ตอนที่ 343 เขียนจดหมายเตือนให้ฮ่องเต้คืนเงิน

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

เยี่ยเม่ยกลับถึงห้องตัวเอง

 

 

ซือหม่าหรุ่ยก็รอนางอยู่ในห้องแล้ว เยี่ยเม่ยชะงักไปเล็กน้อย “มาหาข้ามีอะไรหรือ”

 

 

เมื่อครู่นางเพิ่งบอกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเสินเซ่อเทียนว่า ตอนบ่ายซือหม่าหรุ่ยมีธุระมาหานาง ความจริงก็แค่ข้ออ้างในการปลีกตัวออกมา ซือหม่าหรุ่ยไม่ได้นัดกับนาง แต่ว่าซือหม่าหรุ่ยปรากฏตัวในยามนี้เพราะอะไรกัน

 

 

เมื่อเยี่ยเม่ยถาม

 

 

ซือหม่าหรุ่ยก็รีบตอบ “ตอนเจ้าเพิ่งกลับมาเมื่อครู่ ใต้หอสังเกตการณ์ เจ้าน่าจะได้พบมู่หรงปี้ฉือ ไม่สิ เหยาฉือแล้วใช่ไหม”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยคิดได้ ซินเยว่เยี่ยนทำเอานางพลอยเพี้ยนไปด้วยแล้ว ถึงกับออกปากเรียกว่ามู่หรงปี้ฉือ

 

 

แต่ว่าสตรีนางนั้นตลบตะแลงมาก ดังนั้นนางรู้สึกว่าเรียกมู่หรงปี้ฉือก็ไม่มีอะไรผิด

 

 

เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุกไปเล็กน้อย อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ปี้ฉือคำนี้ เจ้าได้ฟังมาจากไหน”

 

 

หากนางจำไม่ผิด นี่คือคำศัพท์ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ซือหม่าหรุ่ยรู้จักได้อย่างไร

 

 

ซือหม่าหรุ่ยรีบเอ่ยปาก “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าคงไม่รู้สินะ ที่นี่มิใช่มีแผ่นดินใหญ่ห้าแผ่นหรอกหรือ หนึ่งในแผ่นดินใหญ่มีสตรีนามว่าซูจิ่นผิง เป็นคำพูดที่มาจากนาง อีกทั้งยังคำมีอีกหลายคำ ไม่ใช่คำนี้คำเดียว ตอนนี้กลายเป็นตำนานไปแล้ว!”

 

 

“ซูจิ่นผิงหรือ” เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว หรือว่าจะเป็นลูกพี่

 

 

แต่ว่า ลูกพี่ไม่ใช่ว่ามาถึงที่นี่ช่วงเวลาพอๆ กันกับนางหรือ อีกอย่างผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็บอกแล้วว่า แผ่นดินที่ลูกพี่อาศัยอยู่ห่างจากที่นี่มาก อย่างนั้นคำที่ลูกพี่ใช้ไม่น่ามีคนคุ้นเคยไวถึงเพียงนี้นิ

 

 

เมื่อคิดได้ นางจึงถามว่า “ซูจิ่นผิงผู้นั้นคือใคร มีจุดเด่นอะไรบ้าง”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเยี่ยเม่ยที่เย็นชามาตลอด เยี่ยเม่ยที่เฉยชาต่อทุกเรื่องไฉนพลันเกิดความสนใจต่อคนไม่รู้จักขึ้นมา

 

 

แต่นางยังตอบกลับไป “ชีวิตนางนับว่าเป็นตำนานมาก แผ่นดินผืนนั้นของนางมีห้าดินแดน นางเป็นพระสนมของฮ่องเต้ตงหลิงก่อน ภายหลังนางกลายเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้หนานเยว่ ซ้ำยังเป็นผู้รู้ใจของฮ่องเต้เป่ยหมิง ซ้ำยังมีข่าวลือจำนวนไม่น้อยร่วมกับฮ่องเต้ซีอู่ ซ้ำยังได้ยินข่าวลือว่าราชาแห่งทุ่งหญ้าก็คิดคะนึงหานางไม่เคยลืม”

 

 

