ตอนที่ 662 เผ่าของหลัวอวิ๋นซี

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในเมื่อทราบเบาะแสเกี่ยวกับต้นโพธิ์ที่ตามหาจากบุรุษชราแล้วก็ไม่จำเป็นต้องสืบหาข้อมูลในศูนย์การค้าอีกต่อไป ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จึงมุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ของหลัวหมิงเฟยโดยตรง

“อวี้โม่ เมื่อครู่นี้บุรุษชราผู้นั้นบอกอะไรกับท่านหรือ ?”

เนื่องจากก่อนหน้านี้บุรุษชราจงใจวางอาคมบดบังบทสนทนาของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ หลัวหมิงเฟยและคนอื่น ๆ จึงไม่ได้ยินเนื้อหาเหล่านั้น

“เพียงเรื่องทั่วไปเล็กน้อย ทว่าเขาก็บอกเราเกี่ยวกับเบาะแสของต้นโพธิ์ว่ามันอยู่ในเผ่าใดเผ่าหนึ่ง”

ฉินอวี้โม่ไม่ต้องการกล่าวสิ่งใดให้มากความ ความเป็นจริงที่ว่าเธอเป็นจิตวิญญาณที่มาจากโลกสมัยใหม่ก็มีคนทราบเพียงหยิบมือเท่านั้น และแน่นอนว่าเธอก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นทราบโดยไม่จำเป็น

“อยู่ในเผ่าใดเผ่าหนึ่งงั้นหรื อ? แล้วมันจะอยู่ในเผ่าใดกัน ?”

สั่วซีหย่าพยายามวิเคราะห์วาจาของบุรุษชราเพื่อทำความเข้าใจ ในชนเผ่าเอลฟ์มีเผ่าที่ย่อยออกมาเพียงไม่มากเท่านั้นและน่าสงสัยยิ่งนักว่าต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเผ่าใด ?

“ไม่มีทางที่มันจะอยู่ในเผ่าเลี่ยหยางของท่านพ่อ เพราะหากมันอยู่ในเผ่านั้นจริง ท่านพ่อของข้าหรือตู้ซีรั่วก็คงค้นพบมันไปนานแล้วและเรื่องคงไม่เงียบมานานเช่นนี้ เผ่าอู๋เหวยของลูกพี่ลูกน้องหมิงฮ่าวก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เช่นกัน เพราะหากมันอยู่ที่นั่นก็คงมีสัญญาณความผิดปกติบ้างแล้ว…”

“มันไม่อยู่ในเผ่าของข้าและพี่รองเช่นกัน เรารู้จักเผ่าของเราเป็นอย่างดีและทราบรายละเอียดในทุกซอกทุกมุม ไม่มีสถานที่พิเศษหรือเรื่องแปลกใดเกิดขึ้นในเผ่าของข้า”

หลัวหมิงเฟยก็กล่าวเสริมด้วยความมั่นใจว่าต้นโพธิ์มิได้อยู่ในเผ่าของพวกตนอย่างแน่นอน

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ก็เหลือเพียงเผ่าของหลัวหมิงรุ่ย หลัวหมิงซีและหลัวอวิ๋นซีที่เป็นไปได้ ทว่ามันจะอยู่ในเผ่าใดกัน ?”

สั่วซีหย่าขมวดคิ้วมุ่น ในเมื่อยังไม่มีเบาะแสในตอนนี้ พวกนางจะต้องสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมอีกพอสมควร

“สั่วซีหย่า เจ้าไปที่คฤหาสน์ของหลัวหมิงซีเพื่อสืบหาข่าวเรื่องนี้ หากทราบรายละเอียดต่าง ๆ แล้วก็ให้รีบกลับมารายงานพวกเรา”

ฉินอวี้โม่ก็กล่าวกับสั่วซีหย่าก่อนที่นางจะแยกตัวออกไปทันที

บัดนี้ตัวตนของนางถูกเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถานะ ‘บุตรสาวคนเดียวของหลัวจื้อเลี่ย’ ‘องค์หญิงแห่งเผ่าเลี่ยหยาง’ ‘บุตรสาวคนเดียวของราชาเลี่ย’ เห็นได้ชัดว่าสถานะของนางไม่ด้อยไปกว่าองค์ชายและองค์หญิงทั้งหลายแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น การที่นางไปสืบข่าวกับหลัวหมิงซีก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สะดวกมากกว่าซึ่งจะไม่กระตุ้นความสงสัยของคนอื่น ๆ

