หลังจากสิ้นเสียงของเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้นก็มีเสียงหนักแน่นดังขึ้นมาจากความเงียบ
“โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง ในที่สุดพวกท่านก็มาถึงจนได้ ข้ารอพวกท่านมานานมากแล้ว”
ซูจิ่นซีหรี่ตาลง
“ทุกคนเสียเวลามากแล้ว เปิดอกพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาดีกว่า! เสด็จพ่อของข้าอยู่ที่ใด? ทำอย่างไรพวกเจ้าถึงจะปล่อยเขา! ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พระชายาโยวอ๋องช่างเป็นคนเปิดเผยยิ่งนัก! ข้าชอบคบค้ากับคนตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทว่าตำหนักใต้ดินของข้า คิดจะบุกเข้ามาคงไม่ง่ายเช่นนั้น! ”
ซูจิ่นซียังไม่ทันได้พูด น้ำเสียงเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาก็ดังขึ้น เขากล่าวว่า “ผู้บุกรุกดินแดนของข้า ฆ่าไม่ละเว้น! ”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด ทั่วร่างของเขาก็เปี่ยมไปด้วยไอสังหารอันเย็นยะเยือก
รอบบริเวณพลันเงียบสงัด เสียงของชายชราผู้นั้นเงียบหายไปเป็นเวลานาน
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ใบหน้าปรากฏความเย้ยหยัน “ตาเฒ่า เจ้าคงตกใจมากกระมัง? ท่านอ๋องหมายความว่า ชายชราหน้าด้านอย่างเจ้าบุกรุกแคว้นจงหนิงและแคว้นหนานหลีของเรา ผู้ใดบุกรุกดินแดนผู้ใด? ผู้ใดจะไม่ปล่อยผู้ใด เรื่องนี้ยังไม่แน่!
เมื่อพูดประโยคสุดท้ายจบ ไอสังหารในน้ำเสียงของซูจิ่นซีก็ไม่น้อยไปกว่าเยี่ยโยวเหยา
ชายชรากระชากเสียงเย็นชา “หึ ผ่านด่านให้ได้ก่อนเถิด! หากพวกเจ้าทั้งสองผ่านด่านที่ข้าสร้างขึ้นมาได้สำเร็จ พวกเจ้าก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ หากพวกเจ้าผ่านไปไม่ได้… ตำหนักใต้ดินแห่งนี้ก็คือหลุมฝังศพของพวกเจ้า”
หลังจากสิ้นเสียงพูดของชายชรา บริเวณโดยรอบก็มีเสียงกลไกดังขึ้น ‘แกรก แกรก แกรก’ ภาพเบื้องหน้าที่มืดสลัวค่อยๆ สว่าง ผ่านไปไม่นาน พระราชวังสีทองเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา
เหล่าองครักษ์เงากำอาวุธในมือแน่นพลางก้าวไปข้างหน้า คุ้มครองซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ตรงกลางอย่างระมัดระวัง
หลังจากเห็นภาพโดยรอบอย่างชัดเจน ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาก็ตระหนักได้ทันทีว่า นี่คือตำหนักทรงแปดเหลี่ยม
ตำหนักมีกำแพงแปดด้านและมีประตูแปดบาน
ประตูแต่ละบานมีลักษณะเหมือนกัน ทั้งความสูง วัสดุ และรูปแบบ และที่ข้างประตูแต่ละบานยังมีเตาไฟรูปมังกรมงคลพ่นไฟ
นอกจากนั้น พวกเขายังพบว่าไม่สามารถแยกแยะทิศทางในตำหนักแห่งนี้ได้เลย ไม่เพียงแต่ประตูเท่านั้นที่เหมือนกัน แม้แต่ลวดลายบนผนัง ตลอดจนของตกแต่ง รัศมีรอบด้านล้วนมีความสมมาตรและสมดุลกันทั้งหมด
“ตาเฒ่า เจ้าต้องการให้พวกเราทำอันใดกันแน่? ”
ซูจิ่นซีตะโกนออกมาหลายครั้ง ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับ
เยี่ยโยวเหยาพูดว่า “ข้าคิดว่า หากต้องการผ่านด่านนี้ ควรเลือกประตูหนึ่งในแปดบาน แม้จะมีแปดประตู แต่คาดว่ามีเพียงประตูเดียวเท่านั้นที่ถูกต้อง”
หลังจากพูดจบ แววตาของเยี่ยโยวเหยาก็เป็นประกาย “หึ ใช้วิธีของพวกอันธพาลอีกแล้ว”
ซูจิ่นซีกระชากเสียงเย็นชา นางพูดกับเยี่ยโยวเหยาว่า “ท่านอ๋อง อย่าประมาทวิธีการของพวกอันธพาล แม้จะเป็นลูกเล่นเดิมๆ ทว่าสามารถสร้างความรู้สึกเหลือเชื่อได้เช่นกัน ”
ในบางครั้ง ซูจิ่นซีมักสร้างคำศัพท์ใหม่ขึ้นมา ทว่าคราวนี้เยี่ยโยวเหยาเข้าใจความหมายของมัน
เขากำหมัดแน่น “ไม่ว่าเจ้าจะสร้างสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากเพียงใด ทว่าไม่มีเมืองใดที่ข้าพิชิตไม่ได้ และไม่มีภูเขาลูกใดที่ข้าข้ามไปไม่ได้”
