ตอนที่ 2023 เมืองเซวี่ยยา

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

หลายชั่วยามให้หลัง หานลี่ก็ลอยอยู่บนท้องฟ้า เห็นเมืองเซวี่ยยาที่อยู่ไกลออกไปรางๆ พลางพูดเสียงเบากับตัวเอง

“นี่หรือคือเมืองเซวี่ยยา ท่าทางดูไม่ใหญ่จริงๆ”

“เหอะๆ เมืองแม้ไม่ใหญ่ แต่กลับสร้างจากหินในบริเวณใกล้เคียงที่มีสายแร่ผลึกแสงโลหิตอยู่ ว่ากันว่ามีประสิทธิภาพบางอย่างในการสลายอาคม ถ้าใช้อาคมจู่โจมโดยตรง จะถูกกลืนกินพลังไปบางส่วน” บรรพชนตระกูลหล่งที่อยู่ข้างๆ กลับพูดพลางยิ้มบางๆ

“เช่นนี้เมืองนี้ก็พอที่จะต้านอสูรหางผีเสื้อไว้ได้ เราช่างเฉียบแหลมเสียนี่กระไรที่เลือกพักที่นี่” สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกยิ้มหวาน

“ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าผนึกความทรงจำของมารทั้งสอง ก็ได้ตรวจสอบคร่าวๆ ไปในตัว พบว่าแม้พื้นที่เล็กๆ แห่งนี้มีคลื่นอสูรหลายชนิดหลั่งไหลมาเป็นประจำ แต่การจู่โจมเมืองเซวี่ยยากลับเกิดขึ้นน้อยมาก เห็นทีเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็น แต่เมืองนี้ก็ไม่ได้วางเขตต้องห้ามอะไรที่ทำลายมุกปลอมตัวเป็นมารได้จริงๆ อีกสักพัก ตอนเราเข้าไปในเมือง ขอเพียงเก็บขั้นบำเพ็ญเพียรให้อยู่ในระดับหลอมสุญตา อย่าทำตัวให้เป็นจุดสนใจก็พอ” บรรพชนตระกูลหล่งพูดกับกลุ่มคนโดยไม่ต้องคิด

ทุกคนต่างพยักหน้า ไม่มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

และแล้วบรรพชนตระกูลหล่งพลันสะบัดแขนเสื้อ ไอมารคุกรุ่นลอยออกจากร่าง ม้วนกลุ่มคนไว้ แล้วตรงดิ่งไปยังเมืองเซวี่ยยาที่อยู่ไกลออกไปพร้อมเสียงดังหวีดหวิว

ผ่านไปพักใหญ่ พอไอมารสลาย หานลี่และคนอื่นๆ ก็มายืนอยู่หน้าประตูเมืองสีดำสนิทบานหนึ่ง

นอกประตูเมือง ทหารมารรักษาการณ์ในชุดเกราะรบสีเขียวสามสี่สิบคนกำลังมองสำรวจกลุ่มคนอย่างระแวดระวังยิ่ง

แต่หลังจากบรรพชนตระกูลหล่งแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง ปล่อยพลังปราณมหาศาลในระดับหลอมสุญตาออกมา ทหารมารรักษาการณ์ที่ส่วนใหญ่อยู่ในระดับก่อกำเนิดเหล่านี้ก็หน้าเปลี่ยนสี เปลี่ยนมามีท่าทีเกรงกลัวทันที

มารที่อยู่ในระดับเทพแปลงท่าทางคล้ายหัวหน้าคนหนึ่งรีบก้าวออกมาทำความเคารพเป็นคนแรก หลังจากถามอย่างระมัดระวังไม่กี่ประโยค ก็รีบโบกมือให้ทหารรักษาการณ์เปิดประตูเมือง ให้พวกหานลี่เดินอาดๆ เข้าไป

จะอย่างไรสำหรับเมืองเล็กๆ ขนาดนี้ ระดับหลอมสุญตานับได้ว่าเป็นการดำรงอยู่ที่มิอาจล่วงเกินแล้ว แต่เพราะเกี่ยวเนื่องกับกฎอัยการศึก ทหารรักษาการณ์เหล่านี้จึงต้องสอบปากคำนิดหน่อย

ถ้าเป็นยามปกติที่มีชนเผ่ามารผสมปนเปกันเข้าออกเมืองเซวี่ยยา เกรงว่ากระทั่งขั้นตอนสอบปากคำนี้ก็ไม่มีทางเกิดขึ้น

ทว่าพริบตาที่เข้าเมืองมา ดวงตาสีน้ำเงินของหานลี่ก็ทอประกายเล็กๆ กวาดตามองเขตอาคมลวดลายมารที่สลักอยู่บนประตูใหญ่สีดำสนิท แต่ใบหน้ามิได้แสดงท่าทีใดๆ แม้แต่น้อย