หลัวหมิงเฟยก็ส่งคนออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับเผ่าของหลัวอวิ๋นซีเช่นกันและตัวเขาตรงไปที่ห้องหนังสือเพื่อรวบรวมข้อมูล ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ตรงเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวขณะไตร่ตรองถึงสิ่งที่บุรุษชรากล่าวก่อนหน้านี้

“โม่เอ๋อร์ ท่านผู้เฒ่าคนนั้นคือ ‘เขา’ มิใช่หรือ ?”

หานโม่ฉือกล่าวขึ้นเบา ๆ และคาดเดาตัวตนของบุรุษชราผู้ลึกลับได้เช่นกัน ด้วยความสามารถอันยอดเยี่ยมเหนือมนุษย์และการที่มาหาเขาและฉินอวี้โม่โดยเฉพาะเช่นนี้ หากมิใช่ ‘ผู้เฒ่าคนนั้น’ ก็คงไม่มีใครอื่นอีกแล้ว

“ข้าก็คิดเช่นนั้น ข้าไม่คิดว่านอกจากเขาแล้วจะมีผู้ใดในดินแดนนี้ที่ทรงพลังมากเช่นนั้น ความแข็งแกร่งของท่านผู้เฒ่าคนนั้น เกรงว่ามันอยู่เหนือกว่าขอบเขตความเข้าใจของเราไปมากนัก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างจนปัญญาและยืนยันข้อสงสัยของหานโม่ฉือ

ข้อสันนิษฐานของทั้งสองไม่ผิดแม้แต่น้อย บุรุษชราผู้นั้นก็คือผู้เฒ่าเซียวเหยา—อาจารย์ผู้ลึกลับของฉินเทียนและกล่าวได้ว่ามีศักดิ์เป็นอาจารย์ของฉินอวี้โม่เช่นกัน

ผู้เฒ่าเซียวเหยา—บุคคลผู้ลึกลับที่สุดในดินแดน แม้แต่ฉินเทียนที่เป็นศิษย์ของเขาและติดต่อใช้เวลาด้วยกันอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่ทราบถึงพลังอำนาจที่แท้จริงของเขา ยิ่งไปกว่านั้นก็มิได้มีเพียงความแข็งแกร่งของผู้เฒ่าเซียวเหยาเท่านั้นที่เป็นปริศนา ทว่าถิ่นที่อยู่ของเขาก็เป็นปริศนาเช่นกัน มีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะทราบว่าเขาอยู่ที่ใด

การที่สามารถหายวับไปกับตาในขณะที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกำลังจับจ้องอยู่ได้และการที่เขากล่าววาจาเชิงเตือนสติที่เป็นเหมือนคำชี้แนะจากผู้อาวุโส เว้นเพียงแต่ผู้เฒ่าเซียวเหยา ก็คงไม่มีใครอื่นที่จะทำเช่นนี้ได้อีกแล้ว

“อาจารย์ของท่านพ่อมีพลังอำนาจที่เหนือธรรมชาติยิ่งนัก หากเขาลงมือด้วยตนเอง เกรงว่าฝ่ายมารก็ไม่สามารถต่อกรอะไรกับเขาได้ เพียงแต่ข้าไม่รู้เลยว่าเหตุใด เขาดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้และแทบไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในดินแดน บางทีอาจเป็นเพราะดินแดนนี้มีข้อจำกัดบางอย่าง เขาจึงทำได้เพียงช่วยเหลือเราด้วยวิธีนี้ทว่าไม่อาจลงมือทำสิ่งใดด้วยตนเองได้”

ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและตั้งข้อสันนิษฐานของตนเองขึ้นมา

ด้วยความแข็งแกร่งของผู้เฒ่าเซียวเหยา ฉินอวี้โม่ไม่สงสัยเลยว่าต่อให้นางและหานโม่ฉือจะพยายามอย่างสุดความสามารถ พวกนางก็ไม่อาจเทียบได้แม้กระทั่งปลายนิ้วของผู้เฒ่าเซียวเหยาด้วยซ้ำ ความแข็งแกร่งของบุรุษชราผู้นั้นเหนือยิ่งกว่าขอบเขตความรู้ความเข้าใจที่ฉินอวี้โม่มีเสียอีก

“ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น ทุกห้วงมิติล้วนมีข้อจำกัดพิเศษอยู่ ยอดฝีมือที่แกร่งกล้าอย่างผู้เฒ่าเซียวเหยาย่อมมีพลังมากพอที่จะทำลายสมดุลของห้วงมิติได้ หากเขาลงมือทำสิ่งใด จอมยุทธ์ทั้งหมดในพื้นที่นั้นก็ไม่ต่างจากเมฆล่องลอยที่มิอาจกีดขวางอะไรได้เลย”

หานโม่ฉือยกยิ้มมุมปากและกล่าวต่อ “บางทีอาจมีดินแดนอื่นนอกเหนือจากดินแดนเทพมายาและเป็นดินแดนที่อยู่ในระดับสูงกว่า เช่นที่ที่เจ้าจากมาก่อนหน้านี้ก็อาจเป็นดินแดนแห่งหนึ่ง ตอนนี้แม่ของเจ้าก็อาจอยู่ในดินแดนใดสักแห่งและใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยขณะพยายามหาทางกลับมาที่นี่”

“ก็อาจเป็นเช่นนั้น”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและไม่กล่าวสิ่งใดอีก

ทว่าในหัวใจของนางก็กำลังนึกถึงสิ่งที่เคยได้ทราบมาก่อนหน้านี้

ไม่ว่าผู้เฒ่าเซียวเหยาหรือบรรพชนเทพมายาก็เคยกล่าวไว้ว่าการเดินทางในเส้นทางนี้ของนางมิใช่เรื่องบังเอิญ และนางควรอยู่ที่นี่ด้วยความสบายใจโดยไม่ต้องคิดถึงชีวิตในอดีตอีก แม้กระทั่งก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าเซียวเหยาก็กล่าวว่าบางทีร่างกายนี้อาจจะมีไว้เพื่อช่วยให้นางข้ามผ่านเข้ามาในโลกนี้ก็เป็นได้

ฉินอวี้โม่รู้สึกอยู่เสมอว่าประสบการณ์ชีวิตของตนมิได้เรียบง่ายอย่างที่คิด และทุกสิ่งทุกอย่างที่นางต้องเผชิญล้วนเป็นสิ่งที่ถูกโชคชะตากำหนดไว้แล้ว

“อย่าคิดมากไปเลย ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดโดยที่ไม่จากไปไหน”

หานโม่ฉือเขย่ามือบางของคนรักข้างกายเบา ๆ เขาไม่สนใจว่าวันหนึ่งตนเองจะเปลี่ยนกลายเป็นพระหรือว่าเป็นมาร สิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือฉินอวี้โม่ผู้นี้จะอยู่ข้างกายเขาหรือไม่ ตราบใดที่มีฉินอวี้โม่อยู่ด้วย เขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าตนเองจะเปลี่ยนไปในด้านไหน

“ข้ารู้”

ฉินอวี้โม่เอนกายพิงอ้อมแขนของหานโม่ฉือและรอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏชัดเจนบนใบหน้า ไม่ว่าทางข้างหน้าจะราบเรียบหรือขรุขระ นางก็จะไม่นึกเสียใจ การได้มาเกิดใหม่ในดินแดนนี้และได้พบกับหานโม่ฉือคือความโชคดีที่สุดซึ่งนางไม่มีวันรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้แน่

ทั้งสองอิงแอบแนบชิดกันพักใหญ่ก่อนสั่วซีหย่าจะเดินกลับเข้ามาจากข้างนอก

“นายหญิง ข้าสืบข่าวมาแล้ว หลัวหมิงซีกล่าวว่าในอาณาเขตของเขาไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทางฝั่งของหลัวหมิงรุ่ย เขาก็พยายามสืบหาแล้วและไม่พบสิ่งใด ข้าคิดว่าสิ่งที่เราตามหาคงไม่อยู่ในอาณาเขตของพวกเขา”

ก่อนหน้านี้หลัวหมิงซีก็พยายามหลอกถามหลัวหมิงรุ่ยและพบว่าองค์ชายใหญ่ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าต้นโพธิ์คือสิ่งใด นอกจากนี้ก็ไม่เคยมีความผิดปกติใดที่เกิดขึ้นในเผ่าของเขา

“ดูเหมือนว่าตอนนี้สถานที่ที่เป็นไปได้มากที่สุดที่จะมีต้นโพธิ์อยู่ก็คือเผ่าของหลัวอวิ๋นซี”

ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้ก็เหลือเพียงเผ่าขององค์หญิงเล็กหลัวอวิ๋นซี ถึงแม้ว่าพวกนางจะยังไม่มั่นใจเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม จากเบาะแสที่รวบรวมมาได้ในตอนนี้ สถานที่ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือเผ่าของหลัวอวิ๋นซี

“อวี้โม่ โม่ฉือ ข้าเพิ่งพบข้อมูลที่น่าสนใจจากในห้องหนังสือ”

หลัวหมิงเฟยยิ้มและเดินเข้ามาเช่นกัน ดูเหมือนว่าเขาจะค้นพบบางอย่าง

ทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองตรงไปที่หลัวหมิงเฟยผู้ซึ่งเดินเข้ามาด้วยความสงสัยใคร่รู้

ครานี้หลัวหมิงเฟยมาพร้อมกับม้วนกระดาษฉบับหนึ่งในมือซึ่งไม่อาจทราบได้ว่าเนื้อหาในนั้นคือสิ่งใด ทว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่เขาค้นพบจากในห้องหนังสือ

“นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลัวอวิ๋นซีตั้งแต่ยังเด็กและเป็นสถานการณ์โดยปกติของเผ่านาง พวกท่านลองดูว่าพบสิ่งใดที่ผิดปกติหรือไม่”

เขากล่าวพร้อมยื่นม้วนกระดาษดังกล่าวให้กับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพื่ออ่านมัน

ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าขณะคลี่เปิดม้วนกระดาษและไล่สายตาอ่านมันอย่างคร่าว ๆ หลังจากอ่านจบ นางและหานโม่ฉือก็มองหน้ากันทันที

“เผ่าของหลัวอวิ๋นซีมีสิ่งผิดปกติอยู่จริง”

ในเวลานี้ทั้งสองก็ยืนยันได้ว่าต้นโพธิ์ที่ตามหาอยู่ในเผ่าของหลัวอวิ๋นซีจริง อย่างไรก็ตาม บางทีองค์หญิงเล็กก็อาจไม่ทราบด้วยซ้ำว่าต้นโพธิ์อยู่ในเผ่าของตน

เผ่าของหลัวอวิ๋นซีมีชื่อว่า ‘เผ่าเพียวเหมี่ยว’ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเผ่าที่ใหญ่ที่สุดและมีทรัพยากรมากที่สุดในหมู่เอลฟ์

ในเผ่าดังกล่าวมีอสูรมายาระดับสูงจำนวนมากและมีสมุนไพรวิญญาณระดับสูงอีกนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ ภายในทั่วทั้งชนเผ่าเอลฟ์ ที่นั่นก็ยังเป็นที่ที่มีสภาวะพลังหนาแน่นที่สุดนอกเหนือจากภูเขาเอลฟ์

หลัวอวิ๋นซีก็คู่ควรกับชื่อเสียงในฐานะยอดอัจฉริยะผู้ทรงพลังในชนเผ่าเอลฟ์จริง ๆ เมื่อนางอายุเพียงสิบสามปี นางก็ก้าวเข้าไปในขอบเขตเซียนได้แล้ว และในวัยสิบหกปี นางก็กลายเป็นจอมยุทธ์พสุธาเซียน ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอายุเพียงสิบแปดปี นางก็บรรลุถึงขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดซึ่งนับได้ว่าเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากอย่างยิ่ง

แม้ว่าหลัวอวิ๋นซีจะทุ่มเทฝึกวิชาอย่างหนักและมีพรสวรรค์ที่เหนือชั้น อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการพัฒนาที่รวดเร็วของนาง

กล่าวกันว่ามียอดเขาม่านหมอกอยู่ในเผ่าเพียวเหมี่ยวของนางและบนยอดเขาดังกล่าวมีเขตต้องห้ามซึ่งเป็นสถานที่ฝึกวิชาของหลัวอวิ๋นซี ภายในบริเวณดังกล่าวไม่เพียงแต่มีต้นไม้เติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์กว่าพื้นที่อื่น ๆ เท่านั้น ทว่ายังมีสภาวะพลังที่แทบไม่ด้อยไปกว่าภูเขาเอลฟ์เลย นอกจากนี้ที่นั่นก็ยังมีบ่อน้ำพุเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

บ่อน้ำพุดังกล่าวมีอิทธิฤทธิ์ที่วิเศษอย่างยิ่ง กล่าวกันว่าหากแช่อยู่ในนั้นนานเจ็ดวัน ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อพิษนับร้อย และหากแช่นานหนึ่งร้อยวัน คนผู้นั้นจะมีชีวิตยืนยาวมากขึ้น เรียกได้ว่ายิ่งแช่อยู่ในน้ำพุวิเศษดังกล่าวนานเพียงใด ความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นก็จะพัฒนาอย่างรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

และหลัวอวิ๋นซีก็ใช้เวลาฝึกยุทธ์ทั้งหมดอยู่ที่นั่นส่งผลให้ร่างกายของนางแตกต่างไปจากคนทั่วไป ความแข็งแกร่งของนางเรียกได้ว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ ของพี่น้องทั้งหกคนและมีพัฒนาการที่รวดเร็วยิ่งกว่าใคร

ในเวลาอีกไม่นาน คาดการณ์ได้ว่าความแข็งแกร่งของนางจะพัฒนาจนเหนือชั้นยิ่งกว่าองค์ชายทั้งหมดและกลายเป็นผู้ทรงพลังที่สุดในหมู่พี่น้อง

“เหอะ สถานที่วิเศษเช่นนั้นมีมานานแล้ว ทว่าเราไม่เคยสนใจมากนัก หลัวอวิ๋นซีก็ทำให้มันกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามในเผ่าและไม่มีทางที่ผู้ใดจะเข้าไปได้ อย่างไรก็ตาม หากข้าเดาไม่ผิด ต้นโพธิ์ที่เราตามหาคงอยู่ที่นั่น เป็นไปได้ว่ามันซ่อนอยู่ใต้บ่อน้ำพุที่ว่า มิฉะนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่บ่อน้ำพุจะมีอิทธิฤทธิ์ที่วิเศษเช่นนั้นได้”

หลัวหมิงเฟยกล่าวอธิบายพร้อมรอยยิ้ม พวกเขาไม่เคยให้ความสนใจกับที่นั่นมาก่อน แม้ทราบว่ามันเป็นที่ที่สามารถเร่งความเร็วในการฝึกยุทธ์ได้ พวกเขาก็ไม่เคยสนใจหรือพยายามสืบข้อมูลเกี่ยวกับมัน

บัดนี้เมื่อนึกถึงมันอีกครั้ง ที่นั่นก็วิเศษเหนือธรรมชาติอย่างแท้จริง อีกทั้งก็ยังประหลาดมากเช่นกัน หากต้องการตามหาต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นก็มีความเป็นไปได้มากที่สุด

ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและสั่วซีหย่าก็พยักศีรษะรับทราบขณะคิดเช่นเดียวกันว่ามันมีความเป็นไปได้สูง ถึงอย่างไรต้นโพธิ์และต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ก็เรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่วิเศษเหนือจินตนาการ

“หากอยู่ที่เผ่าของหลัวอวิ๋นซีจริง เกรงว่ามันคงเป็นปัญหาไม่น้อย แม่นางผู้นั้นมิใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย ๆ เลย”

สั่วซีหย่าส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและไม่สบอารมณ์นักเมื่อนึกถึงองค์หญิงไร้ยางอายผู้นั้น นางชำเลืองมองหานโม่ฉือและกล่าวกับตัวเองเบา ๆ ‘ยิ่งไปกว่านั้น แม่นางหลัวอวิ๋นซีนั่นก็สนใจสามีของนายหญิงอย่างออกนอกหน้า…’