บทที่ 1404 เล่นจนเรื่องราวใหญ่โต

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1404 เล่นจนเรื่องราวใหญ่โต Ink Stone_Fantasy

เมื่อทัพใหญ่ที่ประจำอยู่ด้านนอกเห็นภาพนี้ ก็พากันตกตะลึงในพลังอำนาจ ทำสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม

พอมังกรสิบตัวเข้าไปในฝุ่นผงผืนใหญ่ บุรุษจัญไรหกเนตรก็ยกมือขึ้นดึงจอนผมสองข้างรวมทั้งผมยาวที่อยู่ตรงท้ายทอย มีตาโลหิตอีกสามดวงเปิดออกทันที เบ่งบานแสงเลือดออกมา อยู่ในตำแหน่งระดับเดียวกับหว่างคิ้ว บนศีรษะมีดวงตาล้อมรอบสี่ทิศ

ตาเลือดสี่ดวงกลอกกลิ้ง มองข้ามอุปสรรคของฝุ่นละออง โบกมือชี้ไปยังจุดลึก ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนคอยติดตาม นำทุกคนตะลุยเข้าไปในทะเลดาวสับสนด้วยกัน

ตาเลือดของบุรุษจัญไรหกเนตรเรียกว่าดวงตาพันลี้ มีจุดที่ไม่เหมือนกับตาทิพย์ของเหมียวอี้ ตาทิพย์ของเหมียวอี้สามารถมองอ้อมได้ แต่ตาเลือดของเขากลับมองทะลุได้อย่างแท้จริง ถ้าตาทิพย์ของเหมียวอี้ถูกวัตถุจริงกั้นขวาง ก็จะมองทะลุไม่ได้แน่นอน แต่หกเนตรกลับมองทะลุได้โดยตรง มหัศจรรย์ไม่ธรรมดา

เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่สู้ตาทิพย์ของเหมียวอี้ไม่ได้ ตราบใดที่เหมียวอี้มีวรยุทธ์เพียงพอ ก็ไม่ต้องกลัวเรื่องสิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์ ตาทิพย์สามารถปรับระยะสายตาให้มองได้ไกลไร้ขีดจำกัด แต่ดวงตาพันลี้ของหกเนตรก็มีขีดจำกัดด้านระยะทาง มองได้ไกลเพียงเก้าพันเมตรเท่านั้น

และสาเหตุที่หกเนตรได้ชื่อว่าบุรุษจัญไร ก็เป็นเพราะตอนแรกอาศัยดวงตาพันลี้เพื่อไปมองบางสิ่งที่ไม่ควรมอง นั่นก็คือผู้หญิง!

คนประเภทนี้ทำให้คนระแวงได้ง่าย ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีประโยชน์อยู่บ้าง เกรงว่าคงจะโดนตำหนักสวรรค์ลงโทษไปนานแล้ว

พอพวกเขาล่วงล้ำเข้ามาในจุดลึกของหมอกหนา ขณะกำลังมองสำรวจไปรอบๆ จู่ๆ หกเนตรก็ยกมือตะโกนว่า “หยุด!”

มังกรยักษ์สิบตัวหยุดทันที ไป่หลี่เฟิงถามว่า “เป็นอะไรไป?”

ดวงตาพันลี้ตรงหว่างคิ้วของบุรุษจัญไรหกเนตรส่องแสงเข้มข้น แล้วโบกมือชี้เฉียงไปด้านขวาเบื้องหน้า “มาแล้ว!”

