สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้เขาง่ายต่อการรำลึกถึงความทรงจำอันหลากหลายตอนเข้าออกตลาดกลางในแดนมนุษย์

จากประสบการณ์ของหานลี่ แม้ของส่วนใหญ่ที่วางขายอยู่บนแผงลอยเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุดิบกับเครื่องมืออาคมระดับล่าง แต่ก็พอจะมีของหายากปรากฏอยู่ในนั้นบ้าง

อย่างไรก็ใช่ว่ามารทุกตน จะยอมขายของกระทั่งอาวุธอาคมให้ร้านรวงเหล่านั้นในราคาถูกๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายใต้สถานการณ์ที่มารเป็นจำนวนมากต้องมาพักอยู่ในเมือง ย่อมมีชาวเมืองไม่น้อยที่ฉวยโอกาสนำของหายากที่ตนเก็บสะสมไว้จำนวนหนึ่งออกมาขาย โดยหวังว่าจะขายได้ในราคาสูง

หานลี่เดินช้าๆ อยู่บนถนน พลางปล่อยจิตสัมผัสสำรวจแผงลอยสองข้างทางอย่างรวดเร็ว

วัตถุดิบกับเครื่องมืออาคมบนแผงลอยเหล่านี้ มีหลายอย่างคล้ายคลึงกับของที่สร้างในแดนวิญญาณ แต่ก็มีไม่น้อยที่เดิมทีควรแฝงไปด้วยไอวิญญาณมหาศาล กลับเปลี่ยนเป็นไอมารอันบริสุทธิ์สุดๆ ไป

แน่นอน วัตถุดิบที่แฝงไอวิญญาณบริสุทธ์ ย่อมมีอยู่จำนวนหนึ่ง แต่เห็นชัดว่ามีจำนวนน้อยกว่าวัตถุดิบที่มีไอมารอยู่มาก

และวัตถุดิบเหล่านี้ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของหานลี่เลย ด้วยจิตใจส่วนใหญ่ของเขา เพ่งเล็งไปยังของประหลาดพิลึกกึกกือ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเหล่านั้น

ของเหล่านี้ต่างหาก ควรเป็นวัตถุดิบที่มีเฉพาะในแดนมาร

ส่วนของวิเศษประเภทเครื่องมืออาคมเหล่านั้น เขาแค่ใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านๆ เท่านั้น

ด้วยวิสัยทัศน์ของเขาในตอนนี้ ของวิเศษชั้นยอดตามความหมายทั่วไปมิได้อยู่ในสายตาของเขาแล้ว ส่วนเครื่องมืออาคมสมบัติวิญญาณ โอกาสที่จะปรากฏในสถานที่เช่นนี้ ย่อมมีน้อยมากจนแทบไม่มีเลย

หานลี่ไม่คิดจะเสียจิตสัมผัสไปกับของดังกล่าวมากจนเกินไป

ถนนสายนี้ไม่ได้ยาวมาก แผงลอยตลอดทั้งสองฝั่งมีไม่เกินสองสามร้อยแผง

เขาจึงใช้เวลาเพียงอาหารหนึ่งมื้อ แผงลอยก็ผ่านตาไปแล้วกว่าครึ่ง แต่ของที่ดึงดูดความสนใจของเขาได้กลับมีน้อยมาก

ต่อให้มีอยู่สองสามอย่างที่ทำให้เขาหยุดฝีเท้าและหยิบขึ้นมาลองด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ยังคงส่ายศีรษะแล้ววางกลับคืน

มารที่วางแผงขายของเหล่านี้ แม้มีหน้าตาดุร้าย แต่พอสัมผัสได้ว่าหานลี่บำเพ็ญเพียรในระดับหลอมสุญตากลับตื่นตกใจ แต่ละคนจึงยิ้มรับอย่างเต็มที่ ไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมาแม้แต่น้อย