“เช่นนั้นพวกเราเริ่มกันเถิด! ข้าจะใช้อาคมกำไลปี่อั้นตรวจดูว่ามีสิ่งใดอยู่หลังประตูทั้งแปดบานนี้”
“ตกลง! ”
ซูจิ่นซีรวบรวมสมาธิทั้งหมดของนาง และฟังเสียงจากอาคมกำไลปี่อั้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงลืมตาขึ้น
ทว่าใบหน้าของนางกลับไม่ปรากฏความยินดีแม้แต่น้อย
“เป็นอย่างไร” เยี่ยโยวเหยาถาม
ซูจิ่นซีส่ายศีรษะ “จากอาคมกำไลปี่อั้น ไม่อาจบอกได้ว่าทางออกอยู่ที่ประตูบานใด พวกเขาคงติดตั้งสิ่งกำบังชนิดพิเศษเอาไว้ ทว่ามีจุดหนึ่งที่ยืนยันได้แน่ชัด คือ ด้านหลังประตูแต่ละบานมีทางเดินหลายเส้นทาง เพราะข้าสัมผัสได้ถึงความเร็วของกระแสลมที่วนเวียนอยู่ซึ่งมีหลายระดับ”
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจังอย่างมาก
จิ้นหนานเฟิงก้าวไปข้างหน้า “ท่านอ๋อง เช่นนั้น… ให้กระหม่อมแบ่งคนเข้าไปในประตูแต่ละบานเพื่อตรวจสอบความจริง ดีหรือไม่? ”
สถานการณ์ปัจจุบันไม่ชัดเจน นี่เป็นทางเดียวที่ทำได้
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า
ซูจิ่นซีหยิบยาออกมาจากระบบถอนพิษ และแจกจ่ายให้กับองครักษ์ที่จิ้นหนานเฟิงพาเข้าไปในประตู
“ทั้งหมดนี้คือสมุนไพรต้านพิษ ทุกคนอมไว้ในปาก หากด้านหลังประตูมีพิษ มันจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันพิษ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ พระชายา! ”
ทุกคนกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงทานยาลงไป
ซูจิ่นซียังกำชับอีกว่า “ไปตรวจดูว่าเป็นประตูเท็จหรือจริงก็พอ หากพบสิ่งผิดปกติ อย่าบุ่มบ่ามเข้าไป ให้กลับมาหารือเรื่องวิธีการรับมือกับท่านอ๋องและข้าอีกครั้ง เข้าใจหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
จิ้นหนานเฟิงแบ่งกลุ่มคนเข้าไปในประตูทั้งแปดบาน
ในตอนแรก หลังจากที่พวกเขาเดินเข้าประตูไปแล้ว ซูจิ่นซีสามารถใช้อาคมกำไลปี่อั้นตรวจจับเส้นทางที่พวกเขาเดินไปได้ ทว่าเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปลึกมากขึ้นเรื่อยๆ นางก็ตรวจจับไม่พบแล้ว
ทว่าซูจิ่นซียังไม่ผ่อนคลายความระแวดระวัง นางเปิดความถี่ของอาคมกำไลปี่อั้นจนถึงระดับสูงสุด และตั้งใจฟังอย่างละเอียด
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องอันน่าสลดใจก็ดังมาจากประตูทั้งแปดบาน และในเวลาเดียวกัน ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาก็แยกกันพุ่งเข้าไปในประตูสองบานที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
องครักษ์และองครักษ์เงาแบ่งกำลังส่วนหนึ่งรั้งอยู่ที่ตำแหน่งเดิมเพื่อรอฟังคำสั่ง และอีกส่วนหนึ่งเข้าไปในประตูที่เหลือตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
ผ่านไปไม่นาน เยี่ยโยวเหยาก็ลากจิ้นหนานเฟิงที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดออกมา องครักษ์หลายคนรีบวิ่งเข้าไปประคองจิ้นหนานเฟิง
ทว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนล้มลงและหมดสติในทันที
เยี่ยโยวเหยามองไปรอบๆ ก่อนจะถามด้วยความกังวลว่า “พระชายาอยู่ที่ใด? ”
“พระชายาเข้าไปทางประตูบานนั้นพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นายหนึ่งชี้ไปยังประตูที่ซูจิ่นซีเข้าไป
ทันทีที่สิ้นเสียงขององครักษ์ ทุกคนต่างไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น พวกเขารู้สึกเพียงว่ามีเงาดำปรากฏ และร่างของเยี่ยโยวเหยาก็หายไปในพริบตา
หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาเข้ามาในประตู ไม่นานนักเขาก็พบทางแยกทั้งหมดสามทาง ซึ่งนำไปสู่เส้นทางที่แตกต่างกัน
ซูจิ่นซีไปเส้นทางไหนกัน?
