บทที่ 453.1 ขี่ม้าลงใต้เพียงลำพัง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

จางเย่ที่เดินทางมาไกลและเฉินผิงอันที่จูงม้าเดินเคียงไหล่กันเลียบลำคลองที่ไหลรินประหนึ่งผ้าแพรต่วนสีเขียวมรกตสายนั้นไป

อาจเป็นเพราะดินแดนสุขาวดีแห่งนี้มีทัศนียภาพที่งดงาม ชวนให้จิตใจของคนสงบผ่อนคลาย หรือบางทีอาจเป็นเพราะข้างกายมีนักบัญชีที่ถือเป็นคนกันเองครึ่งตัว จางเย่ที่เดิมก็เป็นผู้ฝึกตนผู้เฒ่าซึ่งผ่านคลื่นมรสุมมาหลากหลายรูปแบบจึงค่อยๆ สงบจิตสงบใจลงได้ แล้วเริ่มเล่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในทะเลสาบซูเจี่ยนให้เฉินผิงอันฟัง

ที่แท้หลังจากยึดเมืองหลวงแคว้นสือหาวมาได้อย่างไม่เปลืองแรงเป่าฝุ่นแล้ว ซูเกาซานที่ทุกคนดูแคลน หนึ่งในแม่ทัพหลักกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่สายตาจับจ้องอยู่ที่ราชวงศ์จูอิ๋งตลอดเวลาผู้นั้นก็ไม่เพียงแต่ไม่ชักม้าหันหัวกลับ กองทัพม้าเหล็กใต้บังคับบัญชาของเขายังถือโอกาสนี้บุกเข้าไปยังแคว้นใต้อาณัติอีกแห่งหนึ่งของจูอิ๋ง ต่อให้สงครามจะดุเดือดแค่ไหน แต่เขาก็ยังมี ‘อารมณ์ผ่อนคลาย’ มาเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนด้วยตัวเอง อีกทั้งยังเปิดเผยตัวตนอย่างโจ่งแจ้ง ป่าวประกาศว่าจะกวาดล้างทะเลสาบซูเจี่ยนให้ราบคาบ ผู้ที่เชื่อฟังรุ่งเรือง ผู้ที่ต่อต้านต้องตาย เหตุผลง่ายดายเพียงแค่นี้ คำว่าเชื่อฟังและต่อต้านก็ยิ่งตรงไปตรงมา ผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยนที่ยินมอบสมบัติทั้งหมดในสำนักมาให้สามารถมีชีวิตรอดออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนอย่าง ‘ตัวเปล่าเล่าเปลือย’ ได้ ผู้ฝึกตนอิสระที่ยินดีมอบสมบัติให้กึ่งครึ่ง ในขณะเดียวกันก็กลายมาเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองระดับขั้นต่ำที่สุดของต้าหลี ร่วมมือกับต้าหลีโจมตีราชวงศ์จูอิ๋งจะสามารถอยู่ต่อในทะเลสาบซูเจี่ยนได้ชั่วคราว แต่หลังจากนั้นภูเขาที่พวกเขาอยู่ในปัจจุบันจะตกไปเป็นของใคร จะต้องย้ายสำนักและศาลบรรพจารย์หรือไม่ก็ล้วนต้องคอยฟังคำสั่งจากกองทัพม้าเหล็กต้าหลี

ส่วนทางฝั่งของเกาะกงหลิ่ว ปลายฤดูใบไม้ผลิของปีนี้มีผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่ปิดบังอำพรางตัวตนกลุ่มหนึ่งมาเป็นแขกของบนเกาะ หลังจากที่ซูเกาซานปรากฏตัว ป่าวประกาศข้อเรียกร้องแก่ผู้ฝึกตนหลายหมื่นคนในทะเลสาบซูเจี่ยน ค่ำคืนนั้นเอง ภายใต้การนำของหลิวเหล่าเฉิง พวกเขาก็ร่วมมือกันกระโจนเข้าใส่เกาะชิงเสียอย่างไม่มีลางบอกเหตุ หลังจากที่หลิวเหล่าเฉิงทำลายค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำของเกาะชิงเสียได้แล้ว ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งในนั้นก็ร่ายวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน เพียงแค่โจมตีอย่างเต็มแรงครั้งเดียวก็แทบจะทำลายจวนเหิงโปทั้งหลังให้พังภินท์ หลังจากนั้นผู้ฝึกตนที่เฝ้าตอรอกระต่ายผู้นี้ก็ใช้สมบัติอาคมสิบกว่าชิ้นมาสร้างเป็นค่ายกล สกัดจับดักตัวหลิวจื้อเม่าที่พลังการต่อสู้อ่อนด้อยกว่าจึงคิดจะหลบหนีไปเอาไว้ได้ แล้วจับตัวไปขังไว้ที่เกาะกงหลิ่ว จางเย่เห็นท่าไม่ดีก็ไม่ได้พาตัวไปตาย แต่แอบใช้เส้นทางลับใต้น้ำแห่งหนึ่งของเกาะชิงเสียหนีออกมา แล้วรีบร้อนเดินทางมาที่แคว้นสือหาว อาศัยแผ่นหยกผู้ถวายงานแผ่นนั้นมาตามหาตัวเฉินผิงอันจนเจอ

เฉินผิงอันไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว หลังจากฟังจางเย่อธิบายเรื่องทุกอย่างจนจบถึงได้เอ่ยถามว่า “หลิวเหล่าเฉิงมีท่าทีอย่างไร?”

จางเย่ส่ายหน้า “ดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นติดต่อกันในทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนี้ถึงได้รู้ว่า ที่แท้นับตั้งแต่ที่ผู้ฝึกตนซึ่งเป็นเซียนดินแทบทุกคนเริ่มขึ้นเกาะกงหลิ่ว จนกระทั่งจับเจ้าเกาะไปไว้ที่เกาะกงหลิ่ว หลิวเหล่าเฉิงไม่พูดอะไรสักคำ และยิ่งไม่เห็นผู้ฝึกตนของทะเลสาบซูเจี่ยนปรากฎตัวแม้แต่คนเดียว”

จางเย่เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “แม้ข้าจะเกลียดแค้นหลิวเหล่าเฉิงอย่างถึงที่สุด แต่ก็จำต้องยอมรับว่านี่ต่างหากจึงจะเป็นฝีมือที่ผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนคนหนึ่งสมควรมี”

เฉินผิงอันเอ่ย “ผู้ฝึกตนอิสระหลายคนในทะเลสาบซูเจี่ยนเวลานี้น่าจะแอบด่าหลิวเหล่าเฉิงในใจว่าเป็นกบฏของทะเลสาบซูเจี่ยน และเป็นสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งของต้าหลีกระมัง”

จางเย่ยิ้มขมขื่น “เกาะพันกว่าเกาะ ผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคน แต่ละคนแทบจะเอาตัวไม่รอด แล้วก็ขวัญหนีดีฝ่อกันไปเกือบหมดแล้ว คาดว่าตอนนี้แค่พูดถึงหลิวเหล่าเฉิงและซูเกาซานก็หวาดกลัวจนตัวสั่นกันแล้วกระมัง”

แต่แล้วจางเย่ก็ส่ายหน้าเบาๆ “ความกล้าหาญและขวัญกำลังใจที่เหลืออยู่ไม่มากของทะเลสาบซูเจี่ยนนับว่าสูญหายไปหมดสิ้นแล้ว เหมือนกับการร่วมมือกันอย่างจริงใจที่เต็มไปด้วยอันตรายครานั้น ร่วมแรงกันสังหารผู้ฝึกตนก่อกำเนิดและผู้ฝึกตนโอสถทองแล้ว วันหน้าเมื่ออยู่บนโต๊ะสุราก็ไม่มีทางพูดถึงอีก หลิวเหล่าเฉิง โจรหลิวเหล่า! ข้าจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าต้องเป็นผลประโยชน์มากมายแค่ไหนถึงทำให้หลิวเหล่าเฉิงทำเช่นนี้ได้ เขาถึงขนาดยอมขายทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนโดยไม่เสียดาย! สตรีคนเฝ้าประตูของจวนจูเสียน หงซูผู้นั้น ปีนั้นก็เป็นข้าที่ได้รับคำสั่งให้ออกไปตามหานางอยู่ข้างนอก ตามหาอย่างยากลำบากเกือบสิบปีถึงตามหาคนที่เป็นอดีตเจ้าแห่งยุทธภพหญิงคนก่อนมาจุติได้เจอ แล้วพานางกลับมายังเกาะชิงเสีย นี่ถึงทำให้ข้ารู้ว่าหลิวเหล่าเฉิงไม่ได้ไร้น้ำใจไร้ความผูกพันต่อทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างที่คนภายนอกเล่าลือกัน”