หานลี่เดินไปข้างหน้าช้าๆ ในใจรู้สึกผิดหวังเล็กๆ ขึ้นมา

เมื่อครู่แม้เขาพบเจอวัตถุดิบสองสามชนิดที่ไม่มีในแดนวิญญาณ แต่สำหรับการดำรงอยู่ในระดับเขาแล้ว กลับไม่มีประโยชน์อะไรมาก

และขณะคิดในใจว่า ควรจะไปจากถนนสายนี้ ไปดูร้านรวงขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ สักสองสามร้านดีหรือไม่นั้น แผงลอยแผงหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า กลับเปล่งพลังปราณที่ไม่อ่อนด้อยสายหนึ่งออกมา พร้อมเสียงตะโกนอย่างขุ่นเคือง

“ของชิ้นนั้น ข้าเอาแน่ นี่เป็นศิลามารที่ตอนแรกเจ้าอยากได้ ส่งของชิ้นนั้นมาเร็ว”

“อย่ามามั่ว ข้าก็บอกแล้วอย่างไรว่า ของชิ้นนี้ตอนนี้ราคาขึ้นแล้ว ถ้าอยากได้ ของที่เอามาแลก นอกจากอาวุธอาคมชั้นยอดชิ้นหนึ่ง หรือศิลามารชั้นเยี่ยมสิบก้อน มิฉะนั้นก็ เลิกคิดได้เลย!” เสียงหนักแน่นเป็นพิเศษเสียงหนึ่ง ตอบกลับอย่างเย็นชา

“เมื่อวานข้าก็จ่ายค่ามัดจำไปแล้ว กว่าจะรวบรวมจำนวนศิลาให้ได้ตามที่เจ้าต้องการก็ไม่ง่าย วันนี้มาขึ้นราคาข้า คิดล้อข้าเล่นหรือไร!” เสียงแรกที่ได้ยินเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดขึ้น ท่าทางไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี

“หึๆ ของเป็นของข้า ข้าคิดจะตั้งราคาเท่าไหร่ ขายเมื่อไร ย่อมแล้วแต่ข้า นี่ เงินมัดจำที่เจ้าให้ไว้เมื่อวาน รีบเอาคืนไปเสีย ถ้าไม่มีศิลามารชั้นเยี่ยม หรืออาวุธอาคมชั้นยอด ก็ไสหัวไปไกลๆ” เสียงหนักแน่นหัวเราะเย็นชาออกมาคำหนึ่ง คำพูดที่พูดออกมาก็หยาบคาย

“ผายลม เจ้าไม่เคยได้ยินสิว่าผู้แซ่หนิวเป็นคนอย่างไร ให้คนล้อเล่นได้ง่ายๆ รึ ของชิ้นนั้น ถ้าวันนี้ไม่ขายให้ข้า ข้าจะหักกระดูกเจ้าทั้งหมดเป็นท่อนๆ” ชายคนแรกไม่ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด ขณะโกรธจัด คำพูดก็เปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมสุดจะเปรียบ

“หักกระดูกข้า? ฮ่าๆ คำพูดนี้ข้าก็ไม่ได้ยินมาหลายปีแล้ว ถ้าเจ้าทำได้ ก็ลองดูสักตั้ง!” เสียงหนักแน่นไม่ใส่ใจแต่อย่างใด กลับหัวเราะเยาะ แล้วตอกกลับ

ขณะเดียวกัน พลังปราณกดวิญญาณที่ไม่ด้อยไปกว่าก่อนหน้านี้อีกสาย ก็พุ่งขึ้นมาจากนอกแผงลอย

ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ ย่อมดึงดูดเหล่ามารที่อยู่ใกล้ๆ ให้ทยอยกันมองมา แถมมีมารกล้าตายจำนวนหนึ่งเกิดสนใจ วิ่งเข้ามาดูด้วย

“เอ๋ นี่ไม่ใช่ไห่เฟยเผ่าหมูน้ำเงิน กับหนิวลี่เผ่ากีบดำหรอกหรือ ทำไมพวกเขาถึงสู้กันเล่า!”

