ไฮปาเทียสนใจการตกแต่งบ้านของเหล่าขุนนางเป็นอย่างมาก ตอนที่กำลังรออยู่ในห้องโถง นางยกชาขึ้นมาจิบ ในคราแรกรู้สึกไม่ค่อยชอบรสชาติขมที่จิบเข้าไป แต่เมื่อชาเริ่มหวานมันกลับทำให้นางชื่นชอบขึ้นมาเล็กน้อย
จากนั้นจึงถือถ้วยชาเดินไปรอบๆ ห้องโถง มีภาพเสือตัวใหญ่ที่กำลังก้าวย่างขึ้นภูเขาอยู่กลางห้องโถง เป็นภาพที่เด่นสะดุดตาที่สุด นี่คือภาพที่อาจารย์หลีสือเป็นคนวาด วาดเพื่อแสดงความยินดีกับอวิ๋นเยี่ยที่กลับมาได้อย่างปลอดภัย และหวังว่าต่อไปเขาจะเดินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
อันที่จริงอวิ๋นเยี่ยไม่ชอบเสือขึ้นภูเขา ท้องมันอิ่มจึงมักไม่มีท่าทางของความดุร้าย สู้เสือลงจากภูเขาไม่ได้ ท้องอันหิวโหยทำให้มองหาอาหารอย่างดุร้าย ช่างมีท่าทีของความเป็นเจ้าป่า
ไม่วาดเป็นแมวก็ดีมากแล้ว นี่คือคำพูดดั้งเดิมของหลีสือ วาดไปวาดมา วาดสองสามครั้งเดี๋ยวก็เหมือนหมู เดี๋ยวก็เหมือนสุนัข เดี๋ยวก็เหมือนงูพิษ สุดท้ายวาดออกมาก็ไม่ค่อยเหมือน เพื่อวาดภาพเสือตัวนี้ หลีสือวิ่งไปจับเสือบนเขามาตั้งสองสามตัว เสือตัวเต็มวัยไม่ค่อยเชื่องนักจึงถูกเขาฆ่าทำเป็นที่นอนหนังเสือเรียบร้อยแล้ว ส่วนเสือตัวเล็กอีกสองตัวถูกเลี้ยงเอาไว้ที่บ้านในตอนนี้ บอกว่าไว้ให้เป็นสัตว์เลี้ยงของลูกตัวเอง
ภาพวาดเหมือนจริงของดินแดนตะวันออกทำให้ไฮปาเทียชื่นชอบเป็นอย่างมาก อียิปต์ในตอนนี้บางครั้งก็มักจะมีสงครามระหว่างคนกับสัตว์ร้ายเกิดขึ้น และเพื่อจะหาเงินให้ได้มากๆ เหล่าทาสและพ่อค้าจึงเอาศิลปะการต่อสู้โบราณไปแปรรูป กลายเป็นให้ผู้หญิงต้องเข้าไปต่อสู้กับสัตว์ร้ายแทน บ้านใครที่มีทาสผู้หญิงที่ไม่ต้องการแล้วหรือผู้หญิงที่เป็นนางโลม พวกนางจะถูกส่งตัวเข้าไป ใส่ชุดเกราะผู้หญิงและถือดาบ แค่ฆ่าสิงโตในสนามต่อสู้ให้ตายถึงจะมีชีวิตรอดออกมา แล้วยังได้เงินก้อนจำนวนมาก
เหล่าทาสและพ่อค้าล้วนแต่เป็นคนรักษาคำพูด บอกว่าเอาเงินให้ก็คือเอาเงินให้ ไม่โกงแน่นอน แต่ว่าไม่เคยมีใครเคยได้เงินก่อนนี้ มีแต่สิงโตที่คายกระดูกออกมาจากปากอย่างมีความสุขทุกครั้ง กินเสร็จมันก็เรอเสียงดัง รอการมาของนักรบคนต่อไป…
หากไฮปาเทียไม่มาดินแดนตะวันออก เป็นไปได้มากว่านางอาจจะต้องไปต่อสู้กับสิงโต ดังนั้นตอนนี้เมื่อนางเห็นเสือที่น่าเกรงขาม นางมักจะมีความรู้สึกเหมือนรอดจากความตายอยู่เสมอ
