บทที่ 452.2 ข้ามสะพาน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ได้ยินว่าที่นี่มีร้านค้าตระกูลเซียนเปิดอยู่ไม่น้อย และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เฉินผิงอันแวะมาที่นี่ ในเมื่อผ่านทางมาแล้วก็เลยบอกให้เจิงเย่และหม่าตู่อี๋นำของวิเศษสารพัดรูปแบบหลายสิบชิ้นที่เก็บตกมาเอาไปขาย ดูว่าจะขายได้ราคาดีหรือไม่ เงินเทพเซียนทั้งหมดที่ได้มาล้วนเป็นของพวกเขา ส่วนหลังจบเรื่องจะแบ่ง ‘ทรัพย์สิน’ กันอย่างไร เฉินผิงอันไม่สนใจ ปล่อยให้เจิงเย่และหม่าตู่อี๋ปรึกษากันเอง แต่คาดว่าเจิงเย่คงต้องเสียเปรียบนิดหน่อยอย่างแน่นอน ด้วยสติปัญญาเฉียบแหลมที่ในสมองดีดรางลูกคิดน้อยๆ อยู่ตลอดเวลาของหม่าตู่อี๋นั้น ต่อให้มีสามเจิงเย่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง

เฉินผิงอันคิดว่าวันใดหากตนจะเปิดร้านทำการค้า หม่าตู่อี๋น่าจะเป็นผู้ช่วยที่ไม่เลว

มาถึงภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ริมด้านนอกติดอาณาเขตของภูเขาหูลั่ว เฉินผิงอันถึงได้ค้นพบว่ามีชาวบ้านลี้ภัยจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันสร้างตลาดแห่งหนึ่งที่ลักษณะเข้าท่าเข้าที ผู้คนจอแจคับคั่ง บนเส้นทางยังมีงานบุกเบิกที่ดินอีกหลายจุด บรรยากาศคึกคักเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น นอกจากชายฉกรรจ์ที่ร่างกายค่อนข้างแข็งแรงแล้ว ยังมีเด็ก สตรีและคนชราจำนวนไม่น้อยที่สามารถมีชีวิตรอดจนกระทั่งมาถึงภูเขาหูลั่ว ซึ่งพวกเขาต่างก็กำลังช่วยกันออกแรง จุดที่ทำให้เฉินผิงอันประหลาดใจมากที่สุดก็คือ มีศาลบู๊แห่งหนึ่งของแคว้นสือหาวที่ถูกสร้างจนเสร็จสิ้นแล้ว แม้ว่าจะเป็นการสร้างแบบหยาบๆ แต่ก็น่าจะสอดคล้องตรงกับกฎระเบียบของราชสำนัก ไม่บกพร่องแม้แต่จุดเดียว นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนส่วนหนึ่งที่กำลังง่วนทำงานสร้างค่ายกลปกป้องภูเขาอยู่เช่นกัน

นี่น่าจะเป็นเค้าโครงรูปร่างช่วงแรกเริ่มสุดของท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งหรือไม่ก็สำนักบนภูเขาแห่งหนึ่ง

ผู้ฝึกตนสองคนเห็นพวกเฉินผิงอันสามคนจูงม้าเดินมา เผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าสามคน สายตาของพวกเขาต่างก็แฝงแววระแวดระวัง ครั้นจึงแอบติดต่อกันอย่างลับๆ ผู้ฝึกตนในสำนักเดียวกันจากสี่ด้านแปดทิศจึงพากันมารวมตัวโอบล้อมสร้างความหวาดเกรงให้แก่คนต่างถิ่นกลุ่มนี้

ตอนนี้เฉินผิงอันไม่ได้ห้อยป้ายหยกผู้ถวายงานของเกาะชิงเสียแล้ว สำหรับเรื่องนี้เขาเองก็จนใจ หลังจากถามทางกับผู้ฝึกตนคนหนึ่งในนั้นแล้วก็บอกอีกฝ่ายว่าต้องการไปเยือนภูเขาอันเป็นที่ตั้งของศาลบรรพจารย์ภูเขาหูลั่ว

