ตอนที่ 2034 หญิงชรา โดย Ink Stone_Fantasy

น้ำเสียงแหบพร่าและเต็มไปด้วยความเกลียดชังรุนแรง เพียงมีเสียงดังออกมาจากใต้ลานกว้าง พื้นดินเริ่มสั่นไหวและเกิดรอยแตกร้าวกระจายเป็นวงกว้างและทำให้ลานแยกเปิดออกมา

ใจกลางลานกว้างพังทลาย เหล่าคนของอาณาเขตเต๋ารีบถอยและบางคนถึงกับทะยานลอยขึ้นไปในอากาศ

ลำแสงสีม่วงสายหนึ่งโผล่ออกมาจากหลุมในลานกว้างและพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มองไกลราวกับเสาขนาดยักษ์ที่สามารถค้ำจุนฟ้าดินได้ในคราเดียว

ทั่วทั้งวังหลวงถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วง แสงสีประกอบไปด้วยค่ายกลนับไม่ถ้วนราวกับค่ายกลอันยิ่งใหญ่เปิดใช้งาน

โลงศพสีม่วงค่อยๆ ลอยออกมาจากรอยแยกบนพื้นดิน โลงศพเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายแต่ก็เปล่งกลิ่นอายเก่าแก่ทรงพลังดึงดูดสายตาทุกคน โลงศพหมุนมาตั้งตรง ฝาโลงแตกกระจายเผยให้เห็นร่างคล้ายโครงกระดูกข้างใน

เป็นร่างชราผู้หนึ่ง พอมองออกว่าเป็นร่างหญิงชรา คล้ายกับนางเพิ่งปีนออกมาจากขุมนรก นางมีเส้นผมที่เหลืออยู่น้อยนิด สวมชุดคลุมสูงศักดิ์สีซีด ร่างกายสีดำสนิท

บนร่างกายมีมีดปักไว้สามเล่ม หนึ่งอยู่ตรงกลางหน้าผาก หนึ่งอยู่บนหน้าอกและอีกหนึ่งอยู่บนท้องน้อย

“ขอคารวะ บรรพชนจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์!” เหล่าผู้คนอาณาเขตเต๋าทั้งหมดคุกเข่าลงอีกครั้ง น้ำเสียงสอดประสานกันกลายเป็นคลื่นเสียงดังกึกก้องขึ้นมาทั่วบริเวณ

ผู้คนอาณาเขตเต๋าแสดงท่าทีเคารพเช่นเดียวกับที่ทำกับบรรพชนโบราณ แต่ละคนมีแววตาตื่นเต้น แสดงออกได้ว่าหญิงชราผู้นี้เป็นคนที่พิเศษ!

ท่ามกลางจักรพรรดิเต๋ารุ่นก่อนๆ มีคนเดียวที่ถูกเรียกว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์!

พอซวนลั่วเห็นหญิงชรา เขานึกย้อนไปถึงอดีต จึงถอนหายใจและมีสีหน้าท่าทางซับซ้อน

“เย่เว่ย…”

หวังหลินยังยืนอยู่ในท้องฟ้า สีหน้าท่าทางสงบนิ่ง เขาไม่ประหลาดใจที่นางปรากฏตัว ความจริงตอนที่ร่างเงาบรรพชนโบราณปรากฏขึ้นมา หวังหลินสัมผัสกลิ่นอายกึ่งมีชีวิตกึ่งตายนี้ได้แล้ว

แม้เขาไม่สามารถสังเกตกลิ่นอายนี้ได้ หวังหลินก้ไม่ประหลาดใจเพราะในงานเลี้ยงมีโต๊ะสี่ตัวอยู่ใกล้วังหลวงมากที่สุด

โต๊ะทั้งสี่ตัวถูกเตรียมไว้ให้กับมหาชั้นฟ้า ราชครูและพ่อของจักรพรรดิซึ่งคือจักรพรรดิคนก่อน แต่มีแค่สามคนเท่านั้นและเตรียมโต๊ะไว้สี่ตัว นั่นแปลว่าคนผู้นี้มีสถานะสูงลิ่วและแม้จะไม่มาก็ยังมีโต๊ะหนึ่งตัวถูกเตรียมไว้

ส่วนคนผู้นี้จะเป็นใคร หวังหลินไม่ทราบ ทว่าหลังจากเห็นหญิงชราผู้นี้และได้ยินซวนลั่วพูดว่า “เย่เว่ย” เขาจึงนึกออกอันที ตอนที่มาอาณาเขตเต๋าครั้งแรก หวังหลินได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของจักรพรรดิเต๋ารุ่นก่อนไว้บ้าง

ในประวัติศาสตร์อาณาเขตเต๋าหลายหมื่นปี มีสตรีผู้หนึ่ง เป็นสตรีคนเดียวที่ได้กลายเป็นจักรพรรดิเต๋า!