“หึๆ มีหนังดีให้ดูแล้วล่ะ สองคนนี้ระดับบำเพ็ญเพียรไม่อ่อนด้อย ถ้าลงมือกันขึ้นมา ก็พูดยากจริงๆ ว่าใครแพ้ใครชนะ!”

…..

เสียงพูดคุยเบาๆ ที่รายรอบ ทยอยกันดังขึ้น

มารสองตนนี้ ท่าทางเหมือนเป็นที่รู้จักในเมืองเซวี่ยยาไม่น้อย ด้วยมารที่อยู่ใกล้ๆ ส่วนใหญ่รู้จักทั้งสองดี

ดวงตาสีน้ำเงินของหานลี่ทอประกายเล็กน้อยขณะกวาดมองสถานการณ์โดยรวมตรงหน้าแผงลอย

มารกว่าสิบตนกำลังล้อมวงมุงดูคู่กรณีตรงกลาง โดยมารผู้มีเขาโค้งหลายเขาบนศีรษะ สูงสามจั้ง หน้าตาดุร้าย เต็มไปด้วยความโกรธ กำลังงัดข้อกับเจ้าของแผงไม่เลิก

ส่วนเจ้าของแผงกลับเป็นมารรูปร่างอ้วนเตี้ย ตาโปน ผิวสีน้ำเงินเข้มตนหนึ่ง

ซึ่งพลังปราณสองสายก่อนหน้านี้ ก็เปล่งออกมาจากร่างของทั้งสอง คลับคล้ายล้วนบำเพ็ญเพียรในระดับเทพแปลง แต่คนหนึ่งอยู่ขั้นกลาง อีกคนหนึ่งอยู่ขั้นต้น

มารสูงใหญ่แม้อยู่ในขั้นที่ต่ำกว่าเล็กน้อย แต่ดูจากร่างกายที่กำยำแข็งแรง กลับเหมือนฝึกถึงขั้นที่ค่อนข้างสำคัญอยู่ ถ้าลงมือกันขึ้นมาจริงๆ ก็พูดยากว่าใครจะเป็นผู้ได้เปรียบ

แน่นอน มารระดับเทพแปลงกิ๊กก๊อกสองตนนี้ ย่อมดึงดูดความสนใจของหานลี่ไม่ได้มาก หลังจากสายตาจิตสัมผัสกวาดไปบนร่างของทั้งสองคร่าวๆ ก็ตัดสินใจเก็บกลับไม่สนใจอีก

แต่พอสายตากวาดผ่านของสิ่งหนึ่งที่เจ้าของแผงกำแน่นอยู่ในมือ กลับรู้สึกเอะใจ พลันก้าวเท้าไปที่ฝูงชน

ร่างของหานลี่เพียงกะพริบไม่กี่ครั้ง ก็แทรกเข้ามายืนในกลุ่มมารได้อย่างไร้สุ้มเสียง พลางจ้องมองของในมือมารอ้วนเตี้ยตาไม่กะพริบ

ของสิ่งนี้คือหินแร่ประหลาดสีดำขาวก้อนหนึ่ง ขนาดเท่ากำปั้น แต่กะพริบแสงใสเย็นไม่หยุด

หลังจากใช้จิตสัมผัสสำรวจของสิ่งนี้เงียบๆ ม่านตาของหานลี่พลันหดลง ใบหน้ามีความยินดีวาบ

ขณะนั้น ท่ามกลางมารตนอื่นๆ ที่กำลังมุงดูความคึกคัก มารทั้งสองไม่เพียงแต่ใช้วาจาโต้ตอบกันอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ร่างก็ยังเปล่งพลังปราณอีก เพิ่มความแตกตื่นขึ้นมา

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ที่สุดแล้วทั้งสองกลับมิได้ลงมือกันจริงๆ

“หึๆ ข้าว่าทั้งสองท่านอย่าทะเลาะกันต่อเลย ก็แค่โลหะประหลาดก้อนหนึ่งเท่านั้น หรือสหายทั้งสองท่านยังคิดจริงๆ ว่าจะสู้กันด้วยอาคมให้ตายกันไปข้างเพราะสิ่งนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ชีวิตของท่านทั้งสองก็ดูจะไร้ค่าเกินไปหน่อย” มารที่ยืนดูอยู่ ดูเหมือนจะจำมารทั้งสองได้พร้อมกัน จึงรีบตักเตือนพลางยิ้มน้อยๆ

“พี่ถานนี่เอง ใช่ว่าข้าจงใจขึ้นราคาไม่ขาย แต่โลหะประหลาดที่แฝงไอมารประหลาดก้อนนี้ค่อนข้างพิเศษ เป็นวัตถุดิบเหนือวัตถุดิบแบบเดียวกัน เมื่อวานข้าเปิดราคาค่อนข้างต่ำไปจริงๆ หาไม่แล้วทำไมเขาถึงอยากได้ไม่เลิก วัตถุดิบชนิดนี้แม้หายาก แต่ร้านอื่นๆ ใช่ว่าจะไม่มีของเช่นนี้ขาย” มารอ้วนเตี้ยมีท่าทีอ่อนลง แต่หลังจากประสานมือพอเป็นพิธีให้ผู้ตักเตือน กลับไม่มีทีท่าว่าจะถอยให้

“ผายลม ถ้ามิใช่เห็นว่าโลหะประหลาดของเจ้าก้อนนี้ดีกว่าหน่อย ข้าจะจ่ายเงินมัดจำก่อน และพูดคำเดียวว่าจะนำศิลามารชั้นเยี่ยมสิบก้อนมาแลกหรือ เห็นชัดว่าเจ้าเห็นข้าร้อนใจอยากได้ จึงจงใจขึ้นราคา เรื่องไม่รักษาคำพูดเช่นนี้ มีก็แต่ชนเผ่าหมูน้ำเงินอย่างพวกเจ้านี่ล่ะที่ทำได้” พอมารสูงใหญ่ได้ยิน กลับพูดอย่างเดือดดาลทันที

“เจ้าริอ่านดูหมิ่นเผ่าหมูน้ำเงินข้า งั้นก็ทิ้งแขนข้างหนึ่งไว้ก่อนแล้วกัน” มารอ้วนเตี้ยใบหน้าแดงก่ำ พูดพร้อมแววตาคลุ้มคลั่ง

แล้วเขาก็สะบัดแขนเสื้อ แสงเย็นยะเยียบสายหนึ่งดีดออก พุ่งเข้าไปตัดแขนข้างหนึ่งของมารสูงใหญ่อย่างรวดเร็วดุจฟ้าแลบ!

มารสูงใหญ่กลับระวังตัวแต่แรก จึงแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง แล้วพลิกฝ่ามือ โล่สีขาวด้านหนึ่งพลันโผล่ขึ้นตรงหน้าอย่างไร้สุ้มเสียง

ขณะเห็นแสงเย็นยะเยียบวาบ กำลังจะตัดถึงตัวโล่ เงาคนสายหนึ่งก็สั่นไหว กลับปรากฏขึ้นตรงหน้ามารสูงใหญ่อย่างประหลาด พอขยับแขน นิ้วทั้งห้าของฝ่ามือสีทองก็คว้าจับแสงเย็นยะเยียบสายนั้นไว้

“หรือท่านทั้งสองคิดจริงๆ ว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่กองปราบของเมืองแตกตื่นให้ได้ โลหะประหลาดก้อนนี้ ข้าก็ค่อนข้างสนใจ เอามาให้ดูหน่อยสิ”

เงาร่างนี้กลับเป็นหานลี่ เขาในตอนนี้ได้ปล่อยพลังปราณอันแข็งแกร่งของระดับหลอมสุญตาออกมา พอมารที่อยู่ใกล้ๆ สัมผัสได้ ก็ทยอยกันหน้าเปลี่ยนสี

“ผู้อาวุโส ความหมายของท่านคือ…” มารสูงใหญ่อึ้ง แต่ก็อยากพูดอะไรอีก ด้วยไม่ยินยอมอยู่บ้าง

“ทำไม เจ้าคิดแย่งโลหะมารก้อนนี้กับข้าหรือ” หานลี่พูดขึ้นเรียบๆ โดยมิได้หันมอง แต่แรงกดวิญญาณบนร่างม้วนตัว กดหนักๆ ลงไปบนร่างมารสูงใหญ่

เสียงดัง ‘ตึง ตึง’ สองที

มารเผ่ากีบดำถูกบีบจนถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงแบบเดียวกับตับหมู ตื่นตกใจจนพูดคำว่า “มิกล้า” ติดต่อกันออกมา แล้วรีบหันกายจากไปอย่างเศร้าสร้อย

ส่วนมารตนอื่นๆ ที่มุงดูความคึกคักอยู่ พอถูกสายตาอันคมกริบของหานลี่กวาดมองมา ก็สะดุ้งและแยกย้ายกันออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง ไม่กล้ายืนทำอะไรอยู่ที่เดิมอีก

“ผู้อาวุโสก็ต้องการโลหะมารก้อนนี้หรือ ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงราคาเดิม ศิลามารสิบก้อน เอาไปได้เลย” พอมารอ้วนเตี้ยเห็นดังนี้ ความดุดันบนใบหน้าได้หายไปแต่แรกแล้ว ในใจรู้สึกขมขื่น จึงได้แต่ฝืนยิ้ม นำของในมือมอบให้อย่างเจี๋ยมเจี้ยม

“เฮอะ เจ้ากลัวอะไร ถ้าเป็นของที่ข้าใช้ได้จริง มีหรือจะไม่ให้ราคาที่น่าพอใจกับเจ้า” หานลี่กลับแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง แล้วแขนเสื้อข้างหนึ่งก็ม้วน ดูดก้อนโลหะสีดำขาวก้อนนั้นเข้าไปในมือ ก้มลงตรวจตราดู

“มิกล้า ผู้น้อยมิกล้าคิดเป็นอันขาด!” มารอ้วนเตี้ยเบาใจลงเล็กน้อย แต่ยังคงแสดงสีหน้าเออออตาม ไม่กล้าพูดอะไรมาก

ทำอย่างไรได้ จากการสำแดงเดชอันน่ากลัวของหานลี่เมื่อครู่ ถ้าคิดฆ่าเขา ย่อมเป็นเรื่องง่ายดุจพลิกฝ่ามือ ถึงเขายอมตัดใจ ไม่เอาโลหะประหลาด ก็ไม่คิดล่วงเกินผู้แข็งแกร่งระดับหลอมสุญตาคนหนึ่งอย่างแน่นอน

ขณะนั้น หานลี่มิได้มองมารอ้วนเตี้ยอีกแม้แต่น้อย เอาแต่พลิกหินแร่สีดำขาวในมือก้อนนั้นไปมา ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่นอกจากประกายตาเล็กน้อยแล้ว ใบหน้ากลับไม่มีท่าทีใดๆ

ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชาเต็มๆ หานลี่ก็เงยหน้าขึ้น แสงสีเขียวในมือวาบ หินแร่พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย กลับมีกระบี่สีดำเล่มเล็กเพิ่มขึ้นมาแทน เขายกมือโยนให้มารอ้วนเตี้ยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนพูดเสียงเย็นชา

“อย่าหาว่าข้าใช้พลังกลั่นแกล้งคนเชียว กระบี่บินเล่มนี้นับเป็นอาวุธอาคมชั้นยอดชิ้นหนึ่งเหมือนกัน ใช้แลกเปลี่ยนกับโลหะประหลาดก้อนนี้ถือว่ามากเกินพอแล้ว แต่ต้องบอกข้าว่า โลหะมารนี้เจ้าได้แต่ใดมา”