ตอนที่ 344 ไม่เพียงต้องใช้งาน ซ้ำยังต้องให้ความสำคัญด้วย!

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

เพียงแต่สิ่งที่เยี่ยเม่ยแปลกใจก็คือ เยาเนี่ยย้อนเวลากลับมาก่อนพวกนางแค่สามปีเท่านั้น ไฉนถึงเกิดเรื่องราวได้มากมายเช่นนี้

 

 

ดูท่ายังคงมีช่องว่างของเวลา ทำให้เวลาของโลกสองใบนี้ไม่เท่ากัน

 

 

สิ่งเหล่านี้เยี่ยเม่ยมิได้บอกกับซือหม่าหรุ่ย อย่างไรก็ตามเรื่องพวกนี้ออกจะเหนือจินตนาการไป อีกทั้งยังต้องใช้เวลาอธิบายนาน ซ้ำไม่มีประโยชน์ใดๆ ต่อซือหม่าหรุ่ย นี่เป็นเพียงเรื่องส่วนตัวของนาง

 

 

ด้วยเหตุนี้เยี่ยเม่ยจึงไม่พูดมาก

 

 

เพียงเอ่ยว่า “รอแก้แค้นสำเร็จ หากเวลานั้นข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะออกทะเลไปพบซูจิ่นผิงผู้นั้น!”

 

 

นางเชื่อว่า คนที่รักเงินได้ถึงขั้นนี้ ทั้งเดินทางมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด นอกจากเยาเนี่ยแล้วก็ไม่อาจเป็นใครได้อีก!

 

 

ซือหม่าหรุ่ยฟังแล้วงุนงง

 

 

ไม่เข้าใจว่าไฉนเยี่ยเม่ยถึงมั่นใจว่าเรื่องเกินจริง บรรยายถึงความรักเงินของคนผู้หนึ่งเช่นนี้ว่าเป็นความจริง ทั้งไม่เข้าใจว่าทำไมเยี่ยเม่ยถึงสรุปออกว่ามาอยากไปพบซูจิ่นผิง

 

 

สุดท้ายนางก็สรุปอยู่ในใจว่า บางทีเยี่ยเม่ยคิดว่าสตรีที่เป็นตำนานเช่นนี้สมควรพบหน้าสักครั้งกระมัง

 

 

ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่เอ่ยมากความ

 

 

จึงเปลี่ยนกลับไปคุยเรื่องสำคัญ จ้องมองเยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า “ข้ารู้สึกว่ามู่หรงเหยาฉือผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย เจ้าเพิ่งได้พบนาง สมควรดูออกแล้ว นางมีความอดทนมาก ทั้งยังเสแสร้งเก่งกาจ คู่ต่อสู้เช่นนี้ร้ายกาจกว่าซือถูเฉียงตั้งไม่รู้เท่าไหร่ หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ นางมาที่นี่เพราะองค์ชายสี่!”

 

 

ยามพูดถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ยด้วยความระวัง

 

 

เห็นสีหน้าเยี่ยเม่ยไม่เปลี่ยนแปลง ซือหม่าหรุ่ยก็ค่อยคลายใจ เอ่ยต่อไป “ถึงยามนี้เจ้าจะไม่เป็นอะไรกับองค์ชายสี่แล้ว แต่ก็ยากรับประกันว่านางจะไม่เห็นเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ ดังนั้นเจ้าต้องระวังนางไว้หน่อย!”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยรู้สึกว่ามู่หรงเหยาฉือผู้นี้อันตรายมาก ดังนั้นจึงมาเตือนเยี่ยเม่ย

 

 

นางรู้ว่าด้วยนิสัยของเยี่ยเม่ย ไม่มีทางเห็นคนไร้ความสามารถอยู่ในสายตา ซือหม่าหรุ่ยจึงกังวลว่า เยี่ยเม่ยจะดูแคลนศัตรูเกินไป

 

 

เยี่ยเม่ยฟังแล้วก็พยักหน้า เอ่ยปากว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้ามองออกว่านางไม่ธรรมดา! หากนางสงบเสงี่ยมก็ช่างเถอะ! หากไม่อยู่นิ่งๆ คิดวางแผนการลับหลัง ข้าก็ก็จะฆ่านางซะ ข้าเชื่อว่ามีแต่คนตายเท่านั้นที่จะสงบได้!”