กลุ่มผู้ฝึกตนสำนักเดียวกันที่มีผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตถ้ำสถิตเป็นผู้นำชี้บอกทางให้ จนกระทั่งพวกเฉินผิงอันสามคนออกไปจากตลาดแล้ว พวกเขาถึงได้ระบายลมหายใจโล่งอกแล้วเริ่มหันมายุ่งอยู่กับการสร้างค่ายกลภูเขาแม่น้ำกันต่ออีกครั้ง

ช่วยไม่ได้ พวกเขาเป็นแค่สำนักปลายแถว ต่อให้เพื่อหลีกหนีหายนะจึงต้องย้ายมาอยู่ภูเขาหูลั่ว แต่เมื่อเทียบกับจวนตระกูลเซียนอื่นๆ ที่มีทรัพย์สินมากมายแล้ว พวกเขากลับไม่อาจรวบรวมเงินเทพเซียนออกมาได้มากนัก จึงได้แต่ถูกทางศาลบรรพจารย์ของภูเขาหูลั่วโยนให้มาอยู่ที่นี่ มาทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลเฝ้าหน้าประตูใหญ่ภูเขาทางทิศตะวันออกของแถบเทือกเขาหูลั่ว ขอแค่มีปัญหาเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีรู้สึกว่าภูเขาหูลั่วขวางหูขวางตา บุกเข้ามาเข่นฆ่า พวกเขาก็ย่อมต้องเป็นคนกลุ่มแรกที่เจอกับพิบัติภัย แต่กระนั้นก็ได้แค่ฝืนใจเป็นโล่ต้านหายนะให้ภูเขาหูลั่วเท่านั้น

ไม่ว่าการบุกเบิกก่อตั้ง การเจริญรุ่งเรืองหรือการสืบทอดของสำนักบนภูเขาแห่งใดก็ตามล้วนต้องเจอกับความลำบากยากแค้น อันตรายและการถูกหมิ่นเกียรติอยู่เสมอ

เพียงแต่ว่าเมื่อผู้ฝึกตนผู้เฒ่าที่มีตบะขอบเขตถ้ำสถิตซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งใน ‘บรรพจารย์’ ของสำนักผู้นั้นมายืนอยู่บนแท่นสูง สายตาของเขาก็ไปหยุดนิ่งอยู่บนร่างของเด็กลี้ภัยคนหนึ่งที่กำลังช่วยเช็ดเหงื่อให้พ่อแม่ ผู้ฝึกตนเฒ่าจึงเผยรอยยิ้มอย่างถูกใจ คือต้นกล้าที่ดีต้นหนึ่ง ทางศาลบรรพจารย์ของภูเขาหูลั่วรู้ตัวช้ากว่า จึงคิดจะใช้เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ รวมไปถึงภูเขาอีกลูกหนึ่งที่มีรัศมีสิบกว่าลี้มาแลกกับการที่ให้เด็กคนนี้อยู่ในสำมะโนครัวของสำนักบนภูเขา เพียงแต่ว่าถูกเขาคัดค้านอย่างหนัก ปฏิเสธความหวังดีจากภูเขาหูลั่ว และคิดจะรับเด็กคนนี้มาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเสียเอง ไม่แน่ว่าอีกหกสิบปีหรืออีกร้อยปีให้หลัง ในสำนักของตนก็อาจจะมีผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน หรือแม้แต่การได้เป็นขอบเขตชมมหาสมุทรเหมือนกับบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักในประวัติศาสตร์ผู้นั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน พอคิดถึงเรื่องนี้ ผู้ฝึกตนเฒ่าก็ให้รู้สึกปลาบปลื้มใจ แม้ว่าช่วงแรกเริ่มเหล่าพี่น้องในศาลบรรพจารย์ของตนจะทะเลาะโต้เถียงกันอย่างรุนแรง เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาหนึ่งลูกที่ได้มาเปล่าๆ ก็ล้วนมีความหมายที่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อปฏิเสธข้อเสนอของศาลบรรพจารย์ภูเขาหูลั่วไปอย่างจริงจังแล้ว ทุกคนก็หันมาร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่ง แม้แต่ศิษย์น้องเล็กที่ขี้เหนียวที่สุดของเขาก็ตัดสินใจแล้วว่า วันที่เด็กคนนั้นทำพิธีกราบอาจารย์เข้าสำนัก จะนำของวิเศษชิ้นหนึ่งที่เก็บรักษามานานมอบให้กับศิษย์หลานของตัวเอง