ทุกคนมองตาม แต่เป็นหมอกหนาทั้งแถบ มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

แต่ก็ผ่านไปไม่นาน ในจุดลึกของหมอกหนาด้านหน้ามีฟ้าแลบให้เห็นรางๆ มีเสียงฟ้าร้องครืนครานดังเข้ามาใกล้ทีละนิด ตามติดด้วยลมพายุคลั่งพัดวูบ ฝุ่นหยกอันน่าสับสนเริ่มหมุนวนด้วยความเร็วสูง แล้วกวาดเข้ามาในชั่วพริบตาเดียว ดูดพวกเขาเข้าไปแล้ว

บุรุษจัญไรหกเนตรรีบขี่มังกรดำไปหลบอยู่หลังกลุ่มคน เขาไม่อยากออกหน้าในเรื่องนี้

คนที่เหลือล้วนสวมเครื่องแบบแม่ทัพเกราะแดงของตำหนักสวรรค์ พวกเขาหยุดนิ่งไม่ขยับไปไหน ปล่อยให้พายุลมคลั่งดูดกลืนตัวเองไป

เสาลมที่เหมือนพายุหมุนหอบพวกเขาไปอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของพายุอย่างรวดเร็ว พลังหมุนอันแข็งแกร่งทำให้ตรงหน้าพวกเขากว้างโล่งขึ้นแล้วไม่น้อย เพียงแต่ตรงหน้าพวกเขามีฟ้าแลบฟ้าร้องไม่รู้จักหยุดหย่อน สายฟ้านับไม่ถ้วนผ่าใส่เกราะหัวของพวกเขาอย่างบ้าคลั่งโดยไม่มีเค้าลาง สายฟ้าตัดสลับกันไปมาหลายสาย ราวกับต้องการจะให้พวกเขาได้อาบน้ำด้วยสายฟ้าสักครั้ง

มังกรยักษ์สิบตัวบินวนคดเคี้ยวยาวเหยียดด้วยความเร็ว ปกป้องคนที่ควบขี่มันเอาไว้ตรงกลาง สายฟ้านับไม่ถ้วนล่วงผ่านร่างมังกรที่ดำขลับ ไม่สามารถทำร้ายผู้ที่ควบขี่ได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้ยิ่งแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจอันล้ำลึกของมังกรยักษ์ทั้งสิบตัว ครั้งนี้กำลังพลตำหนักสวรรค์มาแบบเตรียมตัวแล้ว สายฟ้ากระจอกๆ ทำอะไรพวกเขาไม่ได้แล้ว

ผ่านไปไม่นาน ฟ้าผ่าก็หยุดลง แสงฟ้าแลบถอยร่นไป พายุที่หมนุด้วยความเร็วสูงก็หยุดลงอย่างช้าๆ เช่นกัน

เงาร่างของไป๋เฟิ่งหวงปรากฏอยู่ท่ามกลางหมอกหนา เผชิญหน้ากับกลุ่มคนพร้อมกล่าวอย่างหยิ่งผยอง “ยังกล้ามารนหาที่ตายที่นี่อีก ประมุขชิงตอบตกลงเงื่อนไขของข้าแล้วสินะ”

ไป่หลี่เฟิงตะโกนตอบว่า “ไป๋เฟิ่งหวง อย่าเสียมารยาท! ฝ่าบาทเห็นแก่ไมตรีเก่า ไม่อยากฆ่าให้ตายหมด ต้องการเหลือทางให้เจ้ามีชีวิตรอด ฝ่าบาทบอกไว้แล้ว ขอเพียงเจ้าปล่อยกำลังพลของตำหนักสวรรค์ ยอมศิโรราบต่อตำหนักสวรรค์ ก็สามารถแบ่งทะเลดาวสับสนให้เจ้าได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เจ้าต้องยอมศิโรราบต่อตำหนักสวรรค์!”

“เห็นแก่ไมตรีเก่าเหรอ!” ไป๋เฟิ่งหวงหัวเราะลั่น ราวกับได้ฟังเรื่องที่น่าขำที่สุดในโลก นางส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “ประมุขชิงเป็นคนที่เห็นแก่ไมตรีเก่าเหรอ? ข้ารู้จักเขาดีกว่าพวกเจ้าอีก ขนาดพี่น้องร่วมสาบานของตัวเองก็ยังทิ้งได้ ยังกล้าบอกว่าตัวเองเห็นแก่ไมตรีเก่าอีก อย่าพูดเหลวไหลเลย ข้าถามเพียงคำเดียว ตกตลงว่าประมุขชิงตอบตกลงเงื่อนไขของข้ามั้ย?”