การสืบทอดตำแหน่งของนางทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วอาณาเขตเต๋า หลังจากอดทนต่อข้อครหาจากเหล่าผู้คน มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวได้ส่งประกาศิตกล่าวถึงการยอมรับนาง เรื่องนี้จึงทำให้ทุกอย่างสงบลง

นางเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลราชวงศ์ด้วยเช่นกัน ตอนนั้นอาณาเขตเต๋าแทบจะรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดและกลายเป็นอาณาเขตที่แข็งแกร่งที่สุดในสามอาณาเขตภายใต้การนำของนาง ทว่าหลังจากนางลงจากตำแหน่ง อาณาเขตเต๋าจึงได้กลายเป็นอาณาเขตที่อ่อนแอที่สุดไปอีกหลายหมื่นปีต่อมา

เนื่องจากคุณงามความดีของนางต่ออาณาเขตเต๋าและการนำอาณาเขตเต๋าเข้าไปข่มอาณาเขตฉีและอาณาเขตจวี่ นางจึงถูกกล่าวขานกันว่าเป็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จากเหล่าจักรพรรดิรุ่นหลัง

นางยังถูกอ้างจากเหล่าประชากรอาณาเขตเต๋าว่าเป็นบรรพชนจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์!

ชื่อของนางคือเย่เว่ย…พอหวังหลินได้ยินชื่อนี้ จึงนึกย้อนทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับนาง

และหวังหลินยังได้ศึกษาจากบันทึกในช่วงยุคของนางว่าอาจารย์ของนางในตอนนั้นคือซวนลั่ว และซวนลั่วได้กลายเป็นมหาชั้นฟ้า

ทั้งหมดแล่นวาบผ่านสมองหวังหลิน เขามองร่างโครงกระดูกคล้ายหญิงชราที่ก้าวเดินออกมาจากโลงศพและมีแววตาเป็นประกายเย็นเยียบ

ตอนที่ซ่งจื่อเห็นนาง นางรู้สึกหวาดกลัว หวังหลินออกแรงขึ้นเล็กน้อยเพื่อจับนางให้แน่นๆ

หญิงชรามองหวังหลินและเอ่ยน้ำเสียงแหบพร่า “ทิ้งศีรษะบรรพชนเทพและวิญญาณจักรพรรดิเทพไว้ ข้าจะประกาศว่าเจ้าไม่มีความผิด! ไม่เช่นนั้นแม้เจ้าจะยืมพลังของบรรพชนโบราณและอัญเชิญร่างเงาของเขามา เจ้าคิดหรือว่าวังหลวงแห่งนี้เป็นที่ที่เจ้าเข้ามาหรือออกไปได้ตามใจ!?” กลิ่นอายแห่งความตายที่ออกมาจากร่างของนางคล้ายกับรุนแรงยิ่งขึ้น

หญิงชรามองหวังหลินและพูดด้วยน้ำเสียงมืดมน “ระดับบ่มเพาะของข้าไม่ได้ทรงพลังเท่าของเจ้า แต่ที่นี่คือวังอาณาเขตเต๋า ซึ่งมีมหาค่ายกลหมื่นแบบ ค่ายกลนี้ถูกบรรพชนโบราณวางเอาไว้ และจักรพรรดิแต่ละรุ่นสามารถเปิดใช้พลังออกมาได้เพียงประมาณสองหรือสามในสิบส่วนเท่านั้น แต่ด้วยที่ร่างข้าผสานกับค่ายกล ตราบใดที่ข้าอยู่ในวัง ข้าจะไม่ตายและเปิดใช้งานพลังของค่ายกลได้ถึงเจ็ดในสิบส่วน!”