พู่กันบนโต๊ะของอวิ๋นเยี่ยคือศัตรูตัวฉกาจของนาง ไม่ว่านางจะพยายามมากแค่ไหนก็เขียนตัวอักษรเหลี่ยมให้สวยงามไม่ได้ ดังนั้นพู่กันขนห่านจึงกลายเป็นวิธีการเขียนตัวอักษรเพียงอย่างเดียวของไฮปาเทีย แต่กล่องพู่กันของอวิ๋นเยี่ยยังมีแท่งไม้ที่แหลมคมอยู่สองสามอัน นางหยิบมันขึ้นมา เขียนลงบนกระดาษสองสามตัว ใช้งานได้ไม่ดีเท่าไหร่ มันทำให้กระดาษขาดได้ง่าย นางส่ายหน้าและวางมันลง
หนังสือบนชั้นวางไม่มีประโยชน์สำหรับนางมากนัก เต็มไปด้วยตัวอักษรที่แปลกประหลาด นี่ไม่ใช่ตัวอักษรที่นางอ่านเข้าใจ ดังนั้นนางจึงไม่เอาออกมาอ่าน
“หนังสือบางเล่มเจ้าก็อ่านเข้าใจ เช่นเดียวกับที่ข้าอ่านลายมืออาจารย์ของพวกเจ้าเข้าใจ คณิตศาสตร์มีกฎเกณฑ์ที่เถรตรง มันเป็นการทดสอบความสามารถในการคิดเชิงตรรกะของเรา ไม่ใช่การทดสอบความสามารถในการรู้จักตัวอักษร ให้เจ้าดูรูปภาพภาพหนึ่ง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถหาคำตอบและกฎเกณฑ์ได้ เมื่อเจ้าไปถึงสำนักศึกษา ในห้องสมุดมีหนังสือมากมายที่เจ้าอ่านเข้าใจ ไม่ต้องกังวลไปในตอนนี้ แต่ว่า หนังสือ ‘คณิตศาสตร์เบื้องต้น’ เล่มนี้ข้าเป็นคนเขียน เจ้าเอาไปอ่านก็ได้ ให้เจ้าได้มีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับระดับของลูกศิษย์ในสำนักศึกษา จะได้สะดวกในการสอนของเจ้า”
อวิ๋นเยี่ยเดินมาที่ชั้นหนังสือ หยิบหนังสือสองเล่มออกมาให้ไฮปาเทีย ทันใดนั้นก็มีสาวใช้เอาหนังสือเก็บใส่ลงในกระเป๋าหนังอย่างระมัดระวัง ไฮปาเทียคุ้นเคยกับกระดาษของดินแดนตะวันออกอยู่แล้ว หนังสือที่ทำจากหนังแกะและหนังลูกวัว มีน้ำหนักและไม่สวยงาม ไม่เหมือนหนังสือที่นี่ที่มีกลิ่นหอมของหมึก ไฮปาเทียชอบดมกลิ่นนี้เป็นอย่างมาก
เห็นไฮปาเทียชอบดมกลิ่นของหนังสือถึงเพียงนี้ อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจไม่บอกนางว่าเพื่อควบคุมความเป็นกรดเบสของหมึก สำนักศึกษาเพิ่มฉี่ม้าเข้าไปในหนังสือด้วย
วั่งไฉลากรถม้าของตัวเองมาที่ลานข้างหน้า คำพูดของคนขี่ม้าช่างเรียบง่าย แค่เอารถม้าดีๆ ให้กับวั่งไฉ มันก็จะรู้เองว่าควรทำเช่นไร เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินออกมา มันก็สะบัดกีบพร้อมกับส่งเสียงเบาๆ โค้งหัวให้เขาสองครั้ง หมายความว่ามันรอตั้งนานแล้ว มันจะได้ไปเล่นสนุกบนถนนเสียที
เห็นท่านพี่เชิญไฮปาเทียขึ้นรถม้า ซิงเย่วก็รู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะตอนที่ผู้หญิงชาวหูคนนั้นยกขาขึ้นรถม้า บั้นท้ายกลมโตของนางทำให้ซินเย่วมีความรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก
ทิวทัศน์บนถนนหินทำให้อาจารย์หญิงชื่นชอบเป็นอย่างมาก นางจับกิ่งไม้ที่อ่อนนุ่มของต้นหลิวเป็นครั้งเป็นคราว ตั้งหน้าตั้งตารอสำนักศึกษาที่กำลังใกล้จะไปถึง ผู้ติดตามของนางถูกพ่อบ้านตระกูลอวิ๋นพาไปยังที่พักของนางตั้งนานแล้ว มีแค่สาวใช้ตัวเล็กๆ ที่ติดตามนางมาด้วยเท่านั้น
เมื่อเลี้ยวที่ตีนเขา หุบเขาขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นมา น้ำตกสีขาวกำลังร้องคำราม มีกังหันน้ำหมุนอยู่ ใบพัดถูกสายน้ำพัดหมุนอย่างต่อเนื่องอยู่บนกังหันขนาดใหญ่ ขณะที่ท่อไม้ไผ่นับไม่ถ้วนกำลังขนส่งน้ำสะอาดขึ้นไปบนรางไม้ รางไม้คดเคี้ยวและทอดยาวไปจนถึงอาคารสวยงามซึ่งตั้งอยู่ไกลๆ
ผู้หญิงไม่เคยต้านทานความสวยงามของสรรพสิ่งได้ เห็นหมู่บ้านที่มีกำแพงอิฐสีแดง นางก็จับแขนอวิ๋นเยี่ยและถามว่า “ท่านโหวเจวี๋ย ข้าก็จะได้ไปอยู่ที่ตึกอันสวยงามเหล่านั้นใช่หรือไม่ หากเจ้าสามารถตอบสนองความปรารถนาของข้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าจีบข้า”
“เจ้ากำลังโกหกใคร ไฮปาเทียจะแต่งงาน? ยังจะให้โอกาสข้าจีบเจ้า เกรงว่าข้าจีบไปจนถึงอายุแปดสิบ โอกาสก็คงจะยังเป็นแค่โอกาส ดูจากการที่เจ้าจับแขนข้าก็ดูออกว่าเจ้าไม่มีความรู้สึกดีกับผู้ชายเลยแม้แต่น้อย ผู้ชายดีๆ เช่นนี้เจ้ายังอดทนไหว ผู้ชายคนอื่นๆ ตายไปเจ้าก็คงไม่แม้แต่จะมอง แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ตึกที่เจ้าจะอาศัยอยู่คือตึกสิบเก้า ทั้งหมดมีสามชั้น มีห้องน้ำในตัว น้ำจะไหลขึ้นไปที่บ้านของเจ้าเอง ใช้งานสะดวกสบาย หากเจ้าไม่อยากทำอาหารเอง เออช่างเถอะ อาหารของพวกเจ้าไม่ใช่อาหารที่เอาให้คนกิน ราวกับอาหารหมู กินถั่วมากเกินไปจะทำให้ตดบ่อย เจ้าไปกินอาหารในโรงอาหารของสำนักศึกษาเถอะ ลิ้มรสอาหารต้าถังก็ไม่เลวหรอกนะ”
“เหลวไหล อาหารอียิปต์เจ้าเคยเห็นหรือไม่ แอปเปิ้ลต้ม ครีมซุป เนื้อแกะย่าง กะหล่ำปลีทอด มีแต่ของอร่อย อาหารของต้าถังก็ไม่ใช่ว่าจะอร่อยเสมอไป มันก็แค่ใส่เครื่องปรุงอย่างฟุ่มเฟือย”
“สิ่งที่เจ้ากินคืออาหารของราษฎรที่ยากจนที่สุดในต้าถัง มีขาไก่ให้แทะก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อาจารย์ที่น่าสงสาร เจ้ายังไม่ได้กินข้าวกลางวันใช่หรือไม่ ข้าเลี้ยงมื้อเที่ยงของสำนักศึกษา เจ้าระวังอย่ากินลิ้นเข้าไปด้วยก็แล้วกัน”
ปีนี้ไฮปาเทียอายุแค่สามสิบสาม นางได้รับการปกป้องจากผู้ติดตามของนางเป็นอย่างดีมาโดยตลอด นางไม่ค่อยลำบากอะไร ยังคงติดนิสัยอย่างเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ สายตาของนางก็มีความปรารถนาออกมาอย่างไม่รู้ตัว
