตูด้านนอก
ขันทีที่คอยรับใช้ และเหล่านางกำนัลต่างพากันตกใจมาก
ฝ่าบาทส่งเสียงไม่พอใจอีกครั้ง
ยั่วให้ฝ่าบาทโกรธเล็กน้อย เมื่อคิดถึงตอนหวงฝู่ซวิ่นถูกลงโทษแล้ว อ๋องฉีก็ดีใจขึ้นมา ระหว่างทางกลับยังร้องเพลงกล่อมเด็กน้อยทั้งสอง คนรถได้ยินเข้า ตกใจเสียจนเกือบตกจากรถม้า
เมื่อเดินทางมาจนถึงจวนอ๋อง ท่านอ๋องฉีลงรถไปก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ย้ายรถเข็นเด็กลงมา เดินเข้าจวนไปด้วยความสุข มายังเรือนของพระชายา เมื่อเข้าประตูใหญ่มา ก็รับรู้ได้ถึงพลังของความโกรธ จึงเงยหน้าขึ้น เห็นพระชายายืนอยู่หน้าประตู มองดูเขาด้วยสายตาพิฆาต
ใจของท่านอ๋องสั่นเล็กน้อย ขณะที่ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร พระชายาก็เดินมาตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว แย่งรถเข็นเด็กไปจากมือเขา จากนั้นก็สั่งหลิงหลง “เข็นไปด้านใน”
หลิงหลงตอบรับ พาเด็กน้อยทั้งสองเข้าไปด้านใน ไม่นานก็หอบผ้าห่ม กระเป๋าเสื้อผ้า และของใช้ประจำวันของท่านอ๋องออกมา
พระชายาเดินถึงหน้าประตู พูดทั้งๆ ที่ไม่หันมาว่า “ท่านอ๋อง สุขภาพของหม่อมฉันคงจะแย่ลงสักช่วงหนึ่ง เพื่อจะไม่เป็นการรบกวนท่าน ท่านกลับไปพักที่เรือนของท่านเองเถิดเพคะ”
พูดจบ ก็เดินเข้าไปในห้อง จากนั้นก็ปิดประตูลงกลอน
ตนถูกไล่ออกมาแล้ว อ๋องฉียืนงงอยู่ในบริเวณลานของเรือน ครู่ใหญ่ จึงได้ลูบจมูกตัวเอง มองไปทางห้องเด็กอ่อนด้วยความถวิลหา เดินจากไปด้วยความโศกเศร้า หลิงหลงพาสาวใช้สองคนหอบของเดินตามหลังไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
หลายวันต่อจากนั้น พระชายาคอยเฝ้าอยู่ข้างกายเด็กน้อยไม่ห่าง พ่อบ้านมาส่งข่าวอะไรต่างก็ปฏิเสธทั้งสิ้น ให้เขาไปหาซื่อจื่อเฟยโดยตรง อ๋องฉีคิดหาทุกวิธีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถมาพบหน้าเด็กๆ ได้ จึงนั่งลง ถอนหายใจอยู่ในห้องหนังสือเช่นเดิม
แต่เมิ่งซื่อกลับดีใจเป็นอย่างมาก ไม่มีการแย่งชิงจากอ๋องฉีแล้ว พระชายาและนางแบ่งกันอุ้มเด็กๆ คนละคนช่างมีความสุขเหลือเกิน
วันเวลาแห่งความสุขผ่านไปเช่นนี้หลายวัน
วันนี้ เมิ่งซื่ออาศัยช่วงที่เด็กทั้งสองนอนหลับ ไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ เจ้าปลอดภัยดีแล้ว เด็กๆ ก็แข็งแรงดี แม่ควรกลับบ้านได้แล้ว”
คิดไม่ถึงเลยว่าแม่เองก็มีความคิดอยากกลับบ้านด้วยเช่นกัน เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไป ริมฝีปากขยับเล็กน้อย หวังจะรั้งนางไว้
เมิ่งซื่อโบกมือ “แม่รู้ว่าเจ้าไม่อยากให้แม่ไป แต่ว่าปู่กับย่าของเจ้า ตากับยายของเจ้าอายุมากแล้ว แม่ต้องกลับไปดูแลพวกเขา และยังมีพ่อของเจ้าอยู่บ้านคนเดียว แม่เองก็เป็นห่วงไม่น้อย”
