บทที่ 1405 ลืมบัญชีเก่า Ink Stone_Fantasy
“ตลาดมืดรับซื้อธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์?” เหมียวอี้ตกใจไม่ใช่น้อย
จู่ๆ ก็มีข่าวนี้โผล่มาจากตลาดมืด ไม่ต้องคิดอะไรเยอะก็รู้แล้วว่าพุ่งเป้าไปที่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ถูกปล้นที่ทะเลดาวสับสน แต่นั่นคือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เกือบเก้าล้านคัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนอยากได้ของชุดนี้ คิดจะทำอะไร? ไม่รู้เหรอว่าทำแบบนี้ผิดข้อห้าม? เขาหันกลับมาถามว่า “รู้หรือเปล่าว่าอำนาจฝ่ายไหนเข้าไปเกี่ยวข้องบ้าง?”
สวีถังหรานตอบว่า “ฟังจากที่หวงเสี้ยวเทียนบอก น่าจะมีทั้งอำนาจฝ่ายต่างๆ ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพวกลูกพี่ใหญ่ที่ตำหนักสวรรค์ มีทั้งโจรกบฏ ถึงอย่างไรช่วงนี้ตลาดมืดก็คึกคักมาก พวกพวกเสือสิงห์กระทิงแรดอะไรล้วนมีหมด พากันจับจ้องไปที่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้น”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วแอบส่ายหน้า วิธีการหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ถูกควบคุมอยู่ในมือตำหนักสวรรค์มาตลอด ถ้าโจรกบฏอยากได้ก็ยังพออภัยได้ ตอนนี้แม้แต่พวกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็เข้ามาร่วมด้วยแล้วเหรอ คนพวกนี้กำลังคิดจะทำอะไรกัน? อยากเก็บไว้ในมือกันหมดเลยเหรอ?
“ฝ่าบาทคงจะนั่งในตำแหน่งนั้นไม่สบายแล้ว!” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ เขาเองก็พอจะเข้าใจเช่นกัน คนที่อยู่ในระดับบุคคลสำคัญของตำหนักสวรรค์ ทุกคนล้วนมีจิตใจเห็นแก่ตัวที่อยากจะปกป้องตัวเองอยู่บ้าง ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ประมุขชิงบีบได้ตามอำเภอใจ ถ้าพูดโดยมองจากบางมุม พวกลูกพี่ใหญ่แต่ละคนล้วนสามารถถ่วงความเจริญก้าวหน้าประมุขชิงได้ และกำลังรักษาความสมดุลในอำนาจของตำหนักสวรรค์ด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้คนคนเดียวมีอำนาจตัดสินใจทุกอย่าง เช่นนั้นความเป็นความตายของทุกคนก็จะขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนคนเดียวจริงๆแล้ว คาดว่าคงไม่มีให้อยากเห็นพระปีศาจหนานโปคนที่สองโผล่มาอีก
เขาไม่สนใจธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ แต่กลับสนใจความปลอดภัยของเยียนเป่ยหงกับเฮยทั่น ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าไป๋เฟิ่งหวงหนีไปอยู่ที่ไหน อยากจะเจรจาเงื่อนไขแต่ก็ติดต่อไม่ได้ วิธีการเดียวในตอนนี้ก็คือดูว่าที่ตลาดมืดมีใครปล่อยขายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ จะได้สืบสาวไปถึงตัวไป๋เฟิ่งหวงได้สะดวก
ตรงนี้กำลังสั่งสวีถังหรานให้เฝ้าติดตามข่าวทางตลาดมืด ด้านนอกกลับมีข่าวมารายงาน “รายงาน!”
ทั้งสองที่กำลังสุมหัวพึมพำอยู่ด้วยกันแยกออกจากกัน เหมียวอี้เงยหน้าบอกว่า “เข้ามา”
ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาทำความเคารพ แล้วใช้สองมือยื่นแผ่นหยกให้ “ผู้บัญชาการใหญ่ ด้านนอกมีคนขอพบขอรับ บอกว่าเป็นสหายของท่าน”
“สหาย?” เหมียวอี้ดูดแผ่นหยกมาไว้ในมือ แล้วถามว่า “ชื่อแซ่อะไร?”