เมื่อเล่ามาถึงตอนนี้ ซือหม่าหรุ่ยก็เล่าต่อ “นางเป็นคนแรกที่สร้างปืน ระเบิด อีกทั้งยังเคยปลอมตัวเป็นบุรุษดำรงตำแหน่งเสนาบดีแห่งซีอู่ด้วย ใช้กำลังของนางยุติการต่อสู้ระหว่างชาวภาคกลางและชาวทุ่งหญ้า ซ้ำยังผันน้ำไปยังทุ่งหญ้าสร้างความสงบสุขให้ชาวบ้านทางนั้น ได้ยินว่าราชาทุ่งหญ้าถานไถหมิงเยว่เห็นนางเป็นเทพธิดา บุตรชายบุญธรรมที่นางอบรมสั่งสอนจวินจิงหลานเดินทางไปยังแผ่นดินอีกผืนหนึ่ง จากนั้นรวบรวมห้าดินแดนเป็นหนึ่ง ดังนั้นนางถึงถูกขนานนามว่าสตรีในตำนาน…”

 

 

เรื่องราวเกิดขึ้นมากมายขนาดนี้ เยี่ยเม่ยมั่นใจว่าอีกฝ่ายอาจไม่ใช่ลูกพี่แล้ว

 

 

ลูกพี่จะมีความสัมพันธ์กับฮ่องเต้มากมายขนาดนี้ในเวลาอันสั้นได้อย่างไร แม้กระทั่งบุตรบุญธรรมยังรวบรวมแผ่นดินด้วย…

 

 

อย่างนั้น…

 

 

อาศัยข้อมูลเหล่านี้ ยากที่นางจะวิเคราะห์ออกมาว่าเป็นใครกันแน่

 

 

ดังนั้นนางจึงถามอีกว่า “ซูจิ่นผิงผู้นี้ยังสร้างเรื่องราวอย่างอื่นอีกไหม อย่างเช่นเรื่องแปลกที่ทำให้นางต่างจากผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยเกาหัว ครุ่นคิดแล้วค่อยตอบว่า “เจ้าถามเช่นนี้ ก็มีอยู่จริงๆ! ซู่จิ่นผิงนางนี้ละโมบโลภมาก ได้ยินว่านางเคยอยู่ในวังตงหลิง เพื่อเงินไม่กี่ตำลึง…เหมือนจะร้อยตำลึง เขียนจดหมายเตือนให้ฮ่องเต้คืนเงินให้กับนาง!”

 

 

ยามนี้เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก วิธีการแบบนี้ คงไม่ใช่…

 

 

ซือหม่าหรุ่ยยังเล่าต่อว่า “ยังได้ฟังว่า หลังจากนางอยู่กับไป๋หลี่จิงหงฮ่องเต้หนานเยว่ อย่างน้อยผู้อื่นก็เป็นถึงบุคคลที่สะเทือนไปทั่วสี่แผ่นดิน ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเก้าดินแดน…ผลคือ นางสงสัยว่าเขาแอบซ่อนเงินไว้ห้าพวง สุดท้ายก็ทำโทษให้เขานั่งอยู่หน้าประตู”

 

 

เยี่ยเม่ยเงียบไป นี่ ทำไมถึงคล้ายยิ่งนัก

 

 

“ที่น่ากลัวที่สุดคือ ซูจิ่นผิงเองก็มีเงินทองมากมายอยู่แล้ว บุตรชายของนางไป๋หลี่จิ่นเฉินปกครองหมู่ตึกเยว่มู่และพี่ชายของนางซ่างกวนจิ่นรุ่ย สามารถเรียกว่าเป็นสองคนที่ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดินแล้ว แต่ตัวนางยัง…อืม ตระหนี่นัก!” ซือหม่าหรุ่ยเล่าไปยังรู้สึกแปลกใจ

 

 

ซ้ำยังเสริมอีกว่า “จริงสิ นางยังมีคำคมประจำกายคือ อยากได้เงินไม่มีให้ อยากได้ชีวิตก็เอาไป”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยเล่าไปก็อดไม่ไหวปาดน้ำตาออกจากหางตา

 

 

เพียงแต่รู้สึกว่าสตรีที่รักเงินถึงขั้นนี้ ไม่มีใครอีกแล้ว นางรักเงินมากพอทำให้คนไม่อยากมีชีวิตอยู่