ไม่มีร่องรอยหรือเครื่องหมายใดๆ บนแต่ละเส้นทาง นอกจากนั้น ทั้งสามเส้นทางยังเหมือนกันทุกประการ
ต้องทราบว่า หากไปผิดทาง เขาไม่เพียงช่วยซูจิ่นซีไม่ได้ ทว่าเขาอาจตกอยู่ในอันตรายด้วยซ้ำ
ทว่าในสถานการณ์บีบบังคับ เยี่ยโยวเหยาไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดเรื่องนี้มากนัก
เขาตะโกนเรียก “ซูจิ่นซี… ซูจิ่นซี เจ้าได้ยินเสียงข้าหรือไม่? หากได้ยิน ช่วยบอกใบ้ให้ข้าด้วย! ”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด เสียงของซูจิ่นซีก็ดังออกมาจากส่วนลึกของเส้นทาง
“ท่านอ๋อง ทางแยกแรกให้เดินเข้าตรงกลาง ทางแยกที่สองให้เข้าทางซ้าย ทางแยกที่สามให้เข้าทางขวา จากนั้นทางแยกที่สี่ให้เข้าตรงกลางเพคะ”
ไม่คิดว่าด้านในจะมีทางแยกมากมายถึงเพียงนี้
เยี่ยโยวเหยาแทบไม่หยุดพัก เขาวิ่งไปตามคำแนะนำเมื่อครู่ของซูจิ่นซีอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน เขาก็ผ่านทางแยกที่สามตามที่ซูจิ่นซีบอกไว้
ทว่าเวลานี้ เสียงกรีดร้องของซูจิ่นซีก็ดังมาจากส่วนลึกในเส้นทางนั้น
สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาเปลี่ยนไปในทันที
ต้องทราบว่า ตอนนี้ วรยุทธ์ของซูจิ่นซีดำเนินมาถึงขั้นสูงสุดแล้ว แทบไม่มีผู้ใดในอาณาจักรเทียนเหอที่เป็นคู่ต่อสู้ของนาง ทั้งนางยังมีอาคมกำไลปี่อั้นและระบบถอนพิษ ทำให้อันตรายไม่อาจเข้าใกล้ตัวนางได้โดยง่าย
หากสามารถคาดเดาอันตรายได้ ก็จะสามารถป้องกันไว้ล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม สถานที่แห่งนี้คือแหล่งกบดานของคนแคว้นไหวเจียง เมื่อนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่มีคนแคว้นไหวเจียงลักพาตัวมู่หรงอวิ๋นไห่ไป โดยที่เขาและซูจิ่นซีไม่รู้ตัว ทำให้เยี่ยโยวเหยาไม่อาจสงบจิตใจลงได้
ความเร็วในการพุ่งไปข้างหน้ายิ่งเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาดำขลับลุ่มลึกเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
“ซูจิ่นซี เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า? ซูจิ่นซี… เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เจ้าพูดออกมาสักคำ! ซูจิ่นซี เจ้าได้ยินเสียงของข้าหรือไม่? ”
เส้นทางนี้ดูเหมือนยาวไกลอย่างมาก เยี่ยโยวเหยาวิ่งเข้ามาเป็นเวลานาน ทว่ายังไม่พบทางแยกที่สี่ที่ซูจิ่นซีบอกไว้
และไม่ว่าเขาจะตะโกนอย่างไร ก็ไร้เสียงตอบกลับของซูจิ่นซีจากปลายทางอีกด้าน
เกิดอันใดขึ้นกับซูจิ่นซี?
เจ้าพบอันตรายแบบใดกัน?