ก่อนที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงจะมาอยู่ที่นี่ ยังเห็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าศัตรูตัวฉกาจที่สุดก็คือ ‘เวลา’ เมื่อเวลามาถึง อากาศอันสับสนอลหม่านเกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่ พวกเขาก็จะสูญพันธุ์จนสิ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงมีร่างแยกอยู่ใน ‘ดินแดนจิตโลกา’ จึงสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ แต่ในภายหน้าต่อให้เขาสำแดง ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ กลับมา หากมิอาจกลับชาติไปจุติได้ ก็อาจถูกอากาศอันสับสนอลหม่านในยุคหน้าผลักไสออกไป!
“ไม่นับว่านานเท่าใดนัก” เจ้าศิลามองดูบรรดาเทพจักรวาลตรงหน้าแล้วเหลือบมองตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาเด็กทั้งสองซึ่งข่มความตื่นตระหนกเอาไว้แวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “อากาศอันสับสนอลหม่านยิ่งขยายตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเจ้าสามารถต้านทานฝูงมารผลาญทำลายเอาไว้ได้ คาดว่าอยู่ระหว่างสิบห้าล้านล้านปีถึงยี่สิบล้านล้านปี”
“อะไรนะ”
“สั้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
แต่ละคนพากันตกใจ
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีพรสวรรค์ล้ำเลิศพอ ก็ต้องใช้เวลานับล้านล้านปีจึงสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้!
จอมกระบี่สีหน้าเปลี่ยนแปรไป “สั้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เขามีการรับรู้สูงส่งอย่างยิ่ง มิได้ออกไปบุกฝ่าภายนอกเพื่อเคี่ยวกรำ เพียงแค่ก้มหน้าก้มตาเก็บตัวบำเพ็ญก็บรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองระดับยอดสุดได้โดยใช้เวลาเกือบยี่สิบล้านล้านปี จอมกระบี่เองก็เข้าใจว่าเขาจะบรรลุถึง ‘เทพจักรวาลขั้นสุดยอด’ ก็ต้องบรรลุผ่านหลายอุปสรรค เมื่อแต่ละสายหลอมรวมเข้ามาก็ล้วนแต่เป็ฯอุปสรรคใหญ่หลวงทั้งสิ้น สุดท้ายเมื่อหลายสายรวมเป็นหนึ่ง จะผลักดันวิถีเข่นฆ่าให้ไปถึงขั้นสุดยอดนั้นยากที่สุด
“มิน่าเล่า”
จอมกระบี่ยังจำได้ว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เคยพูดกับเขาประโยคหนึ่งว่า “หวังว่าเจ้าจะสามารถบรรลุถึงระดับชั้นที่สามได้ก่อนขีดจำกัดใหญ่สุดท้ายจะมาถึง หากเป็นเช่นนั้นโลกก็จะสดใสยิ่งขึ้นแล้ว”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเหมือนกับเจ้าศิลาที่มีชีวิตอยู่มามิใช่เพียงยุคเดียวเท่านั้น พวกเขาล้วนสามารถทำนายขีดจำกัดเวลาของการแตกสลายครั้งใหญ่คร่าวๆ ได้ ภายในขีดจำกัดระยะเวลานี้ ตอนนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่า ‘จอมกระบี่’ เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่มีความหวังหลงเหลืออยู่สายหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆ น่ะหรือ ด้วยสายตาของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ไม่มีหวังเอาเสียเลย
“สั้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงร้อนรนขึ้นมา
“วิถีอากาศของข้าคือทั้งเก้าสายบรรลุถึงขั้นเทพจักรวาลทั้งหมด สั่งสมมาแน่นหนาอย่างยิ่ง เชื่อว่าการก้าวเข้าสู่เทพจักรวาลระดับชั้นที่สองคงไม่ยากนัก แต่หลังจากนั้นจะบรรลุถึงขั้นสุดยอด ทั้งเก้าสายต้องหลอมรวมกัน จะให้สองสายหลอมรวมกันได้ก็ยากแล้ว สามสาย สี่สาย…แต่ละก้าวล้วนมีแต่อุปสรรคทั้งสิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าเล็กน้อย ต่อให้เป็นท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาซึ่งคิดค้นศาสตร์ร่างแยกและศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็ค้างอยู่ที่เทพจักรวาลชั้นที่สองเช่นเดียวกัน
“ส่วนวิถีโลกเทียมนั้นยากกว่าวิถีอากาศเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอุทาน
วิถีอากาศ ดีร้ายอย่างไรก็ยังมีคัมภีร์! ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่วิถีอากาศบรรลุถึงขั้นสุดยอดก็พอมีอยู่บ้าง เช่นจักรพรรดิเซี่ยเป็นต้น!