“บังอาจ!” ฮ่วนอู๋เปียนตะคอกเสียงเข้ม แล้วโบกดาบชี้ไป “ถ้ากล้าอวดดีอีก ก็รับผลที่ตามมาเองแล้วกัน! จะยอมหรือจะไม่ยอม?”

“ถ้าไม่ยอมแล้วจะทำไม?” ไป๋เฟิ่งหวงเหยียดหยาม

มังกรดำที่ควบขี่เริ่มบินวนดันฮ่วนอู๋เปียนขึ้นมา ฮ่วนอู๋เปียนยืนอยู่เบื้องสูงพร้อมตะโกนว่า “ถ้าไม่ยอมก็จะจับตัวเจ้าไปรับโทษ!”

ไป๋เฟิ่งหวงแสยะยิ้ม “ชีวิตของกำลังพลหลายล้านอยู่ในมือข้าแล้ว ถ้าไม่สนใจความเป็นความายของพวกเขาก็ลองดูได้เลย”

นางนึกว่าตัวเองกำจุดอ่อนของอีกฝ่ายไว้แล้ว แต่ใครจะคิดว่าฮ่วนอู๋เปียนจะโบกดาบตะโกนว่า “จัดการ!”

เก้าคนที่มาด้วยกันพลันถลันตัวออกมา ชั่วพริบตาเดียวก็โจมตีเข้ามาแล้ว

ไป๋เฟิ่งหวงตกใจทันที นึกไม่ถึงว่าฝั่งตำหนักสวรรค์จะโหดขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่แยแสชีวิตของคนหลายล้าน ไม่ยอมประนีประนอมกับนางสักนิดเลย

นางรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้หากคนพวกนี้ร่วมมือกัน จึงรีบถลันตัวถอยหลัง ขณะที่รีบถอย มังกรหยกหลายตัวก่อตัวอย่ารวดเร็ว แล้วโผเข้าใส่อย่างบ้าคลั่งเพื่อดักทางข้างหลังให้นาง

บึ้ม! ฮ่วนอู๋เปียนฟันดาบใหญ่ในมือออกมา ฟันมังกรหยกที่โผเข้ามาจนระเบิด

คนกลุ่มหนึ่งไล่ตามโจมตีไป๋เฟิ่งหวงตลอดทางราวกับว่าเทพขวางก็ฆ่าเทพ พระขวางก็ฆ่าพระ ถ้าอาศัยเพียงการชนปะทะจากตัวของมังกรหยกที่ก่อตัวขึ้นมาพวกนี้ ก็ไม่สามารถต้านทานยอดฝีมือกลุ่มนี้ได้เลย กอปรกับมังกรดำสิบตัวที่พุ่งตามเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เกิดการบดอัดจนเป็นผุยผงตลอดทาง ไล่ตามไป๋เฟิ่งหวงไม่ปล่อยเลย

“ไปทางซ้าย…ไปทางขวา…ลงด้านล่าง…”

เมื่อมีบุรุษจัญไรหกเนตรคอยชี้บอกทิศทางที่ไป๋เฟิ่งหวงหลบหนี คนกลุ่มนี้ก็ไล่ตามไม่เลิก ไป๋เฟิ่งหวงไม่มีทางหนีพ้นเลย

“โจรสุนัขหกเนตร ที่แท้ก็เป็นเจ้าอีกแล้ว! เจ้าคอยข้าไว้ให้ดี สักวันข้าจะควักลูกตาหมาๆ ของเจ้าโยนลงบ่อขี้” ไป๋เฟิ่งหวงที่กำลังเร่งหลบหนีด่ายับ

บุรุษจัญไรหกเนตรแอบร้องอย่างขื่นขม เขาเองก็ไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือก!