เขตต้องห้ามของที่อื่นไม่รู้ แต่ที่อยู่นอกประตูเมืองกลับธรรมดามาก จึงไม่มีอะไรให้ต้องระวัง

พอเข้าสู่ใจกลางเมือง ก็เห็นอาคารสูงต่ำแตกต่างกันเป็นแถวๆ ทันที แต่ส่วนใหญ่มีสีดำและสีแดงเป็นหลัก มีบ้างไม่กี่อาคารที่เป็นสีอื่น ซึ่งพอเห็นก็รู้ว่าเป็นอาคารก่อสร้างชั่วคราว

ทว่าถนนแต่ละสายเพียงพอที่จะให้รถอสูรวิ่งเรียงกันทีเดียวสามคัน และมีถนนกากบาทปรากฏอยู่ระหว่างอาคารแต่ละแถว

โดยรวมแล้ว เห็นชัดว่าเมืองนี้ไม่ใหญ่เท่าเมืองในแดนวิญญาณที่มีประชากรร้อยล้านคนในความหมายทั่วไป แม้บอกว่าเป็นเมืองเล็กๆ แต่ถ้าดูดีๆ ก็คือเมืองซึ่งมีกำแพงล้อมรอบที่ใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย ลักษณะเป็นเมืองที่มีประชาการมารอยู่อาศัยไม่เกินห้าหกล้านเท่านั้น

แต่กลับเป็นเมืองที่มีเขตห้ามบิน โดยนอกจากทหารลาดตระเวนที่ได้รับการยกเว้นแล้ว ก็ไม่มีมารที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเหาะอยู่บนท้องฟ้าเลย

หลังจากพวกหานลี่เดินมาได้ระยะหนึ่ง ก็พบว่าเมืองเซวี่ยยาแห่งนี้พูดไม่ได้ว่าแออัดยัดเยียด แต่ตอนนี้พอจะเรียกได้ว่าคึกคักแล้ว

บนท้องถนนมีมารลักษณะแตกต่างกันเดินไปมาขวักไขว่ ในนั้นมีทั้งมารที่มีหน้าตาน่ากลัวแบบอสูรมาร และมีทั้งมารที่หน้าตาแบบเดียวกันกับมนุษย์เปี๊ยบ

ส่วนอาคารทั้งสองฟากถนน แปดถึงเก้าในสิบส่วนเป็นร้านค้าหลายหลายประเภท กับอาคารทั่วไปที่มีลักษณะคล้ายโรงเตี๊ยม โดยมีมารมากมายเข้าๆ ออกๆ อาคารเหล่านี้ด้วยท่าทางเร่งรีบเป็นครั้งคราว

ซึ่งขั้นบำเพ็ญเพียรของพวกเขาไม่อ่อนด้อยเลย ส่วนใหญ่อยู่ในระดับก่อกำเนิดกับระดับหลอมรวมเป็นหลัก อยู่ในระดับเทพแปลงเป็นส่วนน้อย ส่วนระดับหลอมสุญตานั้น เดินมาระยะหนึ่งเพิ่งบังเอิญพบเจอสองสามรายและล้วนอยู่ในขั้นต้น

หลังจากพวกหานลี่เดินมาได้พักใหญ่ ก็เห็นภูเขาหินลูกเล็กๆ สูงหลายร้อยจั้งลูกหนึ่งอยู่ไกลออกไปตรงมุมหนึ่งของเมือง

เชิงเขามีอาคารสีเทาขาวคล้ายเจดีย์หินตั้งอยู่เป็นจุดๆ ล้อมภูเขาลูกเล็กไว้กว่าครึ่งชนิดน้ำก็ยังไหลผ่านไม่ได้ โดยระหว่างเจดีย์เหล่านี้ จะเห็นเงาตะคุ่มๆ ของมารยอดฝีมือในชุดเกราะรบจำนวนหนึ่งเดินลาดตระเวนไปมา

บนไหล่เขา มีตำหนักหินสีดำแดงทั้งหลังอยู่หลังหนึ่ง คิดว่าตรงนั้นน่าจะเป็นที่ที่จอมมารนาม ‘ปิ่งเชียนเริ่น’ พำผู้บำเพ็ญเพียร

หานลี่มองตำหนักหินสีดำแดงหลังนั้นจากระยะไกล พลางหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยกำลังคิดอะไรอยู่

ขณะเดียวกัน บรรพชนตระกูลหล่งที่อยู่หน้าสุด จู่ๆ ก็หยุดเดินที่ข้างสี่แยกแห่งหนึ่ง ก่อนหันมาพูดกับทุกคน

