GGS:บทที่ 929 เม็ดประหลาด
ซูจิ้งได้สอนบทสวดสุริยะบัพพาให้กับปีศาจดอกไม้และตั้งชื่อเธอว่าฮัวเหยา
กองขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้ากองนี้เขาได้พบสมบัติมากมายไม่ว่าจะเป็นพระธาตุ หนังแปลงโฉม แมลงงู แมลงตัวรีบ ปีศาจดอกไม้ และของอย่างอื่นอีก
เอาจริงๆเขานั้นยังเจอของอีกหลายอย่างเลยที่น่าสนใจจนเขาในตอนนี้สุขใจแบบสุดๆ ราวกับว่าปลื้มปลิ่มที่ได้เจอสมบัติมากมายอย่างนี้ ถึงแม้เขานั้นจะมีสมบัติดีๆเยอะอยู่แล้วแต่ยังไงซะมีเยอะไว้ก่อนยังไงก็ดีกว่า
เขาบอกได้เลยว่าขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าแห่งนี้เต็มไปด้วยของวิเศษจริงๆ นี่ขนาดยังเหลือขยะอีกตั้งครึ่งกองนะเนี่ย กองที่เหลือเชื่อได้เลยว่าต้องทำให้เขาประหลาดใจได้อย่างแน่นอน
ซูจิ้งได้จัดการขยะฯกองเหล็กอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่เจออะไรที่ดูมีค่าแม้แต่น้อย ต่อจากนั้นเขาก็เลือกที่จะจัดการขยะฯกองหินที่อยู่ใกล้ๆต่อในทันที
หลังจากจัดการไปได้สักพักเขาก็ได้เจอกับอะไรบางอย่างที่มันกลมๆสีออกเงินๆวาวๆ มันมีขนาดพอๆกับพระธาตุที่เจอก่อนหน้านี้เล็กน้อย มันแวววาวจนแทบจะจ้องนานไม่ได้เลย เมื่อเทียบกับหินทั่วไปแล้วมันดูใสเหมือนหยกมากกว่า
ถึงจะบอกว่าหยกนั้นคือหินที่มีคุณภาพดีก็ตาม แต่ยังไงซะมันก็ยังคือหินอยู่วันยันค่ำ การที่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้จะแยกหยกเอาไว้ในหินก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ของอย่างอื่นที่มีลักษณะกายภาพคล้ายกันจะถูกจัดจำแนกเอาไว้ให้อยู่ในจำพวกเดียวกันอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ
อย่างเช่นขยะกองไม้ก็ใช้วิธีการนี้เหมือนกัน ในนั้นจะมีเฉพาะของที่มีลักษณะเป็นไม้หากแยกตามลักษณะยิบย่อยไปด้วยคงได้หลายกองมากๆจนนับไม่ถ้วนเป็นแน่
“หรือว่าเจ้านี่จะเป็นพระธาตุอีกชึ้นหนึ่งกันนะ” หัวใจของซูจิ้งเต้นแรงในทันที ถึงแม้ว่าเจ้าเม็ดนี้จะเล็กกว่าพระธาตุที่เขาเจอไปก่อนหน้านี้ แต่ลักษณะของมันก็แตกต่างกัน
เขาได้รีบให้เสี่ยวไป๋มาซ่อมแซมเจ้าเม็ดสีเงินเม็ดนี้ หลังจากที่ซ่อมเสร็จแล้วนั้นมันไม่ส่องประกายแวววาวแต่อย่างใด แต่ตัวมันนั้นกลับส่องสว่างออกมา แสงนั้นกระจ่างใสและละมุนต่อสายตามากๆ
อย่างไรนั้นตัวมันก็ไม่ได้มีพลังงานไหลเวียนอยู่ แม้แต่พลังภายในที่แท้จริงเองก็ไม่มี มันดูเหมือนหยกธรรมดาไม่ใช่พระธาตุหรือของขลังแต่อย่างใด