สำหรับความยิ่งใหญ่ของสำนักศึกษา ไฮปาเทียตกใจเป็นอย่างมาก ว่ากันว่ามีเพียงแค่วัดหยาเตี่ยนเสินเท่านั้นที่เทียบได้ สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้ถึงปมด้อยของของผู้หญิงคนนี้อีกระดับหนึ่ง นั่นก็คือปากแข็ง ไม่ยอมรับผิด
“วัดหยาเตี่ยนเสิน นอกจากเสาที่ปรักหักพังสองสามเสาและรูปปั้นที่ปรักหักพังอีกนิดหน่อย สิ่งที่พูดถึงได้ก็คือมันแข็งแกร่ง มันมักจะถูกใช้เป็นหลุมฝังศพ เจ้าเอามันมาเทียบกับสำนักศึกษาของข้า เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่ แล้วอีกอย่าง วัดหยาเตี่ยนเสินไม่ใช่ของอียิปต์ อย่างพูดถึงมันบ่อยนักเลย”
“เจ้ารู้จักพวกเราดีขนาดนี้ ทำไมข้าถึงไม่รู้ว่ามีเจ้าอยู่”
“ข้าคือโหวเจวี๋ยของต้าถัง คือผู้บัญชาการกองเรือคนหนึ่ง คือผู้ก่อตั้งสำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้ ข้ารู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเจ้าเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงที่ถูกขังอยู่ในบ้าน ไม่รู้จักข้าก็เป็นเรื่องธรรมดา”
ไฮปาเทียโมโหขึ้นมาทันที ปากเอาแต่พูดภาษาท้องถิ่นไม่หยุด มีน้ำลายใสๆ พ่นมาโดนที่หน้าของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยยกแขนเสื้อขึ้นมาบังกระทั่งนางสงบลง ทันใดนั้นก็เห็นว่าวั่งไฉพาพวกเขามาถึงหน้าประตูสำนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว
“วั่งไฉ นี่คือประตูใหญ่ เราต้องเข้าประตูด้านข้าง เจ้าลืมไปแล้วหรือ” อวิ๋นเยี่ยตบก้นของวั่งไฉทีหนึ่ง วั่งไฉจึงทำได้แค่เดินไปที่ประตูด้านข้างต่อไปอย่างไม่เต็มใจ
“เมื่อคืนข้าเรียนรู้มารยาทกับเหย่าเหนียงมานิดหน่อย แขกผู้มีเกียรติเท่านั้นถึงจะเข้าทางประตูใหญ่ หรือว่าข้ายังมีเกียรติไม่พอ? ทำไมข้าเป็นถึงอาจารย์แต่เข้าทางประตูใหญ่ไม่ได้ เจ้ากำลังดูถูกข้า เจ้าไม่เคารพต่อการศึกษาชองชาวตะวันตก หยุดเดี๋ยวนี้ ไปเข้าทางประตูใหญ่”
อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจ ให้วั่งไฉหยุดเดิน ไม่เช่นนั้นผู้หญิงคนนี้คงจะกระโดดลงจากรถม้า ตัวเองรนหาที่เอง แล้วแต่นางก็แล้วกัน
อวิ๋นเยี่ยนั่งรอไฮปาเทียเดินเข้ามาที่ซุ้มหน้าประตูใหญ่ ใช้เวลาไม่นาน แค่จิบชาถ้วยเดียวก็พอแล้ว
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ไฮปาเทียเกาท้ายทอยเดินเข้ามาทางขวาด้วยความหงุดหงิด แล้วก็เดินออกมาทางซ้าย เดินเข้ามาข้างหน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ใครเอาเขาวงกตมาไว้ที่ประตูใหญ่ หรือว่าข้างในมีวัวหมี่นั่วซือกินคน?”