แต่ไป๋เฟิ่งหวงอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้อ่อนด้อยฝีมือเช่นกัน นางกับเขตแดนที่นี่เชื่อมต่อกันแล้ว หลังจากรู้ว่าโดนเล็งก็ขี้คร้านจะหลบซ่อนอีก นางหลบหนีเป็นแนวเส้นตรง กลุ่มดาวเคราะห์หินหยกขนาดใหญ่ที่รวบรวมมาตลอดทางถล่มใส่ด้านหลังนางอย่างบ้าคลั่ง สร้างอุปสรรคต่อความเร็วของผู้ที่ไล่สังหาร

ส่วนบนดาวฝุ่นหยก บรรดาเด็กชายเด็กหญิงที่ได้รับข่าวก็รีบโยนลูกกลมหยกที่กลิ้งเล่นทิ้ง รีบหนีออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว สุดท้ายไป๋เฟิ่งหวงก็ยังกลัวประมุขชิง นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทำเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด นางไม่กล้าตัดหัวคนจำนวนหลายล้าน หากทำอย่างนั้นจริงๆ ประมุขชิงจะต้องไม่ปล่อยนางไปแน่นอน

เห็นได้ชัดเจนมาก นางหลบซ่อนอยู่ที่ทะเลดาวสับสนไม่ได้อีกต่อไป ถ้าล่วงเกินประมุขชิงอย่างถึงที่สุดอีก แบบนั้นนางก็จะหาที่ลงหลักปักฐานไม่ได้แล้วจริงๆ

ด้านในและด้านนอกตำหนักไม่มีคนเฝ้าแล้ว เหมียวอี้ถลันตัวออกมานอกตำหนัก พอเห็นปีศาจเล็กๆ รีบแฉลบขึ้นฟ้าไปก็แปลกใจนิดหน่อย เขายังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

แต่เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ เมื่อมีโอกาสหนีเอาชีวิตรอดแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้พลาดไป

เขาไม่ได้หนีเอาตัวรอดไปคนเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งคนมากมายขนาดนั้นของธงพยัคฆ์ดำเอาไว้ แต่ลูกกลมหยกมีเยอะมาก ใครจะไปรู้ว่าลูกไหนคือคนของธงพยัคฆ์ดำ ภายใต้ความจนใจ เขาทำได้เพียงเหาะเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วโบกแขนเสื้อหลายครั้งติดต่อกัน ถล่มลูกกลมหยกพังเป็นแถบๆ

แต่อยู่ดีไม่ว่าดี ในลูกกลมหยกร้อยลูกแรกที่เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ทำลายพัง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีจ้านหรูอี้ที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมจนตรอกอยู่ด้วย

เหมียวอี้เห็นแล้วพูดไม่ออก อยากจะฉวยโอกาสนี้ฆ่านาง แต่ช่วยไม่ได้ที่มีคนเห็นเยอะเกินไป กอปรกับตอนนี้ไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น การช่วยคนของตัวเองก่อนต่างหากที่สำคัญที่สุด เขาจึงถลันตัวไปอยู่ข้างกายจ้านหรูอี้ ถึงอย่างไรก็สนิทกับนางกว่าคนอื่น คุยกันง่าย จึงจับนางไว้แล้วรีบคลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวนาง แล้วรีบเตือนว่า “เร็วเข้า ช่วยข้าช่วยชีวิตคน” พูดจบก็ถลันตัวออกไป ทำลายลูกกลมหยกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าต่อไป

คนที่เขาช่วยคนแรกคือข้างั้นเหรอ? จ้านหรูอี้หันขวับไปมองเหมียวอี้ที่เดินจากไปไกล สีหน้านางทั้งแปลกใจทั้งสับสน

“รีบคลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวพวกเรา” ข้างๆ มีคนร้องเตือน จ้านหรูอี้จึงได้สติกลับมา แล้วรีบลงมือช่วยเหลือ

หนึ่งจุดกระจายเป็นวงกว้าง ทุกคนลงมือพร้อมกัน ทำให้การช่วยเหลือนี้รวดเร็วมาก ใช้เวลาไม่นานเท่าไร ทุกคนก็หลุดพ้นจากการถูกขังหมดแล้ว

ขณะเดียวกันก็มีคนรีบติดต่อกับเบื้องบน ทางค่ายทัพกลางได้รับข่าวอย่างรวดเร็ว

ไป่หลี่เฟิงที่ผ่านมาบริเวณนี้ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน นำคนสามคนตามมาถึงที่นี่ อยู่เฝ้ารักษาการณ์ที่นี่เอาไว้ ส่วนฮ่วนอู๋เปียนก็นำคนไล่ตามโจมตีไป๋เฟิ่งหวงต่อไป

แต่ถ้าอยากจะจัดการไป๋เฟิ่งหวงในสถานที่แบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายขนาดนั้น ไป๋เฟิ่งหวงสามารถสร้างอุปสรรคขวางกั้นได้เยอะเกินไป สุดท้ายก็ยังปล่อยให้ไป๋เฟิ่งหวงหนีไปได้ ฮ่วนอู๋เปียนนำคนโจมตีมาถึงปลายสุดอีกฝั่งของทะเลดาวสับสน เบื้องหน้าเป็นดาราจักรนิรนามที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่รู้ว่าไป๋เฟิ่งหวงหนีไปไหนแล้ว บุรุษจัญไรหกเนตรพยายามสุดความสามารถแต่ก็หาไม่เจอแม้แต่เงา

หลังจากฮ่วนอู๋เปียนรายงานขึ้นไปแล้ว ก็นำกำลังพลย้อนกลับมารวมตัวกับไป่หลี่เฟิงอีกครั้ง โดยมีบุรุษจัญไรหกเนตรนำทาง นำกำลังพลหลายล้านจากไป

พอออกจากทะเลดาวสับสนแล้ว เหมียวอี้ก็เป็นคนแรกที่ได้เจอบุคคลสำคัญอันดับหนึ่งของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา เพียงแต่มองดูจากที่ไกลๆ ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ไม่มีอารมณ์มาชื่นชม กลับรู้สึกหนักใจด้วยซ้ำ

ไม่หนักใจก็แปลกแล้ว ก่อนไป๋เฟิ่งหวงจะหนีไป นางเอาของบนตัวเขาไปจนหมด เกราะรบ อาวุธ ของวิเศษ เงินทอง ยาเม็ด ทั้งยังมีตั๊กแตนกับเฮยทั่นอีก แม้แต่เยียนเป่ยหงที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ก็ถูกเอาไปด้วยกัน สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็นของมีค่าหรือไม่มีค่าก็ถูกนางเอาไปหมดแล้ว ไม่ทิ้งอะไรไว้สักอย่างเดียว

แต่ไหนแต่ไหนมาล้วนเป็นเหมียวอี้ที่ร่ำรวยจากของบนตัวคนอื่น แต่ตอนนี้โดนคนอื่นแสวงหาความร่ำรวยจากตัวเขาแล้ว เขามาเพื่อช่วยชีวิตเยียนเป่ยหงแท้ๆ แต่ผลปรากฏว่านอกจากจะช่วยเยียนเป่ยหงไม่ได้แล้ว เขายังต้องชดเชยต้นทุนเก่าอีกเป็นกองด้วย

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น พอลองตรวจนับกำลังพลใต้บังคับบัญชาดู ก็พบว่าทั้งหมดถูกรีดไถไปจนเกลี้ยงแล้ว

ไม่ใช่แค่กำลังพลใต้บังคับบัญชาของเขาเท่านั้น สมบัติของกำลังพลหลายล้านก็ถูกเอาไปหมดเช่นกัน

ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่เขาที่สีหน้าแย่จนดูไม่ได้ หลังจากได้รับแจ้งแล้ว โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาก็สีหน้าคร่ำเครียดเช่นกัน

ถ้าเป็นสมบัติอย่างอื่นก็ไม่เท่าไรหรอก แต่กำลังพลเกือบเก้าล้านของกองทัพองครักษ์ล้วนพกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ติดตัว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เกือบเก้าล้านคันไหลออกไปแล้ว เพียงพอที่จะติดอาวุธให้ทัพใหญ่ได้หนึ่งกองทัพ ถ้าไปตกอยู่ในมือของคนที่มีเจตนาไม่ดีขึ้นมาละก็ เกิดปัญหาใหญ่แน่

แต่ตอนนี้ไป๋เฟิ่งหวงหนีเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนามแล้ว ถ้าอยากจะหาก็ไม่มีทางหาพบเลย ของที่อยู่บนตัวคนมากมายขนาดนั้น เกรงว่าคงจะเพียงพอให้ไป๋เฟิ่งหวงซ่อนตัวได้หลายปี

ไป๋เฟิ่งหวงนึกว่าถ้าตัวเองปล่อยกำลังพลของตำหนักสวรรค์ไปแล้ว ตำหนักสวรรค์ก็จะปล่อยตนไปง่ายๆ นางไม่เข้าใจว่านางได้ทำผิดข้อห้ามบางอย่างเข้าแล้ว และยิ่งไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้ฝั่งนี้สงสัยแล้วว่าผู้ร้ายที่ฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงตกอยู่ในมือนาง

นางหนีไปเพื่ออิสระ แต่หารู้ไม่ว่าการหนีไปครั้งนี้จะทำให้เรื่องราวใหญ่โต ยั่วให้ประมุขชิงเดือดดาลมาก!

ผ่านไปไม่นาน ตำหนักสวรรค์ก็ระดมทัพใหญ่มาปราบที่ทะเลดาวสับสนอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่แค่กำลังพลของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาเท่านั้น แม้แต่กำลังพลท้องถิ่นก็เข้ามาร่วมด้วย บุรุษจัญไรหกเนตรขื่นขมใจจนพูดไม่ออก ถูกรั้งตัวเอาไว้คอยช่วยเหลือที่ทะเลดาวสับสน

ทัพใหญ่เก้าล้านที่ถูกปลดอาวุธออกไปจากที่นั่นอย่างเศร้าสลด บนตัวไม่มีแม้แต่อาวุธพื้นฐาน ทำได้เพียงต่างคนต่างกลับไปที่อาณาเขตตัวเอง

หลังจากนั้นหลายเดือน เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ก็นำกำลังพลใต้บังคับบัญชากลับมารายงานผลการปฏิบัติงานที่ฐานของกองมังกรดำ สุญเสียชีวิตคนไปไม่เยอะเท่าไร ธงพยัคฆ์ดำกับธงพยัคฆ์น้ำเงินมีคนหายไปไม่กี่สิบคนเท่านั้น

เหมียวอี้กลับมาถึงค่ายทัพกลางธงพยัคฆ์ดำ เรียกรวมลูกน้องคนสำคัญมาแล้วตำหนิตัวเองต่อหน้าพวกเขา พวกลูกน้องย่อมกล่าวปลอบโยนพอเป็นพิธี

ตอนที่ถูกคนถอยออกไปแล้ว จู่ๆ สวีถังหรานก็เข้ามาใกล้อย่างลับๆ ล่อๆ แล้วรายงานเป็นการส่วนตัวว่า “นายท่าน ทางตลาดมืดคึกคักแล้ว แปลกประหลาดเหลวไหลจริงๆ มีคนปล่อยข่าวไม่หยุดว่าต้องการรับซื้อธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในราคาสูง ตอนนี้เกรงว่าอำนาจแต่ละฝ่ายคงจะเข้าไปพัวพันกับตลาดมืดใหญ่ๆ กันหมดแล้ว”

…………………………