“แต่ ท่านแม่ ท่านไม่คิดถึงเด็กทั้งสองคนหรือเจ้าคะ” เมื่อรู้ว่าเมิ่งซื่อได้ตัดสินใจไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อาจห้ามได้ จึงถามคำถามแทงใจดำไปตรงๆ หวังจะให้นางเห็นแก่เด็กๆ บ้าง
“ต้องคิดถึงอยู่แล้วสิ” สีหน้าของเมิ่งซื่อเต็มไปด้วยความอาวรณ์ “แต่ว่าพวกนางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของจวนอ๋อง ควรจะเติบโตในจวนอ๋อง ต่อให้ข้าไม่อยากจากไปก็ต้องตัดใจให้ได้ แต่ว่า เจ้าวางใจเถิด รอจนทำนาเสร็จแล้ว หากมีเวลาว่าง แม่และพ่อของเจ้าจะมาอยู่เมืองหลวงสักช่วงสั้นๆ ถึงตอนนั้นก็มาหาเด็กๆ ได้แล้วล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร
พระชายาเมื่อทราบว่าเมิ่งซื่อจะกลับไป ก็รั้งไว้เช่นเดียวกัน แต่เมิ่งซื่อปฏิเสธ
พระชายาจึงไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เตรียมของให้เมิ่งซื่อจำนวนไม่น้อย ก่อนจะส่งนางกลับบ้าน
เมิ่งซื่อจากไปแล้ว อ๋องฉีก็เริ่มทำปฏิบัติการณ์อีกครั้ง ครั้งนี้ไม่หลบซ่อนอีกแล้ว เขาเดินเอามือไพล่หลังเข้ามาในเรือนของพระชายา ราวกับจะบอกว่า หากเจ้าไม่ให้ข้าเจอหลาน ข้าก็จะแย่งมาให้จนได้
ที่พระชายาโกรธก็เพราะว่าเขาพาเด็กๆ ออกไปนอกจวนโดยไม่บอกไม่กล่าว หลายวันมานี้ที่ไม่ให้เขามาเยี่ยมเด็กๆ เห็นว่าเขาร้อนอกร้อนใจ คิดหาทางออกต่างๆ นานา ก็รู้ได้ว่าเขาชอบเด็กจริงๆ จึงได้อนุญาตให้เขาเข้าไปในห้องเด็กอ่อนโดยปริยาย
อ๋องฉีดีใจแทบแย่ กลับมามีความสุขดังเดิม
คนอื่นในจวนรวมทั้งพ่อบ้านโล่งใจไปตามๆ กัน อารมณ์ที่กดดันมาตลอดทั้งวันในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายลงแล้ว ในจวนอ๋องกลับมามีบรรยากาศสงบสุขเช่นเคย
บ่าวรับใช้ต่างแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง หวงฝู่อวี้ก็ยุ่งเรื่องค้าขายตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พริบตาเดียวผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนแล้ว หลินหันเยียนเริ่มร้อนใจ รอจนพลบค่ำ หวงฝู่อวี้กลับมาด้วยร่างกายอ่อนเพลีย หลินหันเยียนเดินไปหาเขา ถามว่า “พี่อวี้ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”
หวงฝู่อวี้ลืมตา นวดขมับตัวเองเบาๆ “ว่ามาสิ”
“พวกเราจะแต่งงานกันเมื่อใดหรือเจ้าคะ”
มือที่นวดขมับตัวเองของหวงฝู่อวี้หยุดชะงัก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “เยียนเอ๋อร์ หลายวันมานี้พี่ยุ่งเหลือเกิน รออีกหน่อยเถิด รอพี่จัดการธุระเรียบร้อยแล้ว พี่จะไปเรียนเสด็จแม่ ให้นางช่วยเราจัดงานแต่งให้มีขึ้น”
เลื่อนอีกแล้ว หลินหันเยียนกัดปากตัวเองแน่นกว่าเดิม “กิจการของจวนยุ่งหรือเจ้าคะ”