“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ ทหารยามตรงประตูบอกว่าอีกฝ่ายไม่ยอมเปิดเผยตัวตน” ลูกน้องตอบ
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูแผ่นหยกบนมือ พบว่าข้างในเป็นรูปตั๊กแตนตัวหนึ่ง เป็นตั๊กแตนหยินหยางที่เขาเลี้ยงนั่นเอง เขาพึมพำในใจ หรือว่าอวิ๋นจือชิวจะมาแล้ว? เขาเดาว่าอวิ๋นจือชิวติดต่อเขาไม่ได้ จึงกังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเขา ก็เลยมาหาเขา เขาเงยหน้าบอกว่า “เชิญเข้ามา!”
ผ่านไปครู่เดียว ด้านนอกก็มีชายชราคนหนึ่งเข้ามาทำความเคารพ
เหมียวอี้มองอีกฝ่ายปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่อวิ๋นจือชิว บางอย่างสามารถปลอมแปลงได้ แต่บางอย่างไม่สามารถปลอมแปลงได้ เขาคุ้นเคยกับดวงตาของอวิ๋นจือชิวมากเกินไป
หลังจากชายชราคนนั้นทำความเคารพแล้ว ในดวงตาก็ฉายแววหยอกล้อ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกตรงๆ ว่า “ที่แท้เจ้าก็คือหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังนี่เอง”
พอได้ยินเสียงนี้ เหมียวอี้ที่กำลังนั่งสง่าก็ตัวสั่นเล็กน้อย ดวงตาพลันเบิกกว้าง ไป๋เฟิ่งหวง!
เขาไม่มีทางลืมเสียงของไป๋เฟิ่งหวงเร็วขนาดนั้น แน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด สายตาแบบนั้นก็ไม่ผิดแน่ เขากำลังคิดอยู่เลยว่าจะหาไป๋เฟิ่งหวงให้พบได้อย่างไร นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาหาเขาถึงที่ก่อน
เหมียวอี้หันกลับไปมองเหยียนซิวที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างหลังเงียบๆ แล้วทำท่าปัดมือให้สวีถังหราน “เจ้าออกไปก่อน ถ้าข้าไม่อนุญาต ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามา รวมทั้งหรูฮูหยินด้วย”
“ขอรับ!” สวีถังหรานเอ่ยรับแล้วเดินออกไป เพิง่จะเดินมาถึงข้างนอก ก็บังเอิญเจอกับเฟยหงที่ยกน้ำชาเข้ามาพอดี เขาทำได้เพียงขวางไว้ ไม่ให้เข้าไปข้างใน
ในค่ายทัพกลาง เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ จ้องมองชายชราที่อยู่ตรงหน้า
“เหอะๆ…” ชายชราหัวเราะเบาๆ ร่างกายเลือนรางเลื้อยขยุกขยิกพร้อมกับมีแสงสลัว ชั่วพริบตาเดียวก็ปรากฏร่างเดิมแล้ว กลายเป็นไป๋เฟิ่งหวงสวมชุดกระโปรงสีขาวที่มีร่างทั้งร่างเป็นสีขาว
เหยียนซิวที่เงียบงันมาตลอด ในที่สุดก็แสดงท่าทางตกใจมาก แต่เหมียวอี้กลับยกมือกดไว้
เป็นเหมือนปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่สามารถแปลงร่างได้หลากหลายอีกแล้วเหรอ มิน่าล่ะถึงได้หลบการปิดล้อมสอบสวนแล้วมาถึงที่นี่ได้! เหมียวอี้แอบหมั่นไส้ แล้วถามเสียงเข้มว่า “เจ้าใจกล้าไม่เบาเลยนะ ยังกล้ามาที่นี่อีก เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่นี่?”
ตอนแรกอีกฝ่ายไม่ได้ถามถึงฐานะตัวตนของเขา และเขาก็ไม่ได้บอกด้วย เขาสงสัยนิดหน่อยว่าเยียนเป่ยหงเปิดเผยหรือเปล่า?