ส่วนเขตลวงโลกเทียม ผู้ที่มีระดับสูงสุดในดินแดนจิตโลกาก็เพียงแค่เทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น
……
บรรดาเทพจักรวาลทั้งกลุ่มจิตใจวุ่นวายไปหมด ความคิดมากมายผุดขึ้นมา เจ้าศิลาเห็นเข้าก็ส่ายศีรษะน้อยๆ
เขาเคยชินเสียแล้ว
เมื่อผ่านไปยุคแล้วยุคเล่า ก็เกรงว่าเด็กๆ ตรงหน้ากลุ่มนี้ คงจะไม่อยู่เสียแล้ว
“ผู้อาวุโสศิลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก “ผู้อาวุโสรู้จักศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาหรือไม่ขอรับ”
เจ้าศิลาพยักหน้าเล็กน้อย “ข้ามีชีวิตอยู่มาจนถึงบัดนี้ ก็ได้พบผู้มาจากภายนอกหลายคนที่อาศัย ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ มายังโลกกำเนิดของพวกเรา และเคยสนทนากันมาบ้าง”
“หากฝึกศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้สำเร็จ แล้วพาคนไปยังโลกกำเนิดอื่นได้ แล้วรอหลังจากบ้านเกิดให้กำเนิดยุคหน้าออกมาแล้วค่อยกลับมาจะได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“หนึ่ง เดิมทีศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็ยากยิ่งอยู่แล้ว จะพาคนไปอีกรึ” เจ้าศิลาส่ายหน้าพลางยิ้มหยัน “เท่าที่ข้ารู้ พาคนไปโดยอาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็ยากยิ่งนัก”
“สอง หากเจ้าจากไปแล้ว อากาศอันสับสนอลหม่านเกิดการแตกสลายครั้งใหญ่แล้วให้กำเนิดยุคใหม่ขึ้นมา หากเจ้ากลับมาอีก ก็จะกลายเป็นผู้มาจากภายนอก จะต้องถูกกดดันและผลักไสออกไป” เจ้าศิลาเอ่ย “นอกเสียจากจะเหมือนกับข้าและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ที่เมื่อการแตกสลายครั้งใหญ่มาถึงก็ต้องต้านทานเอาไว้ให้ได้ เมื่ออากาศอันสับสนอลหม่านให้กำเนิดยุคใหม่ขึ้นมา พวกเราก็จะกลายเป็นหนึ่งในนั้น เช่นนี้จึงจะไม่ถูกผลักไส”
“ผลักไสหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ
เขาเข้าใจ
เมื่อถูกกดดันและผลักไส พลังก็จะสำแดงออกมาได้เพียงขั้นอลวนเท่านั้น
ทว่าตนมีร่างแยกอยู่ในดินแดนจิตโลกา สามารถบำเพ็ญอยู่ในดินแดนจิตโลกาต่อไปได้! ส่วนพวกภรรยานั้น พลังก็สามารถสำแดงออกมาได้สูงสุดที่ขั้นอลวนก็ไม่เป็นไร
“ปัญหาก็คือสามารถพาคนไปด้วยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ เกรงว่าคงจะต้องบรรลุถึงวิถีอากาศขั้นสุดยอดจึงจะสามารถพาคนจากไปได้อย่างพอถูไถ
“ผู้อาวุโส”
บรรพชนทิพย์กลับถามขึ้นว่า “สมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ จักรวาลภายในกาย มิติติดกายและวิธีการอื่นๆ มีวิธีพาผู้อื่นผ่านพ้นการแตกสลายครั้งใหญ่ไปด้วยกันได้ด้วยหรือ”
“หากทำได้ ศิษย์ของข้าในยุคต่างๆ ก่อนหน้านี้ก็คงไม่ถึงขั้นตายกันจนเกลี้ยงหรอก” เจ้าศิลาส่ายศีรษะ “การแตกสลายครั้งใหญ่ของอากาศอันสับสนอลหม่านคือการที่กฎเกณฑ์อันสูงส่งโอบล้อมสิ่งมีชีวิตทั้งมวลแล้วทำลายจนสิ้นซาก นอกเสียจากจะสามารถซ่อนตัวอยู่นอกโลกกำเนิดซึ่งเป็นบริเวณที่กฎเกณฑ์อันสูงส่งมิอาจแตะต้องได้”
บรรพชนทิพย์พยักหน้าเบาๆ เขาเงียบงันลงไปบ้าง
เขาพอจะเดาได้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ยอมจำนนก็เท่านั้นเอง
ต่อให้ตนโชคดีบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้จริงๆ แต่คนที่ตนห่วงใยเล่า
“หรือว่าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วก็ได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปด้วยตัวคนเดียวเท่านั้น” เมื่อบรรพชนทิพย์คิดว่าเจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่อยู่คนเดียวลำพัง ก็อดหนาวเหน็บไปทั้งใจไม่ได้