“เราแยกย้ายกันตรงนี้แหละ เหอะๆ คิดว่าสหายส่วนใหญ่ชอบทำอะไรตัวคนเดียว รอให้อสูรหางผีเสื้อไปกันหมดแล้ว ค่อยมารวมตัวกันที่นี่ใหม่ อย่างไรเมืองนี้ไม่ได้ใหญ่โต ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ก็ง่ายที่จะติดต่อหากัน”

“ดีเหมือนกัน เมื่อครู่ข้าเห็นของบางอย่างที่น่าสนใจเข้าแล้วจริงๆ งั้นก็ขอตัวก่อนนะ” ผิดคาดอยู่บ้าง สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกกลับเป็นคนแรกที่เห็นด้วย จึงหัวเราะคิกๆ ก่อนพูด

จากนั้นนางก็คารวะกลุ่มคนพอเป็นพิธี แล้วเดินไปยังทางที่จากมาอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย

สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวกับกลุ่มสหายหันมาสบตากัน ค่อยหันมากล่าวลาและจากไปอย่างไม่มีท่าทีใดๆ

จากท่าทางของพวกเขา ดูเหมือนได้ตัดสินใจเคลื่อนไหวร่วมกันแล้ว

“พี่หล่ง เช่นนั้นผู้แซ่หานก็ขอลาเช่นกัน” หลังจากหานลี่ประสานมือให้บรรพชนหล่ง ก็กล่าวลาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

“พี่หาน โชคดี!” บรรพชนหล่งมิอาจละเลย ตอบกลับตามมารยาท

หลังจากหานลี่ผงกศีรษะ ก็หันกาย กลับเดินไปยังถนนสายหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ

บรรพชนหล่งยืนมองตามอยู่กับที่ จนร่างของหานลี่สั่นไหวแล้วหายไปตรงปากทางของถนนอีกสายหนึ่ง เขาจึงค่อยๆ เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าขึ้น แล้วหันมาพูดกับชายผมยาวสกุลหลินเบาๆ

“สหายหลิน เรื่องความร่วมมือที่ข้าพูดถึงก่อนหน้านี้ เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้พอจะให้คำตอบกับข้าได้หรือยัง”

“พี่หล่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ข้าต้องใช้เวลาไตร่ตรองอีกสักระยะ” ชายผมยาวเป็นคนสุดท้ายที่ยังไม่ได้จากไป พอได้ยินคำถาม ม่านตาก็หดลงเล็กน้อย ก่อนตอบอย่างลังเลใจอยู่บ้าง

“อืม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กจริงๆ มิน่าพี่หลินถึงต้องรอบคอบเช่นนี้ แต่ไม่เป็นไร การเดินทางครั้งนี้อย่างไรก็อีกยาวไกล พี่หลินยังค่อยๆ ไตร่ตรองไปได้อีกหลายวัน” บรรพชนหล่งกลับไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย จึงตอบพลางยิ้ม

“เช่นนั้นผู้แซ่หลินก็ต้องขอบคุณพี่หล่งแล้ว” ชายผมยาวขยับท่าที แต่ปากกลับพูดอย่างเกรงใจออกมา

จากนั้นผู้อาวุโสสูงสุดของสกุลหลินท่านนี้ก็พูดคุยกับบรรพชนตระกูลหล่งไม่กี่ประโยค ค่อยจากไปเช่นกัน

“พี่หล่ง จากท่าทีของคนผู้นี้ เกรงว่าอาจไม่ตอบรับคำเชิญของเรา หรือจะเปลี่ยนเป้าหมาย ลองหยั่งเชิงสกุลเยี่ยดู อย่างไรตามแผนเดิม คนสกุลเยี่ยดูจะเหมาะกับแผนของเรามากกว่า” คนชุดดำที่ติดตามข้างกายบรรพชนตระกูลหล่งและไม่พูดจามาตลอด พลันพูดอย่างเย็นชาออกมา

“สกุลเยี่ยไม่ได้! นางระแวงสกุลหล่งเรามากจนเกินไป และเหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ไม่มีทางตอบรับหรอก กลับง่ายที่จะแพร่งพรายเรื่องต่างๆ มากขึ้น!” บรรพชนหล่งส่ายศีรษะโดยไม่ลังเล

“แต่เห็นชัดว่าคนแซ่หลินคบเราเพียงผิวเผิน ข้าเกรงว่าต่อให้ภายหลังเขารับปาก ก็เป็นไปได้กว่าครึ่งที่จะไม่มีความจริงใจในการร่วมมือกับเรา” ผู้อาวุโสฮุยยังคงพูดพลางขมวดคิ้ว