ไป๋เฟิ่งหวงโบกมือโยนของให้เขา พอเหมียวอี้รับมาดูในมือ ก็รู้แล้วว่าตัวเองเข้าใจเยียนเป่ยหงผิดไป นี่คือแผ่นหยกขุนนางของเขา บนนั้นมีสถานะของเขาอยู่ เขาลืมสิ่งนี้ไปแล้ว
พอเก็บแผ่นหยกแล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“เจรจาข้อแลกเปลี่ยนของเราต่อไป เจ้าเอาของบนตัวข้าออกไป แล้วข้าจะคืนของให้เจ้า” ไป๋เฟิ่งหวงตอบ
เหมียวอี้จึงหรี่ตาบอกว่า “พอมาถึงที่นี่แล้ว เจ้าก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้หรอก ที่นี่ไม่ใช่ทะเลดาวสับสนที่เอื้อความได้เปรียบให้เจ้า พอมีความเคลื่อนไหว ที่อาณาเขตดาวรอบๆ ก็จะปิดล้อมทันที หนีไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้นแล้ว ข้าไม่เอาของคืนก็ได้หรอก ขอเพียงจับตัวเจ้าได้ ยังกลัวว่าจะไม่ได้ของของตัวเองคืนอีกเหรอ?”
ไป๋เฟิ่งหวงพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “อย่าเปลืองคำพูดขู่เข็ญที่ไร้ประโยชน์ ข้าเองก็ไม่ได้ตกใจสักเท่าไรหรอก ถ้าเจ้าไม่กลัวตายก็ลองดูได้เลย! ข้าจะเปิดเผยให้เจ้ารู้ก็ได้ ข้าฝึกตนขึ้นมาจากหินหยก ต่อให้เจ้าทำลายหัวใจข้า ข้าก็ยังไม่ตายในทันทีหรอก มีเวลาเพียงพอที่จะฆ่าเจ้าทิ้งก่อน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าบนโลกนี้จะมีคนไม่กลัวตาย” พูดจบก็พลิกฝ่ามือ คว้าเยียนเป่ยหงที่มีสภาพสะบักสะบอมออกมา “เจ้าหนุ่มนี่ปากแข็งมากทีเดียว จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของเจ้า มองออกจากจุดนี้ได้เลย ว่าฐานะของพวกเจ้าสองคนไม่ธรรมดา จะให้ข้าสังหารเขาให้เจ้าดูก่อนมั้ยล่ะ?”
ทั้งตัวเยียนเป่ยหงเต็มไปด้วยเลือด เห็นได้ชัดว่าโดนทรมานมา เขาเงยหน้ามองเหมียวอี้อย่างเสียใจ ส่วนเหมียวอี้ก็เม้มริมฝีปากแน่น ในดวงตาสื่ออารมณ์รู้สึกผิดอย่างปิดบังไม่อยู่
พอดึงตัวเยียนเป่ยหงออกมา เหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่มีทางเลือก ก่อนหน้านี้เขายังหวังว่าไป๋เฟิ่งหวงจะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเยียนเป่ยหง แต่ตอนนี้โดนเปิดโปงแล้ว สูญเสียหมากในการเจรจาต่อรองไปแล้ว ถึงอย่างไรเฮยทั่นก็ยังอยู่ในมืออีกฝ่าย จึงกัดฟันถามว่า “ข้าจะเชื่อได้ยังไงว่าหลังจากจบเรื่องเจ้าจะไม่กลับคำพูด?”
ไป๋เฟิ่งหวง “ก็อย่างที่เจ้าบอก ถ้าเกิดความเคลื่อนไหวขึ้น ต่อให้ข้าสามารถหนีไปจากที่นี่ได้ แต่ก็รอดพ้นจากอาณาเขตดาวนี้ไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ข้าไม่จำเป็นต้องหาเรื่องให้ตัวเอง และครั้งนี้ข้าก็ร่ำรวยมากด้วย เพียงพอให้ใช้ชีวิตอิสระเสรีได้อีกนาน ไม่อาศัยของเล็กน้อยของเจ้าหรอก หนิวโหย่วเต๋อ ทุกคนล้วนมีความต้องการของตัวเอง หลังจากจบเรื่องก็ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกัน ตกลงมั้ย?”
เหมียวอี้ทำหน้าตึง ขณะที่จ้องมองนาง ในใจก็เรียกได้ว่าเดือดดาลมาก พบว่าผู้หญิงคนนี้ใจกล้าไม่เบาจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าบุกเข้ามาขู่ตนในค่ายทหารของกองทัพองครักษ์! แต่สุดท้ายเขาก็ยังพยายามพูดออกมาว่า “ได้! ตกลงตามนี้!”
