ภาคที่ 34 เทพจักรวาล ตอนที่ 21 เจ้าศิลาปรากฏกาย

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตงป๋อชิงเหยาและตงป๋ออวี้สองพี่น้องได้พบหน้าบิดา ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ส่วนเหล่าเทพจักรวาลทั้งหลายก็สุขสำราญใจกันเป็นอย่างมากกับการที่ทางฝ่ายตนมี ‘แม่ทัพใหญ่’ เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง! เพราะถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นผู้ที่กล้าเข้าไปช่วยเหลือคนถึงในโลกทิพย์โบราณ แม้ในบรรดาเทพจักรวาลชั้นที่สอง พลังรบของเขาจะเป็นระดับต่ำสุดก็ตามที แค่ทัดเทียมกับเจ้าเมืองหลัวเท่านั้น ห่างจากบรรพชนคีรีมารและประมุขเหยากวงอยู่บ้าง

แต่ในด้านต่างๆ เช่น ‘แทรกซึมเข้าลอบสังหาร’ ‘รักษาชีวิต’ และ ‘วิญญาณ’ ล้วนแต่ยืนอยู่ในระดับยอดสุด เทพจักรวาลกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่าเมื่อเผชิญหน้ากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“เรื่องที่เสวี่ยอิงสำเร็จเป็นเทพจักรวาล เก็บไว้เป็นความลับชั่วคราวก่อนล่ะ” บรรพชนทิพย์พูดยิ้มๆ “มิเช่นนั้นแล้วหากจู่ๆ คนที่วิญญาณกระจัดพลัดพรายไปปรากฏกายขึ้นมาอีกเช่นนี้ เกรงว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะต้องพอเดาอะไรออกบ้างแน่”

“รักษาเป็นความลับเอาไว้ก่อนดีกว่า”

แต่ละคนต่างก็เห็นด้วย

เพราะถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็เกี่ยวโยงถึงโลกกำเนิด ‘ดินแดนจิตโลกา’ หากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล่วงรู้เข้า เกรงว่าคงจะบ้าคลั่งจนตาแดงไปเลยทีเดียว

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เห็นด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถทำให้ตนยุ่งยากน้อยลงเป็นอย่างมากแล้ว

******

ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน

กลางทะเลเพลิงอันกว้างใหญ่ไพศาล มีดาวเคราะห์เพลิงอยู่ดวงหนึ่ง ซึ่งดาวเคราะห์เพลิงนี้ก็คือ ‘ดวงอาทิตย์ดั้งเดิม’

“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์”

ร่างแปรของบรรพชนโลกายืนอยู่กลางอากาศโดยคงระยะห่างจากดวงอาทิตย์ดั้งเดิมเอาไว้ หากร่างแปรร่างนี้ของเขาเข้าไป ก็เกรงว่าคงจะถูกแผดเผาจนสิ้น

“ท่านอาจารย์!” ร่างแปรของบรรพชนโลกาถ่ายเสียงเข้าไปสายแล้วสายเล่า

“ใครกันน่ะ”

ดวงอาทิตย์ดั้งเดิมใหญ่โตมโหฬาร แต่ขณะนี้กลับมีเงาดำอันมหึมาหาใดเปรียบสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากผิวดวงอาทิตย์ดั้งเดิม ครองพื้นที่ราวหนึ่งในสามของดวงอาทิตย์ดั้งเดิม เงาดำขนาดมหึมานี้เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างไม่พอใจนัก นัยน์ตาสีเหลืองอำพันมองไปทางร่างแปรอันผอมเล็กของของบรรพชนโลกาซึ่งอยู่กลางอากาศไกลออกไป

“เป็นเจ้ามารร้ายตัวน้อยเองรึ” เสียงของเงาดำขนาดมหึมาดังกึกก้อง “มีเรื่องอันใด พูดมาเถิด”

น้ำเสียงของเขาแฝงแววไม่พอใจเอาไว้

ระหว่างนิทรา เขาไม่ชอบถูกรบกวนเป็นที่สุด! ส่วนศิษย์น่ะหรือ แม้เจ้าศิลาจะมีความรู้สึกต่อศิษย์อยู่บ้าง  แต่กลับมิได้ลึกซึ้งนัก เนื่องจากเขารู้ว่าเมื่อยุคหนึ่งผ่านพ้นไป หลังจากการทำลายล้างครั้งใหญ่ของอากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว ยุคใหม่ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง บรรดาศิษย์ทั้งหลายก็จะถูกทำลายตามไปด้วย แม้จะกล่าวว่าเขาจะตั้งตารอคอยให้ศิษย์บรรลุถึงระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดก็ตามที น่าเสียดาย…