ถึงจะว่ามาอย่างนั้นแต่ตัวของมันนั้นมีกลิ่นหอมจางๆ ถึงแม้จะไม่แรงนักแต่ก็ถือได้ว่าเป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกสบายมากๆ ยิ่งดมเข้าไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกสบายถึงขั้นสบายตัวเลยทีเดียวจนทำให้ซูจิ้งแทบจะอดใจไม่ไหวที่กลินกินมันลงไปเลยจริงๆ
“หืม กลิ่นแบบนี้ไม่ใช่ว่ามันคือเป๋าหยู่หรอกเหรอ แต่ยาข้างในนั่นมันคืออะไรกันเนี่ย” ซูจิ้งหรี่ตามอง ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะยังไม่แน่ใจก็ตามแถมเขาเองจะยังไม่เคยเห็นภาชนะบรรจุน้ำยาวิเศษมาก่อน แต่จากกลิ่นที่แสนยั่วยวนนี้ค่อนข้างทำให้เขานั้นมั่นใจ
ซูจิ้งยังไม่คิดที่จะกลืนกินมันลงไปด้วยตัวเองเพราะมันอาจจะเป็นพิษหรืออะไรที่มันร้ายแรงกว่านั้น หากใช่จริงล่ะก็การกลืนลงไปเลยย่อมเกิดปัญหาอย่างแน่นอน แต่หากว่ามันคือยาเวทมนต์จริงๆก็คือว่ามันดีต่อร่างกายอย่างแน่นอน
แต่การที่จะให้หนูมาลองก็น่าจะยาก แถมถ้าให้หนูกลืนไปจริง หากเขาจะต้องกลืนต่อจากหนูก็น่าขยะแขยงไปหน่อยเหมือนกัน
เอาจริงแค่นึกถึงว่าเจ้าเป๋าหยู่นี้ลงมาจมอยู่ในกองขยะแบบนี้เขาเองก็ขยะแขยงพอแล้ว เขาไม่อยากเพิ่มความรู้สึกนั้นเข้าไปอีก
ซูจิ้งนิ่งคิดไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็นำแก้วน้ำออกมาก่อนที่จะหย่อนเม็ดสีเงินนี้ลงไป หลังจากที่ทิ้งเอาไว้สักพักเขาตั้งใจว่าจะให้หนูสักตัวลองดื่มน้ำนั้น แต่เขาเองก็ไม่นึกว่าเจ้าเม็ดนี้เมื่อแช่ลงไปในน้ำกลับทำให้ตัวมันนั้นใสและแวววาวยิ่งกว่าเดิม
ซูจิ้งมองความแวววาวนี้สักพักก่อนที่เขาจะนำมันขึ้นมาจากน้ำ หลังจากน้ำส่งน้ำให้หนูดิ่ม เจ้าหนูเองเมื่อดื่มไปแล้วมันก็เหมือนกับไม่มีอะไรราวกับว่ามันดื่มน้ำเปล่าธรรมดาเท่านั้น ซูจิ้งจึงรอดูอีกสักพัก
หลังจากที่ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าไม่น่าจะไม่มีอันตราย เขาได้ให้ฮัวเหยาลองดู เธอนั้นรู้ว่าอะไรคือการบ่มเพาะและน่าจะรู้เกี่ยวกับยาวิเศษมากกว่าซูจิ้งจึงเหมาะสมที่จะลองดู
เธอเองก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใดและทำการกลืนกินเม็ดนี้ลงไปตามคำบอกของซูจิ้งในทันที ถึงแม้ว่าความจริงนั้นไม่ว่าจะให้ฮัวเหยากลืนหรือให้หนูกลืนจะไม่ต่างกันก็จริง แต่สำหรับซูจิ้งนั้นเขาเห็นฮัวเหยาเป็นเพียงดอกไม้ไม่ก็เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเอง
“เป็นยังไงบ้าง” ซูจิ้งถามออกมา
“ไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ เหมือนว่าจะไม่ใช่ยาวิเศษนะ” ฮัวเหยาพูดพลางส่ายหัวออกมา
“ไม่เลยสักนิดเหรอ” ซูจิ้งถามออกมาอีกครั้ง
เมื่อได้ยินดังนั้นฮัวเหยาได้ลองตรวจสอบร่างกายของตัวเองดีๆอีกครั้ง แต่เธอก็ส่ายหัวออกมาก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เสนาะหูมากกว่าเดิมว่า “ไม่ค่ะ”
ซูจิ้งเองก็ทำได้เพียงแต่ถอดใจแต่เขานั้นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติในทันที “นี่เธอเปลี่ยนเสียงตัวเองเหรอ”
“”เสียงเปลี่ยนเหรอ”” แม้แต่ฮัวเหยาเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ พอลองส่งเสียงตัวเองออกมาดูอีกทีก็รู้สึกได้ว่าเสียงของเธอเปลี่ยนไปจริงๆ
ตอนแรกนั้นเสียงของฮัวเหยานั้นเป็นเสียงออกแนวเล็กๆหวานๆเหมือนเด็กสาวเท่านั้น แต่ในตอนนี้เสียงของเธอนั้นดูมีน้ำหนัก เต็มไปด้วยพลัง และรู้สึกเสนาะหูมาก หากฟังเสียงเพียงอย่างเดียวล่ะก็ต้องคิดว่าเป็นสาวงามอย่างแน่นอน
“ไหนลองพูดต่ออีกหน่อยสิ” ซูจิ้งเองก็ประหลาดใจไม่น้อยเหมือนกัน
“ได้ค่ะ …” ฮัวเหยาได้พูดออกมาอีกสองสามประโยค ซูจิ้งเองก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาเพื่อที่จะฟังเสียงได้อย่างถนัดถนี่
เสียงของฮัวเหยาในตอนนี้นี้เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยพลังดูสดใส ด้วยตัวเสยงแฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งเวทย์มนต์ เป็นน้ำเสียงที่ดึงดูดผู้คนทำให้ผู้คนยากจะปล่อยผ่านเลยไปได้
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะต่างจากตอนที่เขาใช้พระธาตุที่เป็นการทะลวงผ่านกำแพงทางจิตใจได้นั้นถือว่ามีผลที่ด้อยกว่าแต่ถ้าวัดจากผลลัพท์เฉยๆนั้นถือว่าไม่ต่างกัน
“ถ้าใช้เจ้าเสียงนี้ในการร้องเพลงล่ะ” ซูจิ้งพลางนึกออกมา เมื่อได้ฟังเสียงที่ไพเราะเสนาะหูเช่นทำให้เขาอดนึกเช่นนั้นออกมาไม่ได้ว่าหากเขาใช้เสียงแบบนี้ร้องเพลงจะเป็นยังไงกัน
ซูจิ้งได้ขอให้ฮัวเหยาร้องเพลงดูแต่ตัวเธอนั้นร้องเพลงไม่ได้เพราะไม่รู้จักว่าเพลงคืออะไร ซูจิ้งนำเอาโทรศัพท์ออกมาแล้วทำการเปิดเพลงถั่วแดงให้เธอฟัง
ฮัวเหยาลองฟังสองสามรอบก็จำได้เธอจึงได้ร้องเพลงออกมา ถึงแม้ว่าจะมีเนื้อเพลงและน้ำเสียงที่ผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าร้องได้ดีอยู่ดี
เรียกได้ว่าเป็นผลงานเพลงชั้นดีเลยก็ว่าได้ น้ำเสียงของเธอนั้นแถบจะทำให้หูของซูจิ้งงนั้นรู้สึกแดงไปตามชื่อเพลงเลยทีเดียว ขนาดเฟย์หว่องในตอนนี้ยังเทียบกันไม่ได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าฮัวเหยานั้นจะร้องด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่ตัวระดับเสียงนั้นเหมือนกับปรับตามเนื้อเพลงได้อย่างอัตโนมัติ
เห็นดังนั้นคราวนี้ซูจิ้งจึงลองเปิดเพีงโอเปร่าหมายเลขสองให้เธอฟังและร้องตาม เสียงของเธอนั้นราวกับปลาโลมาที่สามารถสร้างตำนานเพลงได้อย่างง่ายๆเลย
คราวนี้ซูจิ้งลองให้ฮัวเหยาคายเป๋าหยูออกมาและร้องเพลงดูอีกครั้ง คราวนี้เสียงของเธอกลับมาเป็นเสียงปกตินั่นก็คือเสียงของสาวน้อยธรรมดา ถึงแม้จะร้องได้ไม่เลว แต่ถือได้ว่าต่างจากที่ร้องก่อนหน้านี้คนละโยชน์เลยทีเดียว เรียกได้ว่าคนละเรื่องเลยก็ว่าได้ ราวกับว่าเป็นเสียงของคนธรรมดาที่ไปร้องแข่งกับเสียงปลาโลมาเลยก็ว่าได้
ตอนนี้ซูจิ้งได้ล้างเป๋าหยูและลองอมไปด้วยตัวเองดูว่า กลายเป็นว่าเสียงของเขานั้นออกเป็นเสียงผู้หญิงๆหน่อยๆแทน
ถึงแม้น้ำเสียงจะแฝงไปด้วยพลังเวทมนต์ที่ดูน่าฟัง น่าติดตาม แถมยังก้องกังวานเหมือนเดิม แต่ยังไงซะมันก็ยังฟังดูแปลกๆอยู่ดี
หากว่าเป็นวงการแล้วมันก็มีพวกนักร้องชายเสียงเล็กๆคล้ายกับผู้หญิงเหมือนกัน แต่กับซูจิ้งแล้ว เขานั้นไม่ใช่นักร้อง แน่นอนว่าไม่ต้องการให้เสียงตัวเองเป็นแบบนี้อย่างแน่นอน
“เจ้านายคะ ฉันคุ้นๆว่าเจ้าเม็ดนี้น่าจะมาจากปีศาจแห่งทะเลค่ะ มันเป็นปีศาจที่สามารถร้องเพลงเพื่อล่อลวงผู้คนได้ เม็ดนี้สมควรมาจากปีศาจสาวไซเรน ฉันว่าเจ้านี่ไม่น่าจะเหมาะกับเจ้านายนะคะ” ฮัวเหยาพูดออกมา
“ปีศาจทะเล เป็นไปได้แหะ” ซูจิ้งได้นึกถึงภาพตอนที่เขานั้นนำเม็ดนี้ไปแช่น้ำแล้วทำให้มันดกระจ่างใสขึ้นมา เมื่อนึกถึงภาพในตอนนั้นทำให้เขาพยักหน้าเชิงเห็นด้วย
เขายังคงทดลองอีกหลายๆอย่างกับเจ้าเม็ดไข่มุกสีเงินนี้และผมว่ามันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากจะทำให้เสียงไพเราะนุ่มนวลเท่านั้นเอง
“ว่าแต่เธอท่องบทสวดพระสุริยะบัพพาได้รึยังน่ะ” ซูจิ้งถามออกมา
“ฉันจำได้ขึ้นใจแล้วค่ะ แต่ฉันยังไม่เข้าใจมันเลย” ฮัวเหยาพูดออกมา
“ตอนนี้แค่จำได้ก็ดีมาแล้ว เอาไว้ค่อยฝึกทีหลังก็แล้วกัน ตอนนี้ตามแนมาก่อนก็แล้วกัน ฉันจะพาเธอไปแนะนำให้ใครรู้จัก แล้วเธอต้องติดตามและคอยปกป้องเธอคนนั้นนะ” ซูจิ้งพูดออกมา ก่อนที่เขาจะให้ฮัวเหยากลายร่างเป็นดอกไม้ดอกใหญ่และนำเธอไปยังร้านเสื้อผ้าหลงเต็ง