หลังจากเฉินผิงอันออกมาจากตลาดแล้วก็พลันหันกลับไปมองด้านหลัง แล้วถามว่า “พวกเจ้ามองอะไรออกหรือไม่?”

เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ต่างรู้สึกประหลาดใจ

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอก ข้าอาจจะแค่ตาฝาดไปเอง”

หม่าตู่อี๋เอ่ยสัพยอก “ท่านเฉิน พูดจาแค่ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ดีกระมัง”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “วันหน้ารอให้พวกเจ้าต้องรับผิดชอบหน้าที่เพียงลำพังก็จะรู้เองว่าพูดอย่างครึ่งๆ กลางๆ คือวิชาความรู้ยิ่งใหญ่วิชาหนึ่งที่คู่ควรแก่การศึกษาให้ดีๆ”

หม่าตู่อี๋จุ๊ปากพูด “ความสามารถในการเปลี่ยนวิธีมาโอ้อวดตัวเองของท่านเฉิน นับวันก็ยิ่งเชี่ยวชาญขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

เฉินผิงอันที่อยู่บนหลังม้าหันมากุมหมัดให้ “ชมเกินไปแล้วๆ”

หม่าตู่อี๋หัวเราะอย่างฉุนๆ “ท่านเฉิน หากท่านยังทำแบบนี้อีกก็จะไม่ใช่ท่านเฉินในใจของข้าอีกต่อไปแล้วนะ!”

เจิงเย่ส่ายหน้า “ใช่เสียเมื่อไหร่ๆ”

เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ยังคงเข้าข้างท่านเฉินมากกว่า

ผลกลับถูกหม่าตู่อี๋สะบัดชายแขนเสื้อตบโดนใบหน้าจนใบหน้าแสบร้อนไปหมด

เจิงเย่กล่าวอย่างมีโทสะ “วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ”

คราวนี้เป็นหม่าตู่อี๋บ้างที่โคลงศีรษะ “มีเพียงสตรีและคนถ่อยเท่านั้นที่อบรมได้ยาก อริยะพูดเอง หลักการแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ประโยคนี้ไม่ได้หมายความเช่นนี้ แต่หากเจ้ายินดีจะพูดแดกดันตัวเองแบบนี้ ข้าก็คิดว่าไม่มีปัญหา”

พูดคุยพลางหยอกล้อกันไปตลอดทาง จนกระทั่งม้าทั้งสามตัวมาถึงประตูภูเขาของภูเขาหูลั่วที่แท้จริง

เมื่อเทียบกับภูเขาตระกูลเซียนสองแห่งที่ผ่านทางมาก่อนหน้านี้ สถานที่แห่งนี้มีบรรยากาศที่เคร่งขรึมจริงจังกว่ามาก เมื่อเทียบกับภูเขาหวงหลีแล้ว ปราณวิญญาณยังเหนือกว่าหลายส่วน

ตรงตีนเขามีเมืองเล็กที่เงียบสงบซึ่งสร้างติดภูเขาอิงสายน้ำอยู่แห่งหนึ่ง หรือควรจะเรียกว่าเป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างใหญ่ ดูจากสิ่งปลูกสร้างแล้วน่าจะมีคนอยู่อาศัยพันกว่าคน

เรียกได้ว่ามีลักษณะของบนภูเขา ไม่เหมือนโลกมนุษย์ นานวันเข้าก็กลายเป็นดั่งหอเรือนกลางอากาศ เป็นดั่งสายน้ำที่ไร้ต้นตอ