เขาผ่านมาหลายยุคแล้ว ศิษย์ที่บรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองก็มีอยู่ แต่เทพจักรวาลขั้นสุดยอดกลับไม่เคยมีมาก่อน

“ท่านอาจารย์” ร่างแปรของบรรพชนโลกาทราบดีว่าการ ‘รบกวนการนิทราของท่านอาจารย์’ จะทำให้ท่านอาจารย์ไม่พอใจ จึงเป็นเหตุผลว่าเขาต้องแน่ใจในตัวตนของตงป๋อเสวี่ยอิงก่อนจึงค่อยมาที่นี่ “ตงป๋อเสวี่ยอิงยังไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่ขอรับ”

“ตงป๋อเสวี่ยอิง…” เจ้าศิลาที่เพิ่งตื่นขึ้นมางุนงงอยู่บ้าง จากนั้นก็สะดุ้งเฮือก

ฟิ้ว

เงาดำขนาดมหึมาเปลี่ยนแปลงไปทันที กลายเป็นชายชราร่างผอมเล็กผู้หนึ่งซึ่งผอมกว่าบรรพชนโลกาเสียอีก ผอมเสียจนเห็นแค่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น

เจ้าศิลาซึ่งหลังค่อม และกุมไม้เท้าเอาไว้ในมือกล่าวขึ้นว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าเด็กนั่นยังไม่ตายอย่างนั้นหรือ แต่ตอนนั้นข้าสำรวจดูทั่วอากาศอันสับสนอลหม่าน แต่กลับไม่มีวิญญาณแท้หลงเหลืออยู่อีกแล้ว หรือจะบอกว่าเขาได้ป้ายคำสั่งจิตโลกาไป แล้วไปยังดินแดนจิตโลกามาอย่างนั้นหรือ”

“ท่านอาจารย์ทราบด้วยหรือขอรับ” บรรพชนโลกาตกตะลึง จากนั้นก็พยักหน้าทันที “ถูกต้องขอรับ ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดแล้วว่า เขาอาศัยป้ายคำสั่งจิตโลกากลับชาติไปจุติยังดินแดนจิตโลกา”

“ฮ่าฮ่า…”

เจ้าศิลาหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะนั้นราวกับอสนีบาตฟันฟาดลงมา ทำเอาทะเลเพลิงซึ่งอยู่ในดวงอาทิตย์ดั้งเดิมสั่นสะท้านไปหมด

“คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีวาสนาเช่นนี้ด้วย ตอนนี้เขาอยู่ที่ใดกัน” เจ้าศิลาถาม เขาคร้านที่จะส่องดูทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านอีกครั้ง นอกจากนี้เขาก็พอเดาได้ว่าเมื่อผ่านการกลับชาติไปจุติและกลับมาแล้ว กลิ่นอายวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คงจะต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นแน่

“อยู่ที่เมืองราชันย์มีดขอรับ” ร่างแปรของบรรพชนโลกาเอ่ย

“ไปดูเสียหน่อยดีกว่า” เจ้าศิลาอารมณ์ดีเป็นอันมาก เนื่องจากที่เขาบาดเจ็บสาหัสก็เป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิง บัดนี้เขายังมีชีวิตอยู่ เขาจึงรู้สึกว่าเรื่องราวช่างน่าประหลาดใจโดยแท้

จากนั้นเจ้าศิลาสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็อันตรธานไปทันที

……

เมื่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เจ้าศิลาก็ไปถึงเมืองราชันย์มีด อาณาเขตของเมืองราชันย์มีดนั้นเล็กกว่ามากทีเดียว เจ้าศิลาจึงพบเทพจักรวาลกลุ่มนั้นได้ในทันที

ภายในวังทะเลสาบครามแห่งเมืองราชันย์มีด

เงาร่างสายหนึ่งรวมตัวขึ้นเหนือทะเลสาบอย่างฉับพลัน เป็นเจ้าศิลานั่นเอง

“เอ๊ะ” ราชันย์มีด บรรพชนทิพย์ บรรพชนโลกา จอมกระบี่ ประมุขเหยากวง บรรพชนคีรีมาร ตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ พากันตกใจใหญ่ ที่นี่เป็นถึงสถานที่พำนักของราชันย์มีด มีการอารักขาแน่นหนา ทั้งยังมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้ ต่อให้เป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีทางมาปรากฏกายขึ้นทันควันเช่นนี้ได้จึงจะถูกต้อง

“ฮ่าฮ่า ต่อให้เป็นโลกทิพย์โบราณ ข้าอยากเข้าก็เข้าได้ อยากจากไปก็จากไปได้” เจ้าศิลากุมไม้เท้าเอาไว้ พลางเหยียบอากาศตรงเข้ามา