 

 

เยี่ยเม่ยเป็นนักฆ่า การสังหารศัตรูสำหรับนางแล้วหาใช่เรื่องยากเย็น ไม่เพียงไม่ทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกลำบาก ซ้ำยังทำให้นางรู้สึกสบายมาก

 

 

“เช่นนั้นก็ดี! แต่เจ้าก็ต้องระวังสตรีนางนี้จะควบคุมความคิดของคนส่วนใหญ่มาต่อกรกับเจ้า! ข้าเห็นว่าเซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่วเชื่อมั่นในความประพฤติของนางมาก ” เมื่อซือหม่าหรุ่ยเอ่ยคำพูดนี้ สีหน้าก็หนักใจลงหลายส่วน

 

 

น้อยครั้งที่นางจะให้ ‘ความสำคัญ’ กับคนผู้หนึ่งเช่นนี้

 

 

อีกอย่างนางเชื่อว่ามู่หรงเหยาฉือผู้นั้นย่อมคู่ควรให้สนใจ อย่างไรเสียสัมผัสที่หกของสตรีเป็นสิ่งที่ไวมาก

 

 

สายตาเยี่ยเม่ยล้ำลึกลง เอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว ข้าไม่ปล่อยให้นางขวางทางแน่!”

 

 

หากสตรีนางนี้มาเพื่อขอความรักจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเท่านั้น เยี่ยเม่ยจะเลือกทำเป็นมองไม่เห็น หากอีกฝ่ายส่งผลกระทบต่อฐานะของนางในใจเหล่าทหาร ขวางทางแก้แค้นของนาง เยี่ยเม่ยย่อมจะทำให้นางตายโดยไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก

 

 

ก็ต้องดูว่า สตรีนางนี้รู้จักขอบเขตหรือไม่

 

 

 

 

วังหลวง

 

 

ฮ่องเต้อ่านจดหมายในมือ จากนั้นก็ทอดพระเนตรมองจงซานและเป่ยเฉินเสียงที่ยืนอยู่กลางตำหนัก

 

 

ตรัสถาม “พวกเจ้าสองคนล้วนเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด แม่ทัพหลายคนที่ชายแดนส่งจดหมายมา ต้องการให้ข้าพระราชทานตำแหน่งขุนนางให้เยี่ยเม่ย พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”

 

 

“เสด็จพ่อ ไม่ได้เด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ!” เป่ยเฉินเสียงรีบคัดค้านทันที “เสด็จพ่อ ราชสำนักของเราไม่เคยมีสตรีรับตำแหน่งขุนนางมาก่อน ลูกคิดว่าแม่ทัพเหล่านี้คงเลอะเลือนไปแล้ว ถึงได้กล้าถวายฎีกาเช่นนี้ เสด็จพ่อห้ามตกลงกับพวกเขาเด็ดขาด!”

 

 

เมื่อเขาเอ่ย

 

 

จงซานเสนอว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมกลับคิดว่าไม่ควรคัดค้าน ทหารนับพันยากหาคนเก่งกาจได้ มีผู้นำทัพอย่างเยี่ยเม่ย ราชสำนักเรากลับมีบุรุษไม่มากนัก หากไม่ใช้งานนางแล้ว ยากที่จะไม่ให้ต่างแดนฉกฉวยประโยชน์จากนางแทน หากฝ่าบาทไม่ยอมพระราชทานตำแหน่งขุนนาง ยามนี้ต้ามั่วหยิบยื่นผลประโยชน์ให้กับนาง บางทีภายใต้ความท้อใจ นางหันไปพึ่งพาต้ามั่ว ถึงเวลานั้นคนที่จะลำบากก็คือพวกเราแล้ว!”

 

 

“เรื่องมันจะเลวร้ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” เป่ยเฉินเสียงหันมองจงซาน รู้สึกลึกๆ ว่าจงซานพูดจาเกินเหตุ

 

 

จงซานมองเป่ยเฉินเสียงทีหนึ่ง ส่ายหัว “เตี้ยนเซี่ย ท่านยังอายุเยาว์ ไม่รู้ใจคน!”