เพียงแต่ว่าเซียนซือบนภูเขาหลายคนที่ยังไม่เคยขึ้นไปถึงยอดเขาคร้านจะคิดหรือควรจะพูดว่าดูแคลนจะคิดเช่นนี้ก็เท่านั้น

เดินเข้าไปในหมู่บ้านตรงตีนเขา แล้วจึงขึ้นไปบนภูเขา จะต้องผ่านลำคลองสายหนึ่ง เหนือลำคลองไม่ได้มีสะพานหินโค้ง แต่เป็นสะพานที่เหมือนงูตัวเล็กบอบบางทอดตัวนอนขวางอยู่เหนือลำคลองอย่างสงบ บนแผ่นหลังของ ‘มัน’ มีชาวบ้านคนหนึ่งจูงควายเดินมา น่าจะเพราะต้องการไปทำไร่ทำนาในบริเวณใกล้เคียง ด้านหลังชายฉกรรจ์และควายตัวนั้นยังมีเด็กอีกคนที่ขี่ไม้ไผ่สี่เขียวลำหนึ่ง ปากก็ร้อง ‘ย๊าๆๆ’ คล้ายกำลังขี่ม้า

เฉินผิงอันจึงจูงม้าให้หยุดเดินก่อน เปิดทางให้ชาวบ้านและควายที่มีเขาโค้งงอตัวนั้นเดินผ่าน

หลังจากชาวบ้านและควายเดินลงมาจากสะพานเล็ก ก็เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนความรู้กว้างไกล จึงไม่ได้มองประเมินคนต่างถิ่นทั้งสามคนนี้สักเท่าไหร่ กลับเป็นเด็กขี่ม้าไม้ไผ่คนนั้นที่พอได้เห็นม้าตัวจริงก็เกิดสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่ง เฉินผิงอันยิ้มให้เด็กคนนั้น เด็กชายก็ส่งยิ้มกลับมาอย่างเขินอาย แล้วจึงเดินตามบิดากับควายตัวนั้นไปต่ออีกครั้ง

เจิงเย่รู้สึกว่าน่าสนใจ

บนภูเขาหูลั่วที่มีไอเมฆหมอกล้อมเวียนวนมักจะมีแสงกระบี่ แสงสายรุ้งพุ่งผ่านขอบฟ้าอยู่เสมอ

แต่เด็กน้อยกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านี้สักนิด กลับเกิดความอยากรู้อยากเห็นต่อม้าที่อยู่ข้างกายพวกเขามากกว่า เด็กที่ขี่ม้าไม้ไผ่คนนั้นจึงคอยหันกลับมามองเป็นระยะ

เฉินผิงอันจูงม้าเดินไปบนสะพานหินเล็กเตี้ยที่สูงกว่าลำคลองไม่มากนัก

เดินไปได้ครึ่งทาง อีกฝั่งหนึ่งก็มีชาวบ้านที่ต้องการเดินข้ามมาฝั่งตรงข้ามยืนรออย่างสงบ

พอเดินลงมาจากสะพานหินแล้ว เฉินผิงอันจึงผงกศีรษะแสดงการขอบคุณพวกเขา พวกชาวบ้านก็พยักหน้ากลับคืน

เจิงเย่ทำท่าครุ่นคิด

หม่าตู่อี๋ก็เป็นเช่นเดียวกัน

และเวลานี้เอง เฉินผิงอันพลันหันกลับไปมองม่านฟ้า

ขณะเดียวกันกล่องไม้เนินกระบี่ขนาดเล็กและแผ่นหยกผู้ถวายงานเกาะชิงเสียต่างก็ร้อนลวกขึ้นมาในเวลาเดียวกัน

สำหรับเรื่องนี้หลิวจื้อเม่าไม่ได้ปิดบังมาตั้งแต่แรก เขาบอกอย่างชัดเจนว่าเขาสามารถอาศัยพวกมันมาติดตามร่องรอยของเฉินผิงอันได้