หวังหลินมีสีหน้าสงบนิ่งแต่แววตาเย็นเยียบรุนแรง

“หากเจ้าต้องการได้ของของข้า เจ้าก็มาลองเอาไปสิ!” หวังหลินพูด จากนั้นดวงตะวันมหาชั้นฟ้าปรากฏขึ้นมา แสงสีขาวและดำส่องประกาย เรือนผมหวังหลินเคลื่อนไหวโดยไม่มีแรงลม ร่างเงาบัญชาโบราณที่ดูคล้ายกับเขาปรากฏขึ้นด้านล่างดวงตะวันมหาชั้นฟ้า

ร่างเงาบัญชาโบราณตนนี้คล้ายกับแบกดวงตะวันมหาชั้นฟ้าไว้ด้านบน มองหญิงชราด้วยความเย็นเยียบ

หวังหลินสามารถเผาโลหิตวิญญาณในร่างกายเพื่ออัญเชิญร่างเงาบรรพชนโบราณออกมาได้ครั้งเดียว เขาเพิ่งใช้มันออกไป ดังนั้นโลหิตวิญญาณจึงกระจายไปทั่วร่าง ซึ่งจะต้องใช้เวลากว่าจะรวบรวมมาจุดปะทุได้อีกครั้ง

แววตาของหญิงชราส่องสว่างขึ้นมาและยกแขนกระดูกขึ้น ขณะที่นางกำลังจะบีบ มีเสียงถอนหายใจดังออกมาจากซวนลั่ว

เสียงถอนหายใจดังเข้าหูของหญิงชราและทำให้ฝ่ามือสั่นเทา

“เย่เว่ย…เขาคือศิษย์ข้า” ซวนลั่วมองหญิงชราด้วยสีหน้าซับซ้อนแต่แฝงแววตาอ่อนโยน ราวกับหญิงชราเบื้องหน้าไม่ใช่คนน่าเกลียดอันใดเลยและยังคงสวยงามดังเช่นอดีต

หญิงชราขบคิดชั่วขณะและจากนั้นมองซวนลั่ว สายตามืดมนของนางมีท่าทีอันซับซ้อน นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เขาเคยเป็นศิษย์ท่าน”

“ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเย่ต้าว ตอนที่เขายังเด็กถึงกับบังเอิญเข้าไปในตำแหน่งที่เจ้าปิดด่านบ่มเพาะโดยไม่ได้ตั้งใจ และเจ้าคิดว่านั่นเป็นโชคชะตาระหว่างเจ้ากับเด็กคนนั้น…”

“เห็นชัดว่าข้าไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะเป็นคนดี นิสัยของเขาโอหังเกินไปและไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น เดิมทีข้าไม่ได้ต้องการเลือกเขาเป็นจักรพรรดิ แต่เขามีกลิ่นอายของเจ้า ดังนั้นข้าจึงเลือกเขา”

“วันนี้เขาบังคับให้ศิษย์คนเดียวของข้าตัดความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ และตอนนี้เขาไม่สามารถอยู่ในอาณาเขตเต๋าได้แล้ว เจ้าคิดว่าเย่ต้าวทำถูกต้องแล้วหรือไม่?”

“ในฐานะจักรพรรดิ เขาควรทำแบบนี้หรือไม่!? เจ้าคิดจริงๆหรือว่าค่ายกลนี้จะกักขังหวังหลินได้?!” ท้ายที่สุดซวนลั่วก็เริ่มคำราม สายตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเมื่อเขามองมาที่หวังหลิน ความเจ็บปวดยิ่งทิ่มแทงหัวใจ

เขาไม่มีวันลืมรอยยิ้มที่เป็นการร้องไห้นั้น จากนั้นก็คุกเข่า ตามมาด้วยฝ่ามือที่หวังหลินใช้ปลิดชีวิตตัวเองเพื่อตัดขาดความสัมพันธ์

เขาเข้าใจดีว่าตำแหน่งในฐานะอาจารย์ของหวังหลินได้หายไปตอนที่ร่างหวังหลินแตกสลาย

หญิงชราขบคิดเงียบๆ ครู่ต่อมานางจึงพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“เจ้าเด็กเย่ต้าวสมควรตายจริงๆ แต่ในฐานะจักรพรรดิ เขาไม่สามารถตายเปล่าได้ วันนี้หากหวังหลินไม่ทิ้งