แต่กลับกลายเป็นว่า ซูจิ่นซีประเมินเยี่ยโยวเหยาต่ำเกินไป
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาเปี่ยมไปด้วยไฟราคะมากขึ้นเรื่อยๆ ซูจิ่นซีก้าวถอยหลัง เขาจึงฉวยโอกาสนี้เพื่อก้าวไปข้างหน้า กดดันซูจิ่นซีทีละก้าว จนกระทั่งผลักซูจิ่นซีเข้ามุม
‘ตุบ’ เสียงแผ่นหลังกระทบผนังอย่างแรง
ไม่อาจถอยได้อีกแล้ว
เมื่อเหล่าองครักษ์และองครักษ์เงาเห็นเช่นนี้ ต่างก็หันหลังไปทางอื่นทันที แม้คนที่ไม่สามารถหันหลังได้ก็พยายามปิดตาตนเอง
ซูจิ่นซีรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
เยี่ยโยวเหยาใช้นิ้วเชยคางซูจิ่นซี ดวงตาดำขลับลึกล้ำที่เต็มไปด้วยไฟราคะค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีรู้สึกประหม่าจนแทบหายใจไม่ออก
นางสบถด่าเยี่ยโยวเหยาอยู่ในใจหลายครั้งด้วยความอับอาย
บัดซบ!
นางบอกแล้ว!
เยี่ยโยวเหยาเป็น ‘สัตว์ร้าย’ ที่ไร้ขอบเขตและไม่เคยพอ เป็นดั่งที่พูดไว้จริงๆ
ในตำหนักที่ว่างเปล่า นอกจากเสียง ‘เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ’ ของสะเก็ดไฟในเตาไฟแล้ว บรรยากาศก็เงียบสงัด ซูจิ่นซีตกประหม่าจนหัวใจแทบพุ่งออกมาจากลำคอ
ขณะที่ริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยากำลังจะสัมผัสริมฝีปากของซูจิ่นซี ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็ยื่นมือออกไปวางบนริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยา แววตาอ่อนโยนเต็มไปด้วยความอ้อนวอน
“เอ่อ ท่านอ๋องเพคะ จิ่นซีผิดไปแล้ว! จิ่นซีผิดไปแล้วจริงๆ จิ่นซีไม่ควรท้าทายท่านอ๋อง ท่านอ๋องปล่อยข้าไปเถิด! ”
“ปล่อยเจ้าหรือ? ” คิ้วหนาและงดงามราวกับดาบของเยี่ยโยวเหยาพลันกระตุก เขามองซูจิ่นซีด้วยความสงสัย
ซูจิ่นซีราวกับพบแสงสว่างในความมืด เมื่อพบความหวัง นางจึงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ท่านอ๋อง ท่านปล่อยข้าไปเถิด! ”
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะเลิกคิ้วอย่างมีเลศนัย
“ปล่อยเจ้าไป… ข้าจะได้ประโยชน์อันใด! ”
บัดซบ!
จริงๆ เลย นางเคยพบบุรุษมาทุกประเภท ทว่าไม่เคยเห็นบุรุษใดที่ชอบเอาเปรียบสตรีเช่นเขามาก่อน
ซูจิ่นซีขบเขี้ยวยิงฟันด้วยความเกลียดชัง อยากจะกัดไปที่หัวใจของเยี่ยโยวเหยา
ทว่าในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเช่นนี้ นางไม่มีกำลังพอที่จะชิงความได้เปรียบ ซูจิ่นซียังต้องกัดฟันอดทนต่อไปใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม “ท่านอ๋อง จิ่นซีจะให้ประโยชน์อันใดท่านได้? จิ่นซีมอบทุกสิ่งให้ท่านอ๋องไปแล้วมิใช่หรือ? ”
นางพูดพลางเม้มปาก และกะพริบตาให้เยี่ยโยวเหยาสองครั้ง “ท่านอ๋อง หากพวกเรามีอันใดต้องพูดกัน ค่อยไปพูดกันข้างนอกดีกว่าเพคะ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือ การรักษาอาการบาดเจ็บให้ทุกคน จากนั้นก็เดินทางไปยังศูนย์กลางของตำหนักใต้ดินแห่งนี้”
หลังจากพูดจบ เยี่ยโยวเหยายังไม่มีการเคลื่อนไหว ซูจิ่นซีจึงพูดเสริมอย่างรวดเร็วว่า “ข้าจะไม่ลงมือทำเอง ให้จิ้นหนานเฟิงและคนอื่นๆ ช่วยกันรักษาบาดแผลของผู้บาดเจ็บ โดยมีข้าคอยให้คำแนะนำอยู่ข้างๆ ”
เยี่ยโยวเหยายอมเก็บซ่อนความอดทนไว้ในดวงตาของเขา พลางมองเรือนร่างเร้าอารมณ์ของซูจิ่นซีที่ราวกับพิณหยก ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมามองส่วนเว้าส่วนโค้งที่งดงามของนาง และพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ก็ได้! ”
จากนั้นจึงปล่อยมือที่กดทับซูจิ่นซี
แม้ไม่มีข้อห้าม ทว่าซูจิ่นซีรู้สึกไม่สบายใจ ไม่เพียงเท่านั้น นางยังรู้สึกสันหลังเย็นวาบ รู้สึกหนาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
เหตุใดนางจึงรับรู้ได้ว่า ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาเผยให้เห็นความอันตรายบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน?
เหตุใดนางจึงรู้สึกว่า สิ่งที่นางต้องได้รับยังมีตามมาอีกมาก?
เยี่ยโยวเหยาเดินไปสองก้าว ก่อนจะหยุดเดินและหันมามองซูจิ่นซีด้วยท่าทางสงสัย
รอยยิ้มราวกับสายรุ้งหลากสีสันปรากฏบนใบหน้าของซูจิ่นซีในทันใด นางรีบก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นจึงสั่งจิ้นหนานเฟิง องครักษ์เงา และองครักษ์คนอื่นๆ ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ให้รักษาบาดแผลของเหล่าสหายที่ได้รับบาดเจ็บ
ภายใต้การจับตามองของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องบาดแผลของผู้บาดเจ็บ ส่วนจิ้นหนานเฟิงและคนอื่นๆ ก็ช่วยกันอย่างเต็มที่
หากพบตำแหน่งบาดแผลอยู่ในบริเวณที่ไม่เหมาะสม ซูจิ่นซีจะหลีกเลี่ยงทันที เพื่อไม่สร้างปัญหาให้ตนเอง
ขณะที่รักษาบาดแผล เยี่ยโยวเหยาถามทุกคนว่า หลังจากเข้าไปในประตู พวกเขาเห็นสิ่งใด
บางคนบอกว่ามันคือพืชพิษ บางคนบอกว่ามันคือมังกรไฟ บางคนบอกว่ามันคือหมีดำ และบางคนบอกว่ามันคือเสือและเสือดาว
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เยี่ยโยวเหยาเข้าใจเป็นอย่างดี หากเป็นหมีดำหรือเสือดาวทั่วไปไม่มีทางทำร้ายเหล่าองครักษ์ของเขาได้รุนแรงถึงเพียงนี้เป็นแน่
ผู้ที่สามารถอยู่เคียงข้างเขาได้ คือ ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดที่สุดในวิหารวิญญาณ หมีดำและเสือดาวไม่ส่งผลกระทบอันใดต่อพวกเขาแม้แต่น้อย
ตอนนี้มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว คือ หลังประตูเหล่านี้ต้องมีบางอย่างที่ร้ายกาจอย่างมาก
หลังจากซูจิ่นซีแนะนำให้จิ้นหนานเฟิงและคนอื่นๆ รักษาบาดแผลของทุกคนเสร็จเรียบร้อย เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีก็ร่วมกันหารือวิธีค้นหาประตูที่ถูกต้อง
ซูจิ่นซีใช้ระบบถอนพิษและอาคมกำไลปี่อั้นเพื่อวิเคราะห์ ทว่ายังคงไร้ผล
อย่างไรก็ตาม หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของซูจิ่นซีก็ทอประกายขึ้นอีกครั้ง เหมือนว่านางกำลังคิดบางอย่างขึ้นมาได้ แต่ไม่นานแววตาก็มืดลง
เยี่ยโยวเหยาสังเกตเห็นความผิดปกติของซูจิ่นซีได้ชัดเจนที่สุด “เจ้าคิดสิ่งใดได้หรือ? ”
ซูจิ่นซีรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย “เมื่อครู่ข้าคิดหาวิธีได้วิธีหนึ่ง ทว่าช่างมันเถิด”
เมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็นึกถึงสิ่งที่ซูจิ่นซีกำลังคิดขึ้นมาได้
นั่นคือจุดอ่อนของซูจิ่นซี ไม่ต้องพูดว่านางไม่ยินยอม ต่อให้นางยินยอม เยี่ยโยวเหยาก็ไม่ปล่อยให้นางทำแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อวิธีนี้ไม่ได้ผล ก็ยังสามารถหาวิธีอื่นได้ โดยการเปรียบเทียบใช้วิธีการที่คล้ายคลึงกัน!
“เจ้ามีวิธีที่จะล่อพวกเสือและเสือดาวออกมาหรือไม่? ” เยี่ยโยวเหยาถาม
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วราวกับประหลาดใจเล็กน้อย นางไม่ได้พูดสิ่งใด ทว่าเยี่ยโยวเหยาสามารถคาดเดาได้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด
สิ่งที่นางคิดเมื่อครู่ คือ การหลอกล่อหนูเหล่านั้นออกมา จากนั้นก็ใช้หนูเพื่อหาประตูที่ถูกต้อง
ทว่า…
“จะว่าได้ก็ได้อยู่ ทว่าเสือกับสิงโตนั้นแตกต่างกัน หนูควบคุมได้ง่ายกว่า ในขณะที่เสือและสิงโตมีขนาดใหญ่และควบคุมยาก ไม่เช่นนั้น พวกเราใช้หนูแทนเถิด! ”
ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าเยี่ยโยวเหยาแล้วว่าซูจิ่นซีหวาดกลัวหนูมากเพียงใด
ทันทีที่พูดจบ ซูจิ่นซีต้องการจะล่อหนูออกมา ทว่าเยี่ยโยวเหยาขัดขวางนางและกล่าวว่า “ให้ใช้เสือ! ”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจนั้น ทำให้ซูจิ่นซีไม่อาจปฏิเสธได้
แน่นอน ซูจิ่นซีรู้ว่าเยี่ยโยวเหยากำลังเป็นห่วงนาง เมื่อมองดวงตาที่แน่วแน่ เคร่งขรึม และลึกซึ้งนั่นแล้ว นางรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก
ซูจิ่นซีทำตามที่เยี่ยโยวเหยาบอก เตรียมล่อเสือออกมา
เสือเป็นสัตว์กินเนื้อและไวต่อกลิ่นเลือดมาก ซูจิ่นซีหยิบธูปสมุนไพรออกมาจากระบบถอนพิษ และวางไว้หน้าปากทางถ้ำที่มีเสืออยู่
หลังจากนั้นไม่นาน กลิ่นเลือดคละคลุ้งก็ลอยไปที่ประตู
ซูจิ่นซีวางของบางอย่างไว้ข้างธูปสมุนไพร ซึ่งเป็นสิ่งที่นำออกมาจากระบบถอนพิษ
ผ่านไปไม่นาน เสียงเสือคำรามก็ดังมาจากประตู ทำให้ทุกคนตื่นตัวมากขึ้น
ซูจิ่นซีมีท่าทางสงบนิ่ง นางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ทุกคนไม่ต้องตกใจ ถอยออกมา”
แม้พวกเขาจะทำตามคำพูดของซูจิ่นซีโดยการถอยหลังออกมาสองก้าว ทว่าพวกเขาไม่ผ่อนคลายความระมัดระวังแม้แต่น้อย
“โฮก… ”
มีเสียงคำรามดังขึ้นภายในประตู ทุกคนยังไม่ทันได้ตอบสนอง เสือตัวใหญ่และดุร้ายสองตัวก็กระโดดออกมาจากประตู และวิ่งอ้าปากกว้างไปทางซูจิ่นซีอย่างรวดเร็ว