เฉินผิงอันจึงไม่ได้ประหลาดใจ

สายรุ้งสีขาวหิมะเส้นหนึ่งที่เกิดจากผู้ฝึกตนคนหนึ่งทะยานลมมาอย่างรวดเร็วแหวกอากาศมาจากนอกภูเขาหูลั่ว แล้วกระแทกลงบนพื้นอย่างรุนแรง

คือผู้ฝึกตนผู้เฒ่าคนหนึ่งของเกาะชิงเสียที่มีสีหน้าร้อนรน ลมปราณวุ่นวาย เขาก็คือจางเย่ผู้ดูแลคลังลับและห้องตกปลา

การเดินทางขึ้นเหนืออย่างลับๆ ครั้งนี้แทบจะเผาผลาญปราณวิญญาณที่เก็บสะสมอยู่ในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตหลายแห่งของจางเย่ไปจนหมด นี่คือการกระทำอันมุทะลุที่ส่งผลเสียต่อรากฐานมหามรรคา เมื่อเทียบกับการควบม้าเร็วแปดร้อยลี้เพื่อส่งข่าวด่วนแล้ว ม้าต้องได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน และยังต้องผลัดเปลี่ยนม้าที่ขี่ตัวแล้วตัวเล่าเพราะม้าเหนื่อยจนตาย นี่ก็คือหลักการเดียวกัน

แรกเริ่มเจิงเย่มีใบหน้าปิติยินดี เพราะถึงอย่างไรจางเย่ก็ถือเป็นผู้มีพระคุณที่กระชากเขาออกมาจากหลุมไฟหลุมใหญ่อย่างเกาะเหมาเยว่ด้วยมือตัวเอง เพียงแต่พอเด็กหนุ่มเห็นสีหน้าของจางเย่แล้วก็หุบปากทันที

เฉินผิงอันเอามือโอบประคองจางเย่ที่ร่างโอนเอน ถามเบาๆ ว่า “เกิดเรื่องขึ้นที่ทะเลสาบซูเจี่ยนงั้นหรือ?”

จางเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ฟ้าเปลี่ยนแล้ว!”

เฉินผิงอันถอนหายใจ สำหรับการเกิดขึ้นของสถานการณ์นี้ อันที่จริงเขาคาดการณ์ไว้นานแล้ว เพียงแต่ว่าเนื่องจากสถานการณ์ไม่ได้ย่ำแย่จนถึงขีดสุด เฉินผิงอันจึงไม่ได้เตรียมการรับมือไว้มากนัก และในความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่สามารถวางแผนกระทำการใดๆ ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีได้มากนัก

ถึงอย่างไรคนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่เรี่ยวแรงหมดลง

นี่เป็นเรื่องที่เดาได้ง่ายมาก หากไม่ใช่ซูเกาซานแม่ทัพหลักต้าหลีเป็นผู้ลงมือ ก็ต้องเป็นคนผู้นั้นที่อยู่เบื้องหลังหลิวเหล่าเฉิงบนเกาะกงหลิ่วที่เริ่มทำตามแผนการ

หรือไม่ทั้งสองฝ่ายก็อาจจะร่วมมือกันเสียเลย

ถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่ทรยศหันไปเข้าข้างข้าศึก ทอดทิ้งพันธมิตรก็เพราะหวังจะรักษาตัวรอด ส่วนหลิวจื้อเม่าก็ตัดใจทิ้งรากฐานกิจการในเกาะชิงเสียไม่ลง ก็เลยถูกเล่นงาน พาตัวไปตกอยู่ในอันตราย นี่ก็เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก

แต่สำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้แล้ว นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

เดิมทีทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในทะเลสาบซูเจี่ยน เฉินผิงอันพอจะคลำเจอเส้นสายแล้ว กระดานหมากที่วางแผนไว้อย่างยากลำบากกระดานนั้น ไม่แน่ว่าอาจถูกผู้เล่นที่มาที่หลังคว่ำกระดานได้ง่ายๆ

จางเย่ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าดังตุ้บ “ขอร้องท่านเฉินโปรดช่วยท่านเจ้าเกาะด้วย!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า ถามตามตรงว่า “กู้ช่านและมารดาของเขาถูกผู้อาวุโสจางนำไปกักขังอย่างลับๆ แล้วใช่หรือไม่?”