สีหน้าของจางเย่ซีดเซียว เขาหยุดเท้าไม่ก้าวเดินต่อ ทรุดตัวลงนั่งข้างลำคลอง วักน้ำขึ้นล้างหน้า สีหน้าในเวลานี้เลื่อนลอย

สถานการณ์ในตอนนี้เมื่อเทียบกับครั้งที่เขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลิวจื้อเม่าในทะเลสาบ สู้จนสุดชีวิตแล้วแต่เกาะแห่งนั้นก็ยังถูกเซียนดินทำลายให้จมลงสู่ก้นทะเลสาบ ก็ดูเหมือนว่าจะทำใหจางเย่กลุ้มใจและจนใจได้มากกว่า

อายุมากแล้ว ความทดท้อทอดอาลัยจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจางเย่เหลือเวลาอีกแค่หกสิบปี ต่อให้คิดจะมอดม้วยกันไปทั้งสองฝ่าย เขาจางเย่ยอมสละตัว แต่คนเขาจะยอมตอบรับหรือไม่? อีกฝ่ายแค่ขยับนิ้วก็สามารถทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่พอจะมีหน้ามีตาในทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างเขาแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงได้แล้ว

เฉินผิงอันจูงม้า ตรงเอวห้อยดาบและกระบี่สลับกัน เอ่ยเรียบๆ ว่า “คนอย่างหลิวเหล่าเฉิง ขอแค่ตัดสินใจว่าจะย้อนกลับคืนมายังทะเลสาบซูเจี่ยนก็ต้องไม่มีสาเหตุเพียงแค่เพราะตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพอย่างแน่นอน ตอนนั้นที่เขาขึ้นเกาะชิงเสียไปกำราบกู้ช่านและทายาทของมังกรที่แท้จริงตัวนั้นก็เป็นแค่การอำพรางตาที่จะมีหรือไม่มีก็ได้เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะมีการลงมือครั้งนั้นหรือไม่ ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนในทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้าก็ได้แต่รอความตาย รอให้คนมาฆ่าแกงเท่านั้น เพราะนอกจากหลิวเหล่าเฉิงแล้วก็แทบจะไม่มีใครที่มองเห็นสถานการณ์ใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปที่ม้วนหอบมาถึง ยังนึกว่าทะเลสาบซูเจี่ยนสามารถวางตัวอยู่นอกเหนือเรื่องราว ไม่แน่อาจจะยังรู้สึกว่าโลกภายนอกวุ่นวายก็ยิ่งดี จะได้จับปลาในน้ำขุ่นได้สะดวก ก็เหมือนสงครามในแคว้นสือหาวครั้งนี้ มีผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยนมากน้อยเท่าไหร่ที่ฉวยโอกาสแทรกซึมมา เชื่อว่าคนมีคนไม่น้อยที่กินอิ่มจนพุงกาง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะได้เงินก้อนใหญ่มาก็ต้องถูกคนอื่นมาริบเอาไป อุตส่าห์สะสมมาอย่างยากลำบากตลอดร้อยปีหรือหลายร้อยปี สุดท้ายกลับไม่รู้เลยว่าเหนื่อยยากเพื่อใครกันแน่”

จางเย่ที่นั่งยองอยู่ริมลำคลองตลอดเวลากล่าวอย่างจนใจ “จะโทษว่าทะเลสาบซูเจี่ยนสายตาไม่ดีอย่างเดียวก็ไม่ได้ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย นอกจากเกาะชิงเสียของพวกเราแล้ว ยังมีเกาะชิงจ่ง เกาะเทียนหมู่ที่เป็นปฏิปักษ์กันซึ่งคิดจะกอดขาใหญ่ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเอาไว้ แต่กระนั้นก็ต้องดูว่าคนเขาเต็มใจยื่นขาออกมาให้หรือไม่ แล้วก็ต้องดูด้วยว่าหิ้วหัวหมูมาแล้วจะเข้าประตูศาลไปได้หรือไม่”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”

