บทที่ 1403 พันธนาการเพลิงจิต

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1403 พันธนาการเพลิงจิต Ink Stone_Fantasy

ไม่ต้องให้เขาตอบ ในดวงตาไป๋เฟิ่งหวงฉายแววเลื่อนลอยเล็กน้อย เหมือนกำลังหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต พึมพำกับตัวเองว่า “ก็ต้องตายอยู่แล้ว เสิ้นหมีทรยศ มีหรือที่เขาจะให้อภัย ถ้าตกอยู่ในมือเขาแล้วก็ตายสถานเดียว”

เหมียวอี้แววตาวูบไหว กำลังครุ่นคิดถึงความหมายในคำพูดของนาง

พอไป๋เฟิ่งหวงหายเหม่อลอย ก็ถามตรงๆ ว่า “อยากตายหรืออยากรอด?”

เหมียวอี้งงไปชั่วครู่ แล้วตอบว่า “ก็ต้องอยากรอดอยู่แล้ว”

“งั้นข้าจะทดสอบเจ้า ขอเพียงเจ้าผ่านด่านข้าไปได้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป” ไป๋เฟิ่งหวงกล่าว

“ทดสอบอะไร?” เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง

“เอามือมา” ไป๋เฟิ่งหวงกระดกนิ้ว

เหมียวอี้ไม่เข้าไป ได้แต่ยื่นมือออกไปสองข้าง

“ข้างเดียวก็พอแล้ว” ไป๋เฟิ่งหวงยื่นมือไปคว้าข้อมือของเขา ดึงเขามาไว้ตรงหน้าตัวเอง จับฝ่ามือเขาตั้งขึ้น แล้วกดบนหน้าอกของตัวเอง

“…” ฝ่ามือที่แนบชิดร่างกายสัมผัสได้ถึงความนุ่มเด้งบนหน้าอกนาง เหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง ถูกความบ้าระห่ำของผู้หญิงคนนี้ทำให้ตกใจจนพูดไม่ออกนิดหน่อย อดไม่ได้ที่คิดถึงคำว่าทดสอบที่นางพูดไปในทางที่ไม่ดี

“ถ้ากล้าคิดอะไรเหลวไหลข้าจะทิ่มตาเจ้าให้บอด” ไป๋เฟิ่งหวงถลึงตาพร้อมกล่าวเตือน นางจับข้อมือเขาไม่ยอมปล่อย แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ในหัวใจของข้าซ่อนบางอย่างไว้นิดหน่อย ถ้าเจ้าสามารถนำออกไปได้โดนที่ข้าไม่บาดเจ็บ ก็นับว่าเจ้าผ่านการทดสอบ ข้าจะปล่อยเจ้าออกไป ข้าพูดคำไหนคำนั้น”

“หัวใจเหรอ?” เหมียวอี้ประหลาดใจ

ไป๋เฟิ่งหวงจึงบอกว่า “ลองร่ายอิทธิฤทธิ์ดูสิ ถ้ามีความมั่นใจก็เอาออกมา ถ้าไม่มั่นใจก็อย่าดันทุรัง ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ อย่านึกว่าจะฉวยโอกาสทำร้ายข้าได้ ต่อให้ข้าไม่มีหัวใจข้าก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหลายชั่วยาม มีเวลาเพียงพอที่จะฆ่าเจ้า”

เหมียวอี้เองก็ประหลาดใจเหมือนกัน เมื่อเห็นอีกฝ่ายจริงจัง ไม่เหมือนกำลังล้อเล่น เขาก็ลังเลเล็กน้อย ทำได้เพียงแข็งใจลองดู หลับตาลงช้าๆ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดูในหน้าอกของนาง

ภายในร่างกายของอีกฝ่ายทำให้เหมียวอี้ตกตะลึงนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าแม้แต่ภายในร่างกายนางก็เป็นสีขาวด้วย น้ำเลือดสีขาวกำลังไหลเวียน รวมเข้าไปในหัวใจดวงที่อยู่ตรงหน้า เป็นหัวใจสีใสแวววาวดวงหนึ่งที่กำลังเต้นตึกตัก ราวกับอัญมณีผลึกใส น้ำเลือดสีขาวไหลเวียนอยู่ในนั้น

“อยู่ข้างในหัวใจ” ไป๋เฟิ่งหวงที่สังเกตได้ว่าเขาหยุดชะงักกล่าวเตือนอีกครั้ง

เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจลงลึกอีกครั้ง เข้าไปตรวจดูภายในหัวใจของนาง ตอนที่ยังไม่เห็นก็ยังไม่รู้ แต่พอได้เห็นแล้วตกใจมาก ไม่น่าเชื่อว่าในหัวใจของนางโดนคนบุกเบิกพื้นที่ว่างขนาดเล็กไว้ห้องหนึ่ง หรือไม่ก็วางค่ายกลเอาไว้ เปลวเพลิงที่ล่องหนเหมือนคลื่นน้ำกำลังลุกไหม้อยู่ในค่ายกล

คนอื่นอาจะไม่รู้จักเปลวเพลิงล่องหนนี้ แต่เขากลับรู้จักดีที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพลิงจิต!

แบบนี้จะไม่ทำให้เขาตกใจได้อย่างไร ความรู้สึกตกตะลึงของเขายากที่จะบรรยายออกมาได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเพลิงจิตกองหนึ่งอยู่ในหัวใจของผู้หญิงคนนี้

ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจบทบาทของค่ายกลขนาดเล็กนั่นแล้ว มันใช้เพื่อควบคุมเพลิงจิต ถ้ามีคนทำลายค่ายกลพัง เพลิงจิตก็จะต้องเผาหัวใจของผู้หญิงคนนี้แน่นอน

เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะมองนาง แล้วถามอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าเป็นคนวางค่ายกลนี้เหรอ?” ขนาดเขายังไม่รู้เลยว่าจะอาศัยพลังภายนอกควบคุมเพลิงจิตได้อย่างไร

“อย่าพูดเหลวไหล ข้าถามคำเดียวว่าเจ้าสามารถเอาเปลวเพลิงล่องหนนี้ออกไปได้หรือเปล่า” ไป๋เฟิ่งหวงกล่าว

เหมียวอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วตอบว่า “แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้ารักษาคำพูด”

ไป๋เฟิ่งหวงเลิกคิ้ว “หมายความว่า เจ้าเอาออกมาได้งั้นเหรอ?”

“ส่งข้ากับคนของข้าออกไปก่อน พอออกจากที่นี่ไปแล้ว แน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว ข้าค่อยช่วยเจ้าเอาเปลวเพลิงล่องหนออกมา” เหมียวอี้เสนอเงื่อนไข

ดวงตางามของไป๋เฟิ่งหวงจ้องเขา ใช้มือข้างหนึ่งคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ ส่วนฝ่ามือของเขาก็ยังกดอยู่บนหน้าอกของนาง ทั้งสองสบตากันโดยไม่พูดอะไร

ในหัวของไป๋เฟิ่งหวงมีภาพอีกภาพปรากฏขึ้นมา ตอนนั้นนางยังเด็ก มาเที่ยวเล่นอยู่ในโลกแล้วบังเอิญเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เป้นผู้หญิงที่งดงามราวกับเป็นความฝัน จนกระทั่งทุกวันนี้ นางยังไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนที่สวยกว่าผู้หญิงคนนั้นเลย

ข้างกายสตรีผู้งดงามคนนั้นยังมีชายที่สง่างามไร้ที่เปรียบอยู่อีกคนหนึ่ง ทุกวันนี้นางก็ยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่ดูดีเท่าผู้ชายคนนั้นเลย นั่นคือผู้ชายที่ทำให้ผู้หญิงหัวใจเต้นแรงตั้งแต่มองแวบแรก นางจำได้รางๆ ว่าตอนนั้นตัวเองยังเด็ก แต่กลับมองจนตาค้าง ไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าผู้ชายคนหนึ่งจะดูดีขนาดนั้นได้อย่างไร

และแน่นอน นางไม่มีความรู้สึกรักใคร่ เพียงรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นดูดีมาก ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่มักอยากได้เขามาครอบครอง

เนื่องจากสตรีผู้งดงามคนนั้นรู้สึกว่านางน่ารัก จึงเอ็นดูนางมาก ผู้ชายคนนั้นก็เลยตอบสนองความต้องการ ทั้งใช้อำนาจกดดันทั้งใช้ผลประโยชน์หลอกล่อเพื่อให้นางยอมรับผู้หญิงคนนั้นเป็นเจ้านาย ตั้งแต่นั้นมานางก็ติดตามรับใช้อยู่ข้างกายสตรีผู้งดงามคนนั้น

ในช่วงเวลานั้น นางผ่านเรื่องราวมามากมายพร้อมกับชายกับหญิงคู่นั้น ผู้ชายคนนั้นสง่างามไร้ที่เปรียบ มีพรสวรรค์ไร้เทียมทาน มีอำนาจล้นฟ้า แต่กลับมองสตรีผู้งดงามคนนั้นเป็นรักอันลึกซึ้งเพียงหนึ่งเดียวในชีวิต มอบความรักเพียงหนึ่งเดียวให้กับผู้หญิงคนนั้น ตอนนั้นไม่รู้ว่าทำให้สาวงามมากมายเท่าไรต้องรู้สึกหดหู่ใจ

ทั้งสองต่างมีใจให้กัน หญิงชายคู่นั้นเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของคู่รักในโลกนี้ หาที่เปรียบไม่ได้!

ในตอนหลัง เกิดเรื่องกับชายหญิงคู่นั้นแล้ว ความงดงามราวกับความฝันทั้งหมดเหมือนมายา ถูกพายุลูกหนึ่งบุกเข้าจู่โจม ทุกอย่างโรยราเหมือนดอกไม้

นางเป็นทาสรับใช้จนเบื่อเต็มทนแล้ว จึงฉวยโอกาสหนีไป แต่ผลปรากฏว่าผู้ชายคนนั้นหานางพบด้วยวิธีการไหนก็ไม่รู้ ตอนนั้นเสิ้นหมีก็ตกอยู่ในมือเขาเหมือนกัน โดนผู้ชายคนนั้นโจมตีสาหัสปางตาย เพื่อเป็นการลงโทษ ผู้ชายคนนั้นก็ใส่ของบางอย่างไว้ในหัวใจนางเช่นกัน ทิ้งของที่สามารถคร่าชีวิตนางได้ทุกเมื่อ

ผู้ชายคนนั้นบอกเรื่องบางอย่างนางเอาไว้ บอกว่าถ้าวันใดมีคนที่พกของของเสิ้นหมีมาหานาง และสามารถคลายพันธนาการบนร่างกายนางได้ นั่นก็คือเจ้านายคนใหม่ของนาย ต้องให้นางยอมรับเป็นเจ้านาย…

ทว่าต่อให้ผู้ชายคนนั้นจะยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน แต่สุดท้ายเขากับผู้หญิงคนนั้นก็ถูกสวรรค์อิจฉา พายุคลั่งไร้ความเมตตาที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินผ่านไปอย่างนั้น เรื่องในอดีตสลายไปราวกับหมอกควัน

“เจ้ารู้รึเปล่าว่าใครเป็นคนทิ้งของสิ่งนี้ไว้ในหัวใจข้า?” จู่ๆ ไป๋เฟิ่งหวงก็เอ่ยถามพร้อมหรี่ตายิ้ม

ที่จริงหลังจากเหมียวอี้เห็นเพลิงจิตที่อยู่ในหัวใจนาง  ในใจเขาก็เหมือนเกิดคลื่นลูกใหญ่แล้ว พอได้ยินแบบนั้นก็ถามอย่างระแวงสงสัย “ใครทิ้งไว้?”

สงสัยเจ้าหนุ่มนี่จะไม่รู้จริงๆ ว่าแล้วเชียว ไม่อย่างนั้นคงไม่รีบหนีไปหรอก ทำเอาข้าตกใจแทบแย่! ไป๋เฟิ่งหวงเลิกคิ้วนิดหน่อย แล้วบอกว่า “ถ้าเอาออกมาให้ข้า ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า และสัญญาว่าจะปล่อยเพื่อนเจ้าไปด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้าไม่มีที่เหลือให้ต่อรองหรอกนะ”

“ปล่อยพวกเราไปก่อน ถ้าไปถึงที่ที่ปลอดภัยแล้ว ข้าย่อมช่วยเอาออกให้เจ้า” เหมียวอี้ยืนหยัดในความคิดของตัวเอง

ไป๋เฟิ่งหวงโยนข้อมือของอีกฝ่ายออก แล้วลงมืออย่างรวดเร็วปานสายฟ้า เหมียวอี้ไม่มีที่ให้หลบเลย เป็นเพราะพลังของทั้งสองฝ่ายต่างกันเกินไป

นางเอามือบีบคอเหมียวอี้ แล้วถามอย่างเย็นเยียบว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าเหรอ?”