 

 

ซือหม่าหรุ่ยสรุปประโยคหนึ่ง “ดังนั้น…นางนับได้ว่าเป็นสตรีแปลกพิสดารผู้หนึ่งจริงๆ ในชีวิตนางประสบความสำเร็จจนทำให้คนจำนวนไม่น้อยเลื่อมใส แต่ว่าความกระตือรือร้นที่มีต่อเงินทองของนาง…ทำให้คนไม่จนปัญญาเข้าใจได้ ยิ่งยากจะจินตนาการได้ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จเป็นตำนานผู้หนึ่งกับคนที่รักเงินเช่นนี้เป็นคนคนเดียวกัน…”

 

 

กลับกันซือหม่าหรุ่ยไม่อยากเชื่อ นางสงสัยว่าข่าวลือนี้เกินจริงไปมาก เนื่องจากเป็นข่าวที่ล่ำลือมาจากแผ่นดินอีกผืนหนึ่ง ผ่านปากเล่าเรื่องมาตั้งมากมาย กว่าจะมาถึงหูตน เป็นเรื่องจริงหรือเท็จก็ยากจะบอกได้

 

 

อืม จริงด้วย

 

 

นางเชื่อว่าซูจิ่นผิงไม่สมควรรักเงินอย่างข่าวลือ!

 

 

ขณะที่คิด นางยังเอ่ยว่า “คิดว่าเรื่องที่นางรักเงินนั้น น่าจะเป็นเรื่องป้ายสีนาง!”

 

 

สีหน้าเยี่ยเม่ยเปลี่ยนไปยากคาดเดาได้อยู่นาน

 

 

สุดท้ายก็เอ่ยปากว่า “ข้ารู้สึกว่าเป็นเรื่องจริง

 

 

“หืม” ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ยอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่เข้าใจว่าไฉนจู่ๆ เยี่ยเม่ยถึงสรุปออกมาดังนี้ อย่างไรเสียเยี่ยเม่ยก็ไม่เคยเจอสตรีนางนั้นเสียหน่อยไม่ใช่หรือ

 

 

ความจริงเยี่ยเม่ยอยากบอกว่า

 

 

คนที่มีความรู้ของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดมากมาย อีกทั้งยังเป็นสตรีที่สร้างอาวุธในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดออกมาได้ ย่อมเป็นคนที่มาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแน่นอน

 

 

อีกอย่างคนที่รักเงินถึงขั้นนี้…

 

 

ทั่วโลกมีแค่คนเดียว นั่นคือหนึ่งในเพื่อนร่วมตายสามคนของนาง นักฆ่าอันดับหนึ่งของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เยาเนี่ย ทุกภารกิจของคนผู้นั้นมีราคาสูงเหยียดฟ้า แต่นางรักเงินทองมาก เป็นทาสเงินขนาดแท้

 

 

มีครั้งหนึ่งหลังจากเยาเนี่ยทำภารกิจกลับมาจากสเปน อีกฝ่ายหลับไป เช้าวันที่สองกลับไม่ฟื้นขึ้นอย่างแปลกประหลาด วิทยาการล้ำสมัยของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดยังไม่อาจอธิบายได้ว่าไฉนเยาเนี่ยถึงตายอย่างฉับพลัน

 

 

ส่วนเพื่อนร่วมตายของนางอีกคนที่อาศัยอยู่กับเยาเนี่ยชื่อว่าเยาอู้เล่าให้พวกนางฟังว่า ก่อนหน้าที่เยาเนี่ยจะหลับหนึ่งวัน เยาเนี่ยไม่ทันระวังจ่ายบัตรค่ารถโดยสารไปสองเที่ยว เสียเงินหกเหรียญ กลับมาร้องไห้ราวกับญาติตาย เข้าวันที่สองก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

 

 

พวกนางคิดว่า ยัยนี่คงไม่ได้เสียใจเพราะเงินหกเหรียญจนเกินไปใช่หรือไม่

 

 

ตอนนี้เมื่อคิดแล้ว…

 

 

เยาเนี่ยย้อนเวลาแล้ว! อีกทั้งเยาเนี่ยยังมาที่โลกใบนี้ก่อนพวกนางนานแล้ว