“บำเพ็ญให้ดีๆ เถิด”
“เวลาแสนสั้น ข้าว่านะ ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมกระบี่ พวกเจ้าสองคนบำเพ็ญได้เร็วพอ ยังพอมีความหวังอยู่สายหนึ่ง คนอื่นๆ ความหวังริบหรี่ ทว่าไม่แน่ว่าอาจมีปาฏิหาริย์ก็เป็นได้” เจ้าศิลารำพึงออกมาประโยคหนึ่ง “บำเพ็ญให้ดีๆ เถิด หวังว่าเมื่อการแตกสลายครั้งใหญ่มาถึง พวกเจ้าสักคนจะสามารถมองดูภาพการแตกสลายและภาพที่โลกกำเนิดถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ไปพร้อมกันกับข้าได้”
พูดจบ เจ้าศิลาก็หมุนกายไป ก่อนจะเหยียบอากาศแล้วอันตรธานไป
เขาไปหลับใหลในดวงอาทิตย์ดั้งเดิมต่อไป
ส่วนเหล่าเทพจักรวาลซึ่งอยู่ในที่นั้นก็รู้สึกซับซ้อนในใจไปหมด จอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงถูกเชื่อว่ายังมีความหวัง ‘สายหนึ่ง’ ส่วนคนอื่นๆ ความหวังริบหรี่
……
ณ โลกทิพย์โบราณ
บนเตียงศิลาดำ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่
หัวใจของเขาสงบ ทว่าความคิดมากมายกลับแวบผ่านห้วงสมองไป
“ในยุคปัจจุบันนี้มียอดฝีมือมากขึ้นเรื่อยๆ ยอดฝีมือเร้นลับผู้นั้น เมื่ออยู่ในโลกทิพย์โบราณข้าก็ยังไม่สามารถจับกุมเขาได้ จะได้เคล็ดวิชามาก็ยากแล้ว ต่อให้การแตกสลายครั้งใหญ่มาถึง การสั่งสมของร่างแปรทิพย์โบราณก็ยังคงน้อยมาก ยุคนี้ต้องนับว่าพ่ายแพ้แล้ว”
“รอดูยุคต่อไปก็แล้วกัน! ยุคหน้าค่อยสู้สุดตัวสักยกหนึ่ง”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สงบจิตบำเพ็ญ
******
เมื่อผ่านการต่อสู้ในโลกทิพย์โบราณ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กลับเก็บเนื้อเก็บตัวเป็นอันมาก เขาเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงเช่นนี้จนผ่านไปเป็นหมื่นล้านปี
ส่วนในดินแดนจิตโลกา
ณ รัฐเมฆทักษิณา ชื่อเสียงของจ้าวหิมะเหินเลื่องลือระบือไกล สะท้านสะเทือนไปทั่วสี่รัฐมารทมิฬ มิมีผู้ใดกล้ามารังแก ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญมาตลอด เพราะถึงอย่างไรทางบ้านเกิด อากาศอันสับสนอลหม่านก็ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเข้าใกล้ ‘การทำลายล้างครั้งใหญ่’ มากขึ้นทุกทีๆ เรือลำใหญ่อย่างบ้านเกิดนั้นค่อยๆ จมลงไปเรื่อยๆ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กล้าย่อหย่อนเลยแม้แต่น้อย เขาจะต้องบรรลุถึงขั้นสุดยอดก่อนการทำลายล้างครั้งใหญ่ให้จงได้!
“ฟึ่บๆๆ…”
ภายในห้องเงียบที่สร้างขึ้นใหม่ สุราผลไม้กาหนึ่งถูกอุ่นจนร้อน ตงป๋อเสวี่ยอิงในรูปลักษณ์ของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวนั่งยกจอกขึ้นดื่มสุราพลางครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น
รอบด้านก็คือโลกที่เหมือนกับภาพวาดแห่งแล้วแห่งเล่า บางครั้งก็ถือกำเนิดขึ้นมาแล้วโคจร บางครั้งก็ถูกทำลายแล้วสลายไป
“เอ๊ะ นี่มันเรื่องอันใดกัน”
ทันใดนั้นระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกวาดผ่านผืนดินไปแล้วแทรกซึมเข้าไปภายในห้องเงียบแล้วกวาดผ่านตงป๋อเสวี่ยอิงไป แม้ระลอกคลื่นจะพิสดาร แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงสามารถรับรู้ได้ เขารู้สึกประหวั่นใจอย่างมิอาจควบคุม ทำให้เขาเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา
……………………………………………….