เหมียวอี้ถูกบีบคอจนหน้าแดง แต่กลับกระดุกกระดิกไม่ได้ แข็งใจกลับตาลง

ในใจเขารู้ชัดมาก ว่าถ้าคลายพันธนาการให้อีกฝ่ายจริงๆ เช่นนั้นความเป็นความตายก็จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเองแล้ว ถ้าอยากจะฆ่าอยากจะฟัน ตัวเองก็ไม่มีหนทางเลยสักนิด สัญญาปากเปล่าไม่น่าเชื่อถือ อีกฝ่ายเป็นใครตัวเองก็ยังไม่รู้จักเลยสักนิด แล้วจะเชื่อง่ายๆ ได้อย่างไร

ตอนนี้พันธนาการบนตัวอีกฝ่ายเป็นที่พึ่งเดียวในการรอดชีวิตของเขา เขาไม่เชื่อหรอกว่าเมื่อโดนคนอื่นวางค่ายกลเพลิงจิตไว้ในหัวใจแล้วอีกฝ่ายจะไม่กลัว จึงตัดสินใจจะต่อต้านจนถึงที่สุด

เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ ไป๋เฟิ่งหวงก็มีน้ำโหแล้ว “สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์ ไม่สั่งสอนเจ้าสักหน่อยคงไม่ได้แล้ว ข้าอยากจะเห็นว่าเจ้าจะปากแข็งได้อีกนานแค่ไหน” นางชูนิ้วสองนิ้วแล้วถ่างออก ต้องการจะจิ้มดวงตาทั้งคู่ของเหมียวอี้ให้บอด

ในขณะนี้เอง ลูกประคำสีเขียวเข้มในคอเสื้อของเหมียวอี้ก็เปล่งแสงสลัว

นิ้วสองนิ้วของไป๋เฟิ่งหวงที่จิ้มออกไปค้างอยู่กลางอากาศ นางเบิกตากว้างมองเหมียวอี้ ทำสีหน้าราวกับเห็นผี

“เอื้อ…” นางเริ่มเปล่งเสียงทุ้มต่ำแสดงความเจ็บปวด สีหน้าขื่นนมทรมานก็ยิ่งปิดบังได้ยาก นิ้วสองนิ้วที่จิ้มออกไปเริ่มสั่นอยู่กลางอากาศ

พรึ่บ! จู่ๆ ก็นางโบกแขน โยนเหมียวอี้ออกไป แล้วใช้มือสองข้างกุมหัวใจตัวเอง ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย เดินโซเซไปด้านข้าง เอามือประคองเสาหินหยกเอาไว้ แล้วพยายามส่ายหน้าอย่างทุกข์ทรมาน

“แค่กๆ!” เหมียวอี้ไอสองทีพลางเอมือลูบคอแล้วลุกขึ้นมา พอเห็นอีกฝ่ายทำตัวผิดปกติก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรไปแล้ว

หารู้ไม่ว่าในหลายปีมานี้ เพลิงจิตใจหัวใจของอีกฝ่ายไม่เคยเกิดความผิดปกติใดๆ เลย แต่เมื่อครู่นี้เอง จู่ๆ เพลิงจิตก็ปะทุและเผาไหม้อย่างรุนแรง ราวกับต้องการจะบุกทะลวงค่ายกลเล็ก ราวกับต้องการจะเผาหัวใจของนางให้กลายเป็นเถ้าถ่าน รสชาติความเจ็บปวดและหวาดกลัวแบบนี้ เกรงว่าคนนอกคงจะไม่มีทางจินตนาการออก

“หยุดนะ!” ไป๋เฟิ่งหวงที่เอามือประคองเสากล่าวเสียงต่ำพลางหอบหายใจ นางกอดเสาแล้วคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวเสียงสั่นว่า “ข้าผิดไปแล้ว เจ้ารีบหยุด”

เหมียวอี้ที่เอามือคองุนงง สงสัยนิดหน่อยว่าอีกฝ่ายกำลังพูดกับตัวเองหรือเปล่า เขามองไปรอบๆ พบว่าในตำหนักว่างเปล่ามีแค่พวกเขาสองคน ถ้าไม่ได้พูดกับตนแล้วจะพูดกับใครได้อีก? แต่ตนไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!

แต่ผลที่ได้จากการยอมรับผิดนั้นชัดเจนมาก เปลวเพลิงล่องหนที่เคลื่อนไหวผิดปกติในหัวใจสงบลงอีกครั้ง

“เห้อ…” เงยหน้าถอนหายใจยาวอย่างฉับพลัน ใช้สองมือกุมหน้าอกแล้วล้มลงนอนหอบหายใจบนพื้น

ผ่านไปพักใหญ่ นางถึงได้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วจ้องเหมียวอี้ด้วยสีหน้าคับแค้นปนเศร้าโศก “เจ้าทำอะไรกับข้า?”

ข้าทำอะไร? เหมียวอี้ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างไร แต่เขายินดีที่จะแกล้งโง่ ยักไหล่โดยไม่กล้าพูดอะไรมาก กลัวว่าพูดมากแล้วจะเผยพิรุธ เพราะตอนนี้เขายังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน

ไป๋เฟิ่งหวงเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะฆ่าเขาแล้ว นางกัดฟันพร้อมบอกว่า “ถ้าข้าปล่อยพวกเจ้าออกไป เจ้ารับประกันได้มั้ยว่าจะเอาของสิ่งนี้ออกไปจากตัวข้าได้?” ก่อนหน้านี้นางไม่ร้อนใจ เพราะนึกว่าคนคนนั้นตายไปแล้ว ตราบใดที่ตัวเองไม่ทำซี้ซั้ว พันธนาการในร่างกายก็จะไม่ทำอะไรนาง อย่างมากก็เป็นของอีกอย่างที่เพิ่มเข้ามาในร่างกาย แต่หลังจากได้รับความทรมานเมื่อครู่นี้ นางก็ไม่กล้าเก็บมันไว้อีกแล้ว

เหมียวอี้ใจร้อนอยากจะหนีให้พ้นจากอันตรายเช่นกัน อยู่ข้างกายผู้หญิงคนนี้นานอันตรายเกินไปแล้ว จึงพยักหน้าบอกว่า “ข้าพูดจาคำไหนคำนั้น ขอเพียงเจ้าทำได้ ข้าก็ไม่กลืนคำพูดตัวเองแน่”

ไป๋เฟิ่งหวงพยักหน้า นางมองเขาด้วยแววตาแปลกๆ เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ไม่เอ่ยเรื่องที่ขอให้นางยอมรับเขาเป็นเจ้านาย ตอนนี้นางก็ยิ่งแน่ใจว่าเหมียวอี้ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก นางเตรียมจะปิดปากเงียบ ไม่จำเป็นต้องเอาเชือกมาผูกคอตัวเอง

ในขณะนี้เอง จู่ๆ ไป๋เฟิ่งหวงก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา หลังจากได้ฟังข่าวแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนทันที

ที่ด้านนอกทะเลดาวสับสน โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ยืนอยู่นอกค่ายทัพกลาง กำลังมองดูฝุ่นหยกผืนใหญ่เบื้องหน้า พวกเขามาคุมที่นี่ด้วยตัวเอง

มังกรดำยักษ์ดุร้ายสิบตัวบินวนอยู่ในดาราจักร บนตัวของมังกรยักษ์ล้วนมีคนยืนอยู่หนึ่งคน ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนออกโรงด้วยตัวเอง บุรุษจัญไรหกเนตรยืนอยู่บนหัวมังกรตัวหนึ่ง ใช้สองมือจับประคองเขาบนหัวมังกร ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่บนหน้าผากเปิดออกแล้ว แสงเลือดระท้อนวิบวับ กวาดมองหนทางที่เลือนรางเบื้องหน้า แล้วจู่ๆ ก็ชี้นิ้ว ขี่มังกรดำบินนำเบิกทางอยู่ข้างหน้า มังกรยักษ์เก้าตัวข้างหลังรีบตามไปอย่างรวดเร็ว ฝ่าเข้าไปในหมอกหนาด้วยกัน

…………………………