“อื้ม” เขาอธิบายสั้นๆ “นาที่ให้เช่าทางนอกเมืองใกล้จะหมดสัญญาแล้ว ช่วงนี้ข้ายุ่งอยู่กับการต่อสัญญาให้พวกเขา คงจะยุ่งเช่นนี้ไปอีกพักหนึ่ง”
“ให้ผู้อื่นทำแทนมิได้หรือเจ้าคะ” หลินหันเยียนพูดอย่างระวัง ถามพร้อมเตรียมร้องไห้
ถอนหายใจยาวเหยียดในใจ “เยียนเอ๋อร์ ปีที่แล้วข้าเพิ่งจะรับช่วงต่อกิจการของจวน และยังมีเรื่องของเจ้ามาทำให้เสียเวลาไปถึงสองเดือน ยังไม่มีเวลาฝึกงานให้คนใหม่ รอข้าจัดการเรื่องยุ่งๆ แล้ว ข้าจะหาคนมาทำ ต่อไปนี้ก็คงสบายขึ้น”
ประโยคนี้เมื่อเข้ามาในหูของหลินหันเยียนก็เปลี่ยนความหมายเสียแล้ว น้ำตาเม็ดโตไหลรินลงมา “พี่อวี้โทษข้าหรือเจ้าคะ”
ทำงานข้างนอกเหนื่อยมาทั้งวัน กลับบ้านมาหลินหันเยียนไม่แม้แต่จะรินน้ำไว้รอเขา เอาแต่ถามเรื่องงานแต่ง หวงฝู่อวี้เบื่อหน่ายถึงขีดสุด แต่ก็ยังคงอดทนปลอบใจนาง “เยียนเอ๋อร์ จากนี้ห้ามพูดอะไรเช่นนี้อีก ข้าได้เจ้ามา เป็นสิ่งที่ใจข้าถวิลหา ข้าเต็มใจ”
หลินหันเยียนหยุดร้องไห้ ถามทั้งน้ำตาอย่างไม่มั่นใจว่า “จริงหรือเจ้าคะ พี่อวี้ ท่านคิดเช่นนี้จริงๆ หรือ”
เขาถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้น เดินไปหานาง โอบนางไว้ในอ้อมกอด “เยียนเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในจวนทั้งวัน คงจะคิดไปเรื่อยเปื่อย เอาอย่างนี้ วันพรุ่งเจ้ากลับไปอยู่ที่จวนหลินสักสองสามวัน ไปคุยกับคนที่บ้านดีๆ รอข้าจัดการธุระยุ่งๆ เหล่านี้แล้วข้าจะไปรับกลับ ดีหรือไม่”
ร่างของหลินหันเยียนสั่น รีบผลักเขาออก พูดด้วยเสียงแหลม สั่นไม่หยุด “พี่อวี้จะทิ้งข้าแล้วหรือ”
“เจ้า…” ไฟโกรธของหวงฝู่อวี้กำลังจะปะทุแล้ว แต่เมื่อเห็นร่างที่สั่นเทิ้มของหลินหันเยียน เขาก็ใจอ่อน กอดนางอีกครั้ง ปลอบว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าไม่อยากกลับก็ไม่ต้องกลับ หากเจ้ายินดี วันพรุ่งนี้พี่จะพาเจ้าไปเดินเล่นนอกเมือง”
เมื่อคิดถึงภาพสายตาแปลกใจของคนบนถนน หลินหันเยียนส่ายหน้าลูกเดียว “ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่ในจวนนี้ไม่ไปที่ใดทั้งสิ้น”
หวงฝู่อวี้กดหัวของนางลงบนอกของตน รีบปลอบโยนว่า “ไม่เป็นไรๆ ไม่ไป ไม่ไปแล้ว”
ครู่ใหญ่ หลินหันเยียนจึงสงบสติลงได้
หวงฝู่อวี้ค่อยๆ อุ้มนาง วางบนเตียง พูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าพักสักหน่อย กินข้าวเสร็จแล้ว พวกเราไปเดินเล่นที่สวนกัน”
หลินหันเยียนพยักหน้า
ผ่านไปหลายวัน ในที่สุดหวงฝู่อวี้ก็จัดการเรื่องยุ่งๆ เสร็จเสียที
วันนี้ เวลาล่วงเลยมาจนมืดแล้ว หลังกลับจวนมา ก็ไปทำความเคารพพระชายาที่เรือนของนาง และไปเยี่ยมคนตัวเล็กทั้งสองเช่นเคย จากนั้น ก็ไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวที่เรือนนาง