บรรพชนทิพย์และราชันย์มีดสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน

“ผู้อาวุโสศิลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เขาเคยพบเจ้าศิลามาก่อน แต่ครั้งนั้นเขาเป็นเพียงขั้นอลวนเท่านั้น จึงมองไม่ออกว่าที่แท้แล้วเจ้าศิลาแข็งแกร่งเพียงใด

“ทุกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลไป นี่คือท่านอาจารย์ของข้าเอง” บรรพชนโลการ่างซูบผอมในอาภรณ์สีเขียวยืดกายขึ้นพูดพลางยิ้มตาหยี

“ท่านอาจารย์ของบรรพชนโลกาหรือ”

ทุกคนทั้งตกตะลึงและกระจ่างแจ้งขึ้นมา

“เสวี่ยอิง เจ้ารู้จักเขาหรือไม่” บรรพชนเทียนอวี๋ถ่ายเสียงถาม จอมกระบี่ บรรพชนทิพย์ ราชันย์มีดและคนอื่นๆ ยังคงมองด้วยท่าทีเคร่งขรึม พวกเขาต่างสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของเจ้าศิลาน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

เจ้าศิลามองดูตงป๋อเสวี่ยอิงพลางพยักหน้าน้อยๆ

ในเมื่อบรรดาเทพจักรวาลคนอื่นๆ ล้วนมั่นใจในตัวตนของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว นอกจากนี้เมื่อครู่ที่เขาเอ่ยคำว่า ‘ผู้อาวุโสศิลา’ ออกมานั้นก็ทำให้เจ้าศิลามั่นใจยิ่งขึ้นว่าเด็กน้อยตรงหน้าคนนี้คือตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ผิดแน่

“น่าเสียดายๆ” เจ้าศิลาส่ายหน้า “เดิมทีข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับล่วงหน้าไปยังดินแดนจิตโลกาก่อนก้าวหนึ่งแล้ว เดิมทีข้าไม่เชี่ยวชาญเขตลวงโลกเทียมสักเท่าใดนัก ต่อให้รับเจ้าเป็นศิษย์ก็คงทำได้แค่ให้คำแนะนำแก่เจ้าบ้างก็เท่านั้น เจ้าอยู่ในดินแดนจิตโลกา ได้รับทั้งการชี้แนะและเคล็ดการบำเพ็ญซึ่งมากกว่าที่ข้ามีมากมายนัก เห็นทีข้าและเจ้าคงไม่มีวาสนาได้เป็นศิษย์และอาจารย์กันจริงๆ”

จะรับข้าเป็นศิษย์อย่างนั้นหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง

บรรพชนโลกาที่อยู่ด้านข้างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงและอธิบายว่า “น้องตงป๋อ เดิมทีเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดก็เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ของข้าคิดค้นขึ้น เจ้าสามารถคิดค้นเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดสิบแปรได้สำเร็จ ท่านอาจารย์ของข้าก็จะรับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว ทว่าต่อมาเกิดการพลิกผัน เจ้าจึงไปยังดินแดนจิตโลกา”

“ท่านอาจารย์” บรรพชนโลกาก็พูดกลั้วหัวเราะ “ท่านไม่ทราบหรอกว่าแม้ตงป๋อจะไปยังดินแดนจิตโลกาเป็นเวลาไม่นานนัก แต่พลังกลับก้าวหน้าเป็นอันมาก ครั้งนี้เขาเข้าไปในโลกทิพย์โบราณ…”

บรรพชนโลกาเล่าให้ฟังคร่าวๆ

“อันที่จริงครั้งนี้ก็โชคดีน่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้าเตรียมการอย่างระมัดระวัง ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าร่างแปรทิพย์โบราณในตำนานจะไม่ปรากฏขึ้นมาด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงสบายมากทีเดียว”

“ร่างแปรทิพย์โบราณหรือ” เจ้าศิลาหัวเราะฮี่ฮี่เสียงแปลกพิกล “ตอนนั้นเมื่อได้รู้ว่าเด็กอย่างเจ้าสิ้นใจไป ศิษย์ที่ข้าหมายตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ไหนเลยจะปล่อยเจ้ามารทึ่มนั่นไปง่ายๆ ได้ ข้าจึงไล่ตามไปสังหารเขา และไล่ล่ากันที่โลกทิพย์โบราณยกใหญ่! ด้วยพลังของข้า หากไม่ใช้ร่างแปรทิพย์โบราณ เจ้ามารทึ่มนั่นก็ไม่มีภัยคุกคามต่อข้าเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงสู้สุดชีวิต ข้าและเขาต่อสู้กันยกใหญ่ ข้าได้รับบาดเจ็บ ทว่าสิ่งที่ร่างแปรทิพย์โบราณร่างนั้นของเจ้ามารทึ่มสั่งสมไว้ก็ถูกเผาผลาญไปจนสิ้นซากเช่นกัน ภายหลังข้าจึงได้รู้ว่า ที่เจ้าถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จับตัวไปเกี่ยวข้องกับจ้าวภูเขาฉื้อเหมยนั่น! ดังนั้นข้าจึงได้ลงมือขยี้ไอ้จ้าวภูเขาฉื้อเหมยตัวอันตรายนั่นจนตาย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมีท่าทีกระจ่างแจ้งขึ้นมา เมื่อได้ยินช่วงท้ายสุดกลับเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจว่า “จ้าวภูเขาฉื้อเหมยสิ้นใจแล้วหรือ”

เขายังคิดจะแก้แค้น

ทว่าต่อให้เป็นตอนนี้ เขาก็ยังไม่มีวิธีหาร่างแยกของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยให้พบ

“เส้นทางการบำเพ็ญของข้าและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แตกต่างกัน ข้าบรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดด้วยทางสายของการฝึกกาย ภายหลังหมายจะบุกเบิกโลกกำเนิดขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว และก้าวเข้าสู่อีกระดับขั้นหนึ่งอย่างแท้จริง” เจ้าศิลาพูดยิ้มๆ “ข้านั้นมุ่งไปที่ตนเอง ดังนั้นวิธีการของข้าจึงเป็นเอกลักษณ์อยู่บ้าง ข้าสามารถอยู่และตรวจสอบทุกหนแห่งในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ แม้ร่างแยกร่างนั้นของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นั้นจะสามารถหลบได้ แต่ขอเพียงอยู่ในโลกกำเนิดแห่งนี้ก็มิอาจหลบได้พ้นหรอก!”

พวกบรรพชนทิพย์และราชันย์มีดที่อยู่ในที่นั้นตกตะลึงอยู่บ้าง

นี่สิจึงจะเป็นผู้อาวุโส

บรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดแล้ว ก็ยังอยากจะก้าวหน้าไปอีกขั้น วิธีการก็ยิ่งยากเกินคาดเดา

“เจ้ามารทึ่มจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นพยายามคิดหาวิธีควบคุมกฎเกณฑ์อันสูงส่ง” เจ้าศิลากล่าว “ทว่ายุคนี้เขาก็หมดหวังเสียแล้ว”

“เจ้ามารทึ่มหรือ ท่านอาจารย์รู้ก่อนแล้วว่าเขาเป็นฝูงมารผลาญทำลายหรือขอรับ” บรรพชนโลกาถาม

“ครั้งนี้เขาปรากฏร่างจริงออกมาแล้วรึ” เจ้าศิลาเห็นเข้าก็พยักหน้า “ฝูงมารผลาญทำลายถือกำเนิดขึ้นมาในอากาศอันสับสนอลหม่าน เกิดมาก็เพื่อทำลายล้าง มีแต่หลุดพ้นและสำเร็จเป็นเทพจักรวาลเท่านั้นจึงจะสามารถหลุดพ้นจากผลกระทบของความปรารถนาที่จะทำลายล้างได้ ดังนั้นการบรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดด้วยร่างของฝูงมารผลาญทำลาย เมื่อมาถึงก้าวนี้ เขาก็ย่อมกระหายที่จะก้าวข้ามขั้นสุดท้ายและปกครองกฎเกณฑ์อันสูงส่ง”

“สำหรับเขาแล้ว ในช่วงต้นของยุคหนึ่งๆ ผู้แกร่งกล้ามีจำนวนน้อย แผนการของเขาจึงยังพอมีหวังอยู่บ้าง ยิ่งนานวันเข้า เทพจักรวาลที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคนั้นก็จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ! แต่ละคนล้วนยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเขา ยิ่งเวลานานขึ้นเทาไหร่ ศัตรูของเขาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ความหวังของเขาก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ” เจ้าศิลากล่าว “แน่นอนว่าการต่อสู้กับข้า การสั่งสมของร่างแปรทิพย์โบราณของเขาถูกเผาผลาญไปจนสิ้น ในยุคปัจจุบันนี้…ความหวังที่เขาจะสำเร็จก็ริบหรี่นัก คาดว่าตัวเขาเองก็คงจะเข้าใจในจุดนี้ดี”

“ติดค้างผู้อาวุโสมากทีเดียว” บรรพชนทิพย์เอ่ยปาก “มิเช่นนั้นแล้วเกรงว่าพวกเราคงจะมีสงครามมากกว่านี้แล้ว”

“ฮ่าฮ่า เขามาจากโลกกำเนิดเดียวกันกับข้า” เจ้าศิลาหัวเราะเสียงดัง “หากข้าก้าวข้ามไปได้อีกระดับหนึ่ง ในภายหน้าก็ต้องการจะปกครองโลกกำเนิดแห่งนี้ แม้เส้นทางที่เขาเดินจะแตกต่างกัน แต่ก็ต้องการจะปกครองโลกกำเนิดเช่นเดียวกัน หากเขาทำสำเร็จ ด้วยนิสัยของเขา ข้าก็เกรงว่าคงจะหมดกัน ดังนั้นทุกครั้งเมื่อถึงคราวคับขัน ข้าก็จะลอบลงมือ อย่างครั้งที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นั้น ก็มีข้าลอบลงมืออย่างลับๆ”

“เป็นเช่นนี้เองหรือ”

เหล่าเทพจักรวาลทั้งหลายในที่นั่นพากันลอบตกตะลึง

ผู้ที่บรรลุถึงขั้นสุดยอดสองคนล้วนต้องการก้าวข้ามขั้นสุดท้ายดังนั้นจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายสำเร็จได้

“เอาล่ะ วางใจเถิด จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้ามารทึ่มนั่นจะไม่ออกมาวุ่นวายอีกต่อไป พวกเจ้ามียอดฝีมือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วเขาก็ไม่มีสิ่งที่ร่างแปรทิพย์โบราณสั่งสมเอาไว้เป็นหลักประกันอีกแล้ว อย่างมากก็แค่ดิ้นพล่านเล็กน้อยก่อนการแตกสลายครั้งใหญ่จะมาถึง ข้าเดาว่าตอนนี้เขาน่าจะกำลังวางแผนยุคต่อไปแล้ว” เจ้าศิลาทอดถอนใจ “วันนี่ที่มาพูดคุยกับเด็กๆ อย่างพวกเจ้า แล้วข้าก็เตรียมตัวจะเข้าสู่ห้วงนิทราต่อไปแล้ว รอให้การทำลายล้างครั้งใหญ่มาถึงก็อาจจะตื่นขึ้นมาดูเสียหน่อย”

“พวกเจ้าตั้งใจบำเพ็ญให้ดีเถิด ตอนนี้ศัตรูคนสำคัญที่สุดของพวกเจ้ามิใช่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ หากแต่เป็นตัวของพวกเจ้าเองต่างหาก” เจ้าศิลามองดูพวกเขา

“อากาศอันสับสนอลหม่านนี้ก็เหมือนกับเรือลำใหญ่ที่กำลังจะจมลง! อย่าได้คิดว่าการล่มจมยังอยู่อีกไกลมาก เพราะยิ่งนานไป อากาศอันสับสนอลหม่านก็ยิ่งขยายตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ฝูงมารผลาญทำลายก็ยิ่งถือกำเนิดเร็วขึ้นเรื่อยๆ วันแห่ง ‘การทำลายล้างครั้งใหญ่’ นั้นจวนจะมาถึงแล้ว เกรงว่าวันแห่งการทำลายล้างครั้งใหญ่คงจะมาถึงเร็วกว่าที่พวกเจ้าคาดเอาไว้มาก” เจ้าศิลากล่าว “พวกเจ้าตั้งใจบำเพ็ญให้ดีเถิด หากพลังไม่เพียงพอ ตอนที่เรือใหญ่ลำนี้ล่มลง ก็จะเป็นวันตายของพวกเจ้า ข้าน่ะเห็นภาพที่ยุคหนึ่งดับสลายไป สิ่งมีชีวิตทั้งหมดสูญพันธุ์ครั้งใหญ่จนชินแล้ว”

ทุกคนในที่นั้นใจสั่นหวั่นไหว

การแตกสลายครั้งใหญ่…

“ผู้อาวุโสขอรับ อีกนานเท่าไหร่อากาศอันสับสนอลหม่านของพวกเราจึงจะเกิดการแตกสลายครั้งใหญ่หรือขอรับ” บรรพชนทิพย์ถาม

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างพากันมองดูเจ้าศิลาด้วยความกังวล หากพูดถึงประสบการณ์แล้ว เจ้าศิลาจึงจะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากที่สุด

“อืม”

เจ้าศิลางึมงำ ขณะเดียวกันระลอกคลื่นของสติรับรู้ของเขาก็พลันแผ่กำจายไปทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านในทันใด

 ……………………………………….