“คนที่เจ้ากำลังพูดถึงก็คือข้า นี่คือผลงานจากการเดิมพันของคนสองคน ตอนนี้เขาวงกตยังคงสงบอยู่ ข้าไม่ได้ให้พวกเขาขยับกลไก ไม่เช่นนั้นเจ้าคงจะกลายเป็นศพไปตั้งนานแล้วและคงถูกคนลากออกมาฝังใต้ต้นไม้” อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างไม่เป็นมิตรให้กับไฮปาเทีย ผู้หญิงคนนี้มีท่าทีสูงส่งอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักถ่อมตัว จะเข้าไปเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาได้อย่างไร ต้องรู้ว่าเหล่าอาจารย์หลี่กัง อวี้ซัน หยวนจาง หลีสือและจินจู๋ พวกเขาล้วนแต่เป็นปรมาจารย์ หากต้องทำงานร่วมกับผู้หญิงคนหนึ่ง นางต้องเป็นคนที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบทีเดียว
“มีใครเดินผ่านไปได้หรือไม่ ข้าหมายถึงตอนที่เจ้าไม่รู้ตัว”
อวิ๋นเยี่ยชี้ไปที่จมูกของตัวเอง “ข้าทำได้แล้ว เวลาธูปดอก เจ้ายอมไปเถอะ ข้าไม่อยากให้เจ้านอนที่นี่ นี่เป็นเรื่องผิดศีลธรรมสำหรับผู้หญิง”
“ทำไมเจ้าเดินเข้าไปได้ แต่ข้าเดินเข้าไปไม่ได้ นี่ก็เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงทางเรขาคณิตบางอย่าง หากพวกเขาไม่ขยับไปไหน ข้าก็จะหาเส้นทางที่ถูกต้องเจอ เมื่อครู่ข้าหาเจอแล้วนิดหน่อย ให้เวลาข้าอีกสักนิด ข้าจะต้องเดินเข้ามาทางประตูใหญ่ให้ได้ เอ่อใช่ หากข้าเดินเข้ามาได้ เจ้าจะมีรางวัลอะไรให้ข้า”
“ระฆังใหญ่ของสำนักศึกษาจะดังขึ้นสิบสองครั้ง อาจารย์และลูกศิษย์ของสำนักศึกษาจะมาแสดงความยินดีกับการกำเนิดขึ้นของผู้ยิ่งใหญ่คนใหม่ หากเจ้าต้องการ นี่เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการเข้าสู่สังคมของสำนักศึกษา”
“เช่นนั้นข้าจะไขปริศนานี้ เจ้าเตรียมอาหารให้ข้าสักหน่อย เขาวงกตนี้ค่อนข้างยากลำบาก”
อวิ๋นเยี่ยบอกให้องครักษ์ที่ประตูไปเอาอาหารที่โรงอาหารมา ตัวเองนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวในซุ้มแล้วพูดกับไฮปาเทียว่า “อาหารจะมาถึงโดยเร็ว รวมทั้งเครื่องดื่ม ข้าขอตัวนอนก่อนแล้วกัน หากไขปริศนาไม่ได้ก็บอกข้า ข้าจะพาเข้าไปทางประตูด้านข้าง”