ไป๋เฟิ่งหวงพลิกฝ่ามือเก็บเยียนเป่ยหง แล้วเดินตรงไปข้างหน้าเหมียวอี้ “เร็วๆ หน่อย อย่าชักช้า อย่าเล่นตุกติกอะไรด้วย!”
เหมียวอี้ยกมือขึ้นและใช้นิ้วทั้งห้าคว้า ร่ายอิทธิฤทธิ์เล็งเพลิงจิตในหัวใจของนาง แล้วโคจรเคล็ดวิชาอัคนีดารา
“เอื้อ…” ไป๋เฟิ่งหวงขมวดคิ้ว เปล่งเสียงทางจมูกออกมาเบาๆ
สำหรับนาง บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้นางกลุ้มใจมาหลายปี แต่สำหรับเหมียวอี้ เป็นเรื่องที่ง่ายจนแทบไม่ต้องออกแรง เพลิงจิตล่องหนที่เฝ้าอยู่ในห้องหัวใจของนางวับวาบอยู่พักหนึ่ง มันไร้รูปร่างโดยสิ้นเชิงแล้ว นางรู้สึกได้ว่ามีสิ่งของประหลาดสองอย่างแทรกซึมออกมาจากห้องหัวใจของนาง แล้วก็ซึมออกมาจากหน้าอก หมอกแสงสีฟ้าแดงที่เกิดจากจุดสองกลุ่มจำนวนนับไม่ถ้วนถูกดูดเข้าไปรวมในขยุ้มมือของเหมียวอี้ แทรกซึมเข้ามาในฝ่ามือของเหมียวอี้ หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผ่านไปครู่เดียว เหมียวอี้ก็โบกฝ่ามือ เอามือสองข้างไขว้หลัง แล้วจ้องนางอย่าเย็นเยียบ “ถึงคราวที่เจ้าจะต้องรักษาสัญญาแล้ว”
ไป๋เฟิ่งหวงตรวจดูภายในของตัวเอง บนใบหน้าฉายแววดีใจไม่หยุด ในที่สุดสิ่งที่ทำให้ตนกลุ้มใจมาหลายปีก็ถูกกำจัดไปแล้ว ถึงแม้ค่ายกลเล็กในห้องหัวใจจะยังอยู่ แต่มันก็ทำอะไรนางไม่ได้แล้ว นางร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดได้โดยตรง
ก่อนหน้านี้สาเหตุที่ไม่กล้ากำจัดค่ายกลเล็ก ก็เป็นเพราะนางไม่มีความสามารถนั้น ทั้งยังไม่กล้าทำลายด้วย กลับต้องอาศัยวรยุทธ์ของตัวเองเพื่อปล่อยพลังงานมารักษาค่ายกลเล็กให้คงอยู่ด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นถ้าไม่มีอะไรมาควบคุมเปลวเพลิงล่องหน มันก็จะคร่าชีวิตนางทันที ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว นางย่อมกำจัดมันได้ภายในครั้งเดียว
เมื่อรักษาโรคที่คาอยู่ในใจได้แล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก โบกมือโยนกำไลเก็บสมบัติและกระเป๋าสัตว์ไว้บนโต๊ะยาว “เจ้านับเอาเอง ข้าไม่ได้เอาของอะไรไปเลย ทั้งหมดอยู่ที่นี่ เพียงพอที่จะรักษาสัญญาแล้วใช่มั้ย?”
เหมียวอี้จะเชื่อตามที่นางพูดได้อย่างไร เขารีบหยิบของขึ้นมาตรวจดูทีละชิ้น หลังจากยืนยันให้แน่ใจแล้วว่าเยียนเป่ยหงกับเฮยทั่นไม่เป็นอะไร เขาถึงได้นับทรัพย์สินของตัวเอง บนตัวเขาก็พอจะมีของอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่รู้จำนวนชัดเจน คงไม่ไปจดจำของเบ็ดเตล็ดพวกนั้น แต่ของที่สำคัญก็ไม่ได้หายไปจริงๆ ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับของอย่างอื่น เดาว่าอีกฝ่ายก็คงไม่เล่นตุกติกกับของจำนวนเล็กน้อยเช่นกัน
“ถ้าจำนวนของไม่ผิดพลาด ข้าก็จะไปก่อนแล้ว ตั้งแต่นี้ไปทุกคนต่างคนต่างไป ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก” ไป๋เฟิ่งหวงสะบัดมือ แล้วเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นชายชรา หันตัวแล้วเดินออกไปเลย เหมือนจะอยากหนีห่างจากเหมียวอี้ไวๆ ไม่อยากพัวพันอะไรกับเหมียวอี้อีก
และด้วยเหตุนี้เอง เหมียวอี้ที่เก็บของแล้วเห็นนางบทจะไปก็ไป จึงถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “เจ้าไม่กลัวว่าตอนหลังข้าจะกลับคำเหรอ?”
ไป๋เฟิ่งหวงหยุดฝีเท้า แล้วหันมากล่าวด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง “นี่เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่? ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่าประมุขชิงยังไม่รู้ว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของเจ้าคืออะไร ไม่อย่างนั้นคนแรกที่จะโดนฆ่าก็คือเจ้านั่นแหละ เจ้านี่ก็น่าสนใจเหมือนกันนะ ตามหลักแล้วก็ต้องคอยหลบประมุขชิงสิถึงจะถูก ยังกล้ามาทำงานอยู่ใต้หนังตาจองประมุขชิงอีก ช่างเถอะ ไม่เกี่ยวกับข้า เจ้าเดินตามทางของเจ้า ข้าจะเดินตามทางของข้า คิดเสียว่าเจ้ากับข้าไม่เคยเจอกันมาก่อน”
ก่อนหน้านี้นางยังไม่กล้ายืนยันเรื่องบางอย่าง แต่ตอนนี้เหมียวอี้แก้ไขปัญหาที่อยู่ในหัวใจนางได้แล้ว ทำให้นางแน่ใจแล้ว
“ใครเป็นคนลงพันธนาการนี้ไว้บนตัวเจ้า?” เหมียวอี้ถาม
“เจ้าลองเดาสิ?” ไป๋เฟิ่งหวงเมือปิดปากหัวเราะ นางไม่พูดอะไรเช่นกัน กลัวว่าโยงไปถึงบัญชีเก่า นางหันตัวไปแล้วทำท่าเป็นชายชราที่มีท่าทางจริงจัง เดินจากไปอย่างไม่แยแส เหมือนจะอารมณ์ดีพอสมคว
เหมียวอี้มองดูนางคล้อยหลังจากไปพร้อมครุ่นคิดเงียบๆ แววตาวูบไหวไม่หยุดนิ่ง
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกับตอนนที่ไป๋เฟิ่งหวง ‘ลืมบัญชีเก่า’ …
ปราสาทดำเนินเซียน ในตำหนักเมฆาล่องลอย ชายชราผมสีเงินคลุมร่างกายราวกับชุดผ้าไหมเก็บระฆังดาราในมือ จู่ๆ ผมสีเงินก็ปลิวสะบัดเองโดยไร้ลม ประตูตำหนักที่ปิดสนิทพลันเปิดเองโดยอัตโนมัติ ทั้งตัวหายเข้าไปในตำหนักแล้ว เขาเข้าไปในดาราจักรด้วยความเร็วที่ตาเปล่าสังเกตเห็นได้ยาก เงาร่างถลันวูบเข้าไปในจุดลึกของดาราจักร…
หลังจากนั้นครึ่งวัน ตรงประตูดวงดาวสีดำมืดที่กำลังหมุนวน สตรีวัยกลางคนชุดดำคนหนึ่งถลันเข้าไปโดยไม่อาศัยพลังจากวัตถุภายนอก
ในท้องฟ้าอีกผืนหนึ่ง หลังจากเงาร่างถูกพ่นออกมา สตรีชุดดำก็มองไปรอบๆ ขณะที่หันกลับมามองข้างหลังตัวเอง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างขึ้นหลายส่วน ทั้งร่างนิ่งชะงัก
ชายชราคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมตัวใหญ่โคร่งสีขาวดุจหิมะกำลังลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ ผมสีขาวเงินยาวมากจนปกคลุมร่างกายเอาไว้ครึ่งหนึ่งแล้ว ผมปลิวสะบัดอยู่กลางอากาศ คิ้วเข้มสองข้างมีสีขาวดุจหิมะ ตรงหว่างคิ้วมีลายเมฆสีทอง ใบหน้าที่เจือด้วยรอยเหี่ยวย่นดูเยือกเย็นสุขุม ภายใต้ริมฝีปากหนาอิ่มมีเคราสีขาวที่ยาวห้อยลงมาถึงหน้าอก
…………………………