หวงฝู่อี้เซวียนไม่อยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังตรวจสอบบัญชีอยู่
พักงานไปแล้วสามเดือน เมื่อครรภ์แข็งแรงดีแล้ว ชิงหลวนและจูหลีที่ดื้อรั้นจะกลับมาทำงาน ยืนฝ้าอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นหวงฝู่อวี้มา ชิงหลวนรายงานว่า “นายหญิง คุณชายรองมาเจ้าค่ะ”
“เข้ามาสิ” เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังออกมาจากในห้อง
หวงฝู่อวี้เดินเข้าไป ยิ้มทักทาย “พี่สะใภ้ใหญ่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้นจากสมุดบัญชี ถามว่า “จัดการธุระเสร็จแล้วหรือ”
หวงฝู่อวี้พ่นลมออกมา “เสร็จเสียที หลายวันมานี้ข้าเหนื่อยแทบตาย”
“สมควร!” เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เพียงไม่ปลอบใจเขา แต่ยังพูดอย่างไม่ได้ดั่งใจว่า “เป็นถึงคุณชายแห่งจวนอ๋อง แค่เรื่องสัญญาก็ต้องเข้าไปทำเอง ไม่เหนื่อยสิแปลก”
หวงฝู่อวี้เบ้ปาก นั่งลงบนเก้าอี้ “ข้ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้นี่นา”
เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าอ่านสมุดบัญชีอีกครั้ง “ว่ามา วันนี้มีเรื่องอะไรหรือ”
“ไม่มีธุระแล้วข้ามาหาพี่สะใภ้ใหญ่มิได้หรือขอรับ” หวงฝู่อวี้ไม่รีบร้อน ถามอย่างใจเย็น
“ชิงหลวน!” เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้น
ชิงหลวนตอบรับพร้อมเดินเข้ามา “เจ้าค่ะนายหญิง”
“เชิญคุณชายรองออกไป”
ชิงหลวนไม่ตอบ หวงฝู่อวี้รีบพูดว่า “อย่า อย่า อย่า พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาท่านขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ชิงหลวนถอนออกไป
“เรื่องอะไรกัน”
“ข้าและเยียนเอ๋อร์ควรจะแต่งงานกันได้แล้ว ข้าอยากรบกวนให้พี่สะใภ้ใหญ่เป็นธุระให้ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ขมวดคิ้ว “เจ้าจะจัดการอย่างไร”
“จะทำอย่างไรข้าเองก็ยังไม่ได้คิดให้ดี จึงได้มาขอร้องให้พี่สะใภ้ใหญ่ช่วยขอรับ” หวงฝู่อวี้ตอบ
เมื่งเชี่ยนโยวพิจารณาเล็กน้อย พูดว่า “แม้ตอนนั้นหลินฉงเหวินจะประกาศว่าไล่หลินหันเยียนออกจากบ้าน แต่สุดท้ายก็มิได้ทำถึงขั้นนั้น บัดนี้คนที่จัดการดูแลจวนหลินคือหลินจ้ง อย่างนั้นเจ้าและแม่นางหลินลองไปถามดูว่ายามพวกเจ้าแต่งงานกันจะยกขบวนมาจากจวนหลินได้หรือไม่ แน่นอนว่าสินสอดทองหมั้นพวกเราไม่ให้น้อยหน้า ส่วนสินเดิมจากฝั่งทางตระกูลหลินจะเท่าไรก็ตามใจ จวนอ๋องของเราไม่ได้ขาดเหลืออะไร”