“หึๆ ขอเพียงเขารับปาก ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เขากลับคำแล้ว เอาล่ะ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่คุย เรื่องนี้ค่อยว่ากันวันหลัง เราไปดูๆ ร้านขายวัตถุดิบในเมืองกันก่อน ดูสิว่ามีวัตถุดิบที่เราต้องการไหม” ใบหน้าบรรพชนตระกูลหล่งปรากฏรอยยิ้มแปลกๆ ขึ้นวาบ แล้วจึงโบกมือไปมาก่อนพูด

“ร้านขายวัตถุดิบเป็นที่แรกที่เราควรไปหาจริงๆ คิดว่าคนอื่นๆ กว่าครึ่งก็ต้องไปสถานที่ทำนองนี้ เราสองคนเปลี่ยนไปอีกทางดีกว่า จะได้ไม่พบเจอพวกเขา” ชายชุดดำเห็นด้วย

“ข้าก็กำลังคิดเช่นนี้ เราไปกันเถอะ!”

หลังจากบรรพชนตระกูลหล่งหัวเราะเบาๆ ก็เดินไปข้างหน้าพร้อมชายชุดดำต่อ

…..

กลุ่มสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวกับชนเผ่าวิญญาณกำลังเดินช้าๆ บนถนนอีกสาย พลางแอบคุยอะไรบางอย่างกันอย่างรวดเร็ว

“สภาพของจื่อสุ่ยไม่ค่อยจะดี ผนึกของเขาคลายลงบ้างแล้ว ต้องรีบหาสถานที่ร่ายอาคมใหม่อีกรอบถึงจะได้” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวแอบส่งเสียงบอกอย่างเคร่งเครียด

“ไม่ใช่กระมัง คราวก่อนที่วางเขตต้องห้ามไว้เพิ่งไม่นานมานี้เองมิใช่หรือ กดไม่อยู่เร็วขนาดนี้ได้อย่างไรกัน” เงาคนในแสงสีขาวกลับถามเสียงขรึม

“อันนี้ก็ไม่ชัดเจนนัก แต่กว่าครึ่งสืบเนื่องมาจากตอนนี้เราอยู่ในแดนมาร ผู้อาวุโสไป๋น่าจะรู้ว่า ต้นกำเนิดของชิ้นนั้นเกี่ยวข้องกับแดนมารมาแต่ไหนแต่ไร คล้ายไอมารขนาดมหึมาในแดนมารกระตุ้นมันได้ไม่น้อย จึงทำให้เกิดสภาวะผนึกคลายตัว” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบ

“จื่อสุ่ยจะเกิดปัญหาไม่ได้เป็นอันขาด เขาเป็นไพ่เด็ดของเรา รีบหาที่พักสักแห่งก่อน ให้พวกเราสองสามคนคอยคุ้มกัน แล้วเจ้ารีบเพิ่มความแข็งแกร่งให้ผนึก” เงาคนในแสงสีขาวพูดเสียงเย็นโดยไม่ต้องคิด

“อืม ข้าก็คิดเช่นนี้”

สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวพยักหน้า แล้วรีบพากลุ่มคนเดินไปอีกสักพัก ก็เลี้ยวเข้าซอยที่อยู่ข้างหน้าซอยหนึ่ง

ท้ายซอยกลับมีอาคารสูงใหญ่ลักษณะคล้ายโรงเตี๊ยมอยู่หลังหนึ่ง มารท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทางกลุ่มหนึ่ง กำลังเดินอาดๆ เข้าไป

…..

ในร้านค้าสีแดงเข้มของชนเผ่ามารร้านหนึ่ง สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกกำลังรับหินแร่สีเขียวปลอดที่ไม่รู้จักชื่อก้อนหนึ่ง จากมือของมารผิวขาวซีดตนหนึ่ง

นางปล่อยให้มารที่อยู่ตรงหน้าพูดอะไรบางอย่างแบบน้ำไหลไฟดับ หลังจากใช้จิตสัมผัสสำรวจหินแร่ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาอย่างอดไม่ได้

…..

ขณะเดียวกัน หานลี่กลับเดินอยู่ในถนนแคบๆ สายหนึ่ง ซึ่งมีแผงลอยน้อยใหญ่ต่างๆ นานาเรียงรายกันอยู่แน่นขนัดทั้งสองข้างทาง

โดยทุกๆ แผงลอยล้วนมีมารรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันยืนหรือนั่งอยู่กับแผง

แต่ถนนที่วุ่นวายสายนี้ กลับมีมารซึ่งมีพลังปราณไม่อ่อนด้อยมากมายเดินไปมาหน้าแผงลอยไม่หยุด

บางครั้งยังมีคนโต้เถียงอะไรบางอย่างกับเจ้าของแผงลอยเหล่านี้อย่างดุเดือดเลือดพล่าน

หานลี่มองดูภาพที่ค่อนข้างคุ้นเคยตรงหน้า กลับยกมุมปาก ปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้น