จางเย่ลุกขึ้นยืน พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที “แต่หากฉลาดจริงๆ ก็ต้องกล้าเดิมพันครั้งใหญ่ โดยมาที่แคว้นสือหาวเพื่อติดต่อกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีแต่เนิ่นๆ เป็นฝ่ายสวามิภักดิ์ แค่ไปให้แม่ทัพคนใดคนหนึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาก็พอ จากนั้นขอแค่ถูกสายลับของศาลาคลื่นมรกตต้าหลีบันทึกชื่อไว้ ป่านนี้ก็คงรวยไปนานแล้ว วันหน้าเมื่อทะเลสาบซูเจี่ยนแบ่งขั้วอำนาจกันใหม่ คงได้ผลประโยชน์ไม่น้อย นั่นต่างหากถึงจะกินอิ่มจนพุงกาง ได้กำไรมหาศาลอย่างแท้จริง อันที่จริงเกาะชิงเสียของพวกเราก็ทำดีมากแล้ว จะแพ้ก็ตรงที่ไม่เคยได้ติดต่อไปหาซูเกาซาน เอาแต่หยุดอยู่ที่ถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่ บวกกับที่หลิวเหล่าเฉิงยื่นเท้าเข้าแทรก จึงต้องล้มเหลวในก้าวสุดท้าย”

เฉินผิงอันขมวดคิ้วครุ่นคิด เขาเงียบไปนานก่อนจะถามอย่างสงสัย “ผู้อาวุโสจางเหล่า ท่านรู้หรือไม่ว่าเกือบสิบปีมานี้ แจกันสมบัติทวีปมีตระกูลเซียนใหญ่ที่มีอักษรคำว่าจงในสำนักแห่งใดอยากจะย้ายที่ตั้งของสำนัก? ต่อให้เป็นแค่คำกล่าวที่เป็นแค่ข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม เคยได้ยินบ้างหรือไม่?”

จางเย่ส่ายหน้าอย่างห่อเหี่ยว “ไม่เคยเลย ยกตัวอย่างเช่นผู้นำบนภูเขาแห่งแจกันสมบัติทวีปของพวกเราอย่างฉีเหล่าเจ้าสำนักโองการเทพที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นเทียนจวิน ยิ่งใหญ่มุ่นคงดุจขุนเขา อีกทั้งสำนักโองการเทพยังเป็นเทพเซียนลัทธิเต๋าที่ตั้งใจฝึกตนอย่างสงบ ไม่เคยมีวี่แววว่าจะขยับขยายอาณาเขต ก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับเจ้าเกาะ ดูเหมือนว่าสำนักโองการเทพจะเพิ่งรับนักพรตทำเนียบวงศ์ตระกูลกลุ่มหนึ่งมาเพิ่ม นี่เป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก เจ้าเกาะถึงขั้นเดาว่าสำนักโองการเทพขุดเจอถ้ำสวรรค์หรือพื้นที่มงคลแห่งใหม่หรือไม่ ถึงต้องส่งคนเข้าไปข้างใน นอกจากนี้ภูเขาเจินอู่กับศาลลมฟ้า สกุลเจียงอวิ๋นหลิน นครมังกรเฒ่า ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีวี่แววของข่าวลือประเภทนี้”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”

จางเย่จากที่เส้นในจิตใจขมวดขึงตึง มาจนถึงผ่อนคลายอย่างกะทันหัน แล้วก็กลายเป็นเหนื่อยล้าสุดขีด สีหน้าของเขาจึงดูอิดโรย

เพียงแต่พอเห็นใบหน้าของนักบัญชีที่อยู่ข้างกาย จางเย่กลับหัวเราะ ท่านเฉินยังไม่เคยบ่นว่าลำบากเลยแม้แต่น้อย ตนกลับทำท่าอ่อนแอเหมือนสตรี ที่มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีจะไม่เสียเปล่าหรอกหรือ?

จางเย่จึงเล่าถึงบทสนทนาครั้งสุดท้ายระหว่างเขากับหลิวจื้อเม่าในจวนเหิงโป ไม่ใช่ว่าช่วยพูดแต่คำดีๆ ให้แทนหลิวจื้อเม่า แต่ความจริงเป็นเช่นไรก็พูดเช่นนั้น

ผู้เฒ่าของทะเลสาบซูเจี่ยนจากไปคนแล้วคนเล่า คนใหม่แต่ละคนก็โอหังหยิ่งผยองกันมากขึ้นเรื่อยๆ จางเย่ที่ในอดีตถือว่ามีชาติกำเนิดจากเซียนซือตระกูลเซียนที่แท้จริงจึงหาคนที่สามารถพูดคุยด้วยได้ไม่เจอแล้ว คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดยังจะได้มาพบเจอกับ ‘ผู้ฝึกตน’ คนหนึ่งที่แม้จะลงมือทำเรื่องเหนื่อยยาก แต่ก็ยังไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นเหมือนกันกับตน เมื่อลองได้เปิดปากพูดแล้ว คำพูดจึงพรั่งพรูออกมาค่อนข้างมาก พอสังเกตสีหน้าของคนหนุ่มร่างผอมบาง เห็นว่าเขาไม่มีท่าทางหงุดหงิด จางเย่ถึงวางใจลงได้

เฉินผิงอันตั้งใจฟังอย่างอดทนอยู่ตลอด

และในขณะที่จางเย่ไม่มีอะไรให้พูดแล้ว เฉินผิงอันถึงเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “ทางที่ดีที่สุดผู้อาวุโสจางเหล่าอย่ากลับไปที่ทะเลสาบซูเจี่ยนอีกเลย ถึงอย่างไรก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ไม่สู้รอดูการเปลี่ยนแปลงอยู่ห่างๆ จะดีกว่า”

จางเย่ส่ายหน้า กล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “ข้าจะไปที่ไหนได้อีก? เกาะชิงเสียคือบ้านของข้า หากไม่เกิดเรื่องในครั้งนี้ ข้าก็ไม่ถือสาที่จะหาสถานที่หลบร้อนเหมาะๆ บริเวณใกล้เคียงกับทะเลสาบซูเจี่ยน แล้วใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสงบเหมือนพวกอ๋องในโลกมนุษย์”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสจางเหล่า ข้าขอถามนอกเรื่องหน่อย ในสายตาของผู้ฝึกตนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรอย่างพวกท่าน หรือไม่หลิวจื้อเม่าเคยพูดถึงหรือไม่ว่า ยามที่เดินทางผ่านสถานที่แห่งหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง จะสามารถสัมผัสได้ถึงภาพเหตุการณ์ที่ค่อนข้าง…พร่าเลือน?”

จางเย่ส่ายหน้า “เจ้าเกาะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ และอย่างน้อยข้าก็ไม่มีความสามารถเช่นนี้ เกี่ยวกับการมองเห็นการโคจรของโชคชะตาในพื้นที่หนึ่ง คือความสามารถขององค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำ เชื่อว่าต่อให้เป็นเซียนดินก็ยังมองไม่เห็นอย่างชัดเจน ส่วนผู้ฝึกตนใหญ่ที่ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนอย่างเจ้าเกาะจะทำได้หรือไม่ ก็บอกได้ยาก เพราะถึงอย่างไรการมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือก็มองเห็นแค่วัตถุและทัศนียภาพที่เป็นของจับต้องได้จริงเท่านั้น ไม่เกี่ยวพันไปถึงเรื่องโชคชะตาที่เป็นภาพมายาเลื่อนลอย”

เฉินผิงอันลังเลตัดสินใจไม่ได้ ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

จางเย่พลันหัวเราะเสียงดัง “ทำไมหรือ ท่านเฉิน เป็นคนดีก็ยากอย่างนี้เอง ทั้งๆ ที่คิดทำเพื่อคนอื่น ทว่ากลับยังต้องชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวังยิ่งกว่าเรื่องของตัวเองเสียอีก? ท่านเฉิน มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ยังไม่สนิทกันจึงพูดไม่ได้ ส่วนตอนนี้ พวกเราก็ไม่ถือว่าเป็นสหายกัน เพียงแต่พรุ่งนี้จางเย่จะเป็นหรือตายก็ยังบอกได้ยาก จึงไม่ขอเกรงใจท่านแล้ว จะพูดกับท่านเลยล่ะกัน”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสจางเหล่าเชิญพูดมาได้เลย”

จางเย่จ้องมองคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเป็นนานโดยไม่เปิดปากเอ่ยอะไร ก่อนจะส่งเสียงหึหนึ่งทีแล้วเอ่ยว่า “จู่ๆ ก็ไม่มีอะไรให้พูดแล้ว แบบนี้จะทำอย่างไรดี?”

—–