พูดถึงตรงนี้ ก็เหมือนคิดอะไรขึ้นได้ พูดว่า “ปีที่แล้วหลินจ้งมอบเงินให้ข้าและพี่ชายเจ้าหนึ่งแสนตำลึง บอกว่าจะมอบให้แม่นางหลิน เผื่อเอาไว้ให้นางใช้ยามฉุกเฉิน ข้ามอบให้เสด็จแม่แล้ว หากแม่นางหลินต้องการใช้ อีกครู่ข้าจะไปขอจากเสด็จแม่มาให้”
หวงฝู่ซวิ่นโบกมือ “ไม่ต้องหรอกขอรับ ฝากไว้ที่เสด็จแม่ก่อนเป็นดี เดี๋ยวข้าจะกลับไปคุยกับเยียนเอ๋อร์เสียก่อน ว่านางยินดีกลับจวนหลินหรือไม่ หากว่าไม่ยอม รบกวนพี่สะใภ้ใหญ่คิดหาวิธีใหม่ให้พวกเราด้วย อย่างไรคงไม่ถึงขนาดต้องยกขันมาจากจวนอ๋องหรอกใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นพวกขี้นินทาในเมืองหลวง ก็คงได้พูดกันไปต่างๆ นาๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับ
หวงฝู่อวี้กลับเรือนของตนเอง เล่าให้หลินหันเยียนฟังเรื่องที่เขาไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวเพื่อคุยเรื่องงานแต่ง พร้อมถามนางว่ายอมกลับจวนหลินเพื่อรอการสู่ขอหรือไม่
วันที่รอคอยมานาน ในที่สุดก็มาถึงจนได้ หลินหันเยียนดีใจเสียจนน้ำตาไหล พยักหน้าติดกัน “ข้ายินดี ข้ายินดีเจ้าค่ะ”
“ดีแล้ว อย่างนั้น เจ้าเก็บข้าวเก็บของ พวกเราจะไปจวนหลินกันเดี๋ยวนี้เลย”
หลินหันเยียนดีใจเหลือเกิน เช็ดน้ำตา จากนั้นก็เก็บของใช้ของตนเล็กน้อย แล้วพูดอย่างมีความสุขว่า “พี่อวี้เราไปกันเถิด”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า ทั้งสองเดินออกไปด้านนอก หงเอ๋อร์เดินตามหลัง
ชิงหลวนออกมารับหน้า “คุณชายรองเจ้าคะ นายหญิงสั่งให้คนไปเตรียมรถม้าและของกำนัลแล้ว รออยู่ที่หน้าจวนเจ้าค่ะ”
“ฝากขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ด้วย” หวงฝู่อวี้กล่าว
ชิงหลวนตอบรับ หันหลังเดินกลับ
หวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนเดินมาถึงหน้าจวน ขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปจวนหลิน
ไม่ได้กลับบ้านมานานหลายเดือนแล้ว หลินหันเยียนทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น ในใจคาดเดาไปต่างๆ ไม่รู้ว่าท่านพ่อหายโกรธแล้วหรือยัง จะให้นางเข้าจวนหรือไม่ ยังมีท่านแม่ที่มาครั้งก่อน เหมือนว่ามีเรื่องจะพูด ครั้งนี้จะต้องถามนางให้ชัดเจน
กำลังคิดอยู่ ก็ได้ยินเสียงคนรถด้านนอก ยังไม่ทันได้สติ ก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกอย่างรุนแรง คนในรถก็โอนเอนตามกัน
หลินหันเยียนร้องด้วยความตกใจ คว้ามือของหวงฝู่อวี้เอาไว้
“เกิดอะไรขึ้น” หวงฝู่อวี้ถามเสียงดุ
“มีรถม้าคันหนึ่งม้าเกิดพยศ ชนเข้ากับรถของเราขอรับ” คนรถตอบด้วยความกลัว
บนท้องถนนมีคนเดินเดินมา หากม้าเกิดพยศขึ้น ต้องทำร้ายคนบริสุทธิ์เป็นแน่ หวงฝู่อวี้รีบเปิดม่านดู มองไปยังม้าพยศตัวนั้น ในความเคลื่อนไหวนั้น เขาเห็นสัญลักษณ์คำว่า ‘เจียง’