จางเย่ที่คุกเข่าไม่ยอมลุกเงยหน้าขึ้น “เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน เกาะชิงเสียทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ ต่อให้ทำได้ ข้าก็ไม่มีทางทำเช่นนั้น เพราะข้ารู้ว่านี่มีแต่จะได้ผลในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ช่วยท่านเจ้าเกาะได้ก็มีเพียงท่านเฉินเท่านั้น”

เฉินผิงอันประคองจางเย่ให้ลุกขึ้นแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ผู้อาวุโสจางลุกขึ้นมาพูดกันเถอะ ข้าขอลองฟังดูก่อน แต่จะให้ไปช่วยหลิวจื้อเม่า ความเป็นไปได้นี้แทบไม่มีเลย เชื่อว่าอันที่จริงระหว่างที่ผู้อาวุโสเดินทางมาก็คงรู้อยู่แล้ว ดังนั้นการเดินทางมาครั้งนี้ก็แค่พยายามทำให้สุดความสามารถ และสุดท้ายก็ต้องอยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น”

จางเย่พยักหน้ารับเบาๆ ได้แต่ยิ้มฝาดเฝื่อน สายตายังแฝงไว้ด้วยความซาบซึ้งใจส่วนหนึ่ง

แต่เฉินผิงอันกลับปวดหัวเป็นกำลัง

อยู่ต่อหน้าจางเย่ คำพูดบางอย่างก็เหมือนที่เขาล้อเล่นกับหม่าตู่อี๋ก่อนหน้านี้ พูดแค่ครึ่งๆ กลางๆ มองทะลุแต่ไม่เปิดโปง

จางเย่ย่อมต้องทำอย่างสุดความสามารถของตัวเอง แต่ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าตัวจางเย่เองก็รู้ชัดเจนดีว่า ร่องรอยการเดินทางของตนได้ตกอยู่ในสายตาของคนมีใจบางคน และไม่แน่ว่าคนผู้นั้นก็อาจจะอยู่มุมใดมุมหนึ่งของภูเขาหูลั่วแล้วกำลังหลุบตาลงต่ำมองมาตรงนี้

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่ได้ซ้ำเติมด้วยการต่อยเขาให้ตายในหมัดเดียว

อันที่จริงนี่ก็ถือว่ามีคุณธรรมมากแล้ว

เฉินผิงอันกล่าว “พวกเราพูดคุยกันพลางเดินไปด้วย”

จางเย่ทำจิตใจให้สงบ และประโยคแรกที่เขาเอ่ยก็ทำให้ทะเลสาบในหัวใจของหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่ที่กำลังเงี่ยหูรอฟังเกิดสั่นสะเทือนได้ทันที “ท่านเจ้าเกาะของพวกเราสู้ผู้ฝึกตนบางคนที่สถานะไม่ชัดเจนไม่ได้ ตอนนี้ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและถูกจับขังไว้ในคุกน้ำของเกาะกงหลิ่ว ไม่เพียงเท่านี้ ซูเกาซานแม่ทัพหลักของกองทัพม้าเหล็กต้าหลียังไปเยือนนครอวิ๋นโหลวที่อยู่ติดกับทะเลสาบซูเจี่ยนด้วยตัวเอง ป่าวประกาศว่าจะทำให้ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนในทะเลสาบซูเจี่ยนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต้องตายจนหมดสิ้นภายในสิบวัน”

ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวใจของเฉินผิงอันก็คือ ผู้ฝึกตนใหญ่ที่สามารถใช้อำนาจสยบหลิวจื้อเม่าได้นั้น หากไม่ใช่สวี่รั่วจอมยุทธสำนักโม่ ก็อาจจะเป็นอริยะหร่วนฉง

—–