 

 

ประโยคนี้ตรงใจฮ่องเต้แล้ว

 

 

เดิมทีพระองค์ยังลังเลคำพูดของจงซานกับเป่ยเฉินเสียงว่าใครเอ่ยถูก แต่เมื่อจงซานเอ่ยเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็คิดถึงการกระทำโง่เขลาของเป่ยเฉินเสียงก่อนหน้านี้ รวมถึงการแสดงออกที่ยังไม่โตพอของเขา สุดท้ายก่อให้เกิดผลที่ไม่อาจจัดการเก็บกวาดได้มากมาย

 

 

ฮ่องเต้พลันรู้สึกว่าความคิดของเป่ยเฉินเสียงเป็นสิ่งผิดพลาด เข้าใจว่าจงซานเอ่ยถูกต้อง

 

 

จึงรีบตรัสทันที “ข้าคิดว่าขุนนางรักเอ่ยได้ถูกต้อง! เยี่ยเม่ยเป็นสตรี สตรีใจคอคับแคบ หากนางขุ่นเคืองเพราะเรื่องนี้ ไปช่วยต้ามั่ว สำหรับเป่ยเฉินแล้วถือเป็นการคุกคามที่ร้ายแรงนัก!”

 

 

จงซานยิ่งรุกต่อว่า “อีกอย่างฝ่าบาท ไม่ทราบพระองค์เคยคิดหรือไม่ ด้วยความสามารถของเยี่ยเม่ย ทั่วทั้งเป่ยเฉินหาได้ไม่กี่คนเท่านั้น หากท่านให้ความสำคัญกับนาง ภายหน้ามีจวินซ่างเป็นเกราะกำบังของเป่ยเฉิน มีเยี่ยเม่ยเป็นผู้นำทัพเป่ยเฉิน ทั้งยังมีเซี่ยโหวเฉินและกระหม่อมช่วยฝ่าบาทวางแผนการ ต่อไปราชสำนักเป่ยเฉินเราย่อมไร้ศัตรูต่อกรได้!”

 

 

เมื่อเขาเอ่ยออกมา ยิ่งพูดได้ตรงใจฮ่องเต้นัก

 

 

มีฮ่องเต้องค์ใดบ้างที่ไม่หวังให้ราชสำนักของตนไร้ศัตรูคู่ต่อสู้

 

 

เป่ยเฉินอี้ก็ฉลาดมากพอ แต่ว่ามีเซี่ยโหวเฉินกับจงซานอยู่ข้างกายไม่แน่อาจเอาชนะอีกฝ่ายได้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นสาเหตุที่ไม่แน่นอน แต่ว่าเมื่อมีเสินเซ่อเทียนอยู่คงไม่เกิดปัญหาใหญ่อะไร

 

 

ส่วนราชาต้ามั่วและจิวมั่วเหอที่จับจ้องดินแดนภาคกลาง ก็มีเยี่ยเม่ยที่ความสามารถเกินใครช่วยรักษาชายแดนไว้ นี่…ไฉนไม่เรียกว่าไร้ศัตรูได้อีกเล่า

 

 

เห็นฮ่องเต้หวั่นไหว

 

 

จงซานยังเอ่ยต่อ “อีกอย่างความสามารถของเยี่ยเม่ย พระองค์ทรงรับรู้แล้ว ภายในระยะเวลาอันสั้น นางสร้างความชอบที่ชายแดนเป็นอย่างมาก เวลานี้หากยังไม่ประทานรางวัล จะทำให้เหล่าทหารผิดหวัง อีกอย่างพระองค์ยินยอมทอดทิ้งเยี่ยเม่ยเพราะว่านางเป็นสตรี ทอดทิ้งแม่ทัพมากความสามารถผู้หนึ่งไปอย่างนั้นหรือ กระหม่อมคิดว่า ต้ามั่วต้องหวังว่าพระองค์จะทอดทิ้งนางแน่!”

 

 

ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ ใจฮ่องเต้ก็เริ่มครุ่นคิด

 

 

เขามองจงซาน “ความหมายของเจ้าคิดว่าข้าควรใช้งานนาง ซ้ำยังจำเป็นต้องใช้งานนางด้วย”

 

 

จงซานรีบก้มหน้า “ฝ่าบาท ไม่เพียงต้องใช้งาน ซ้ำยังต้องให้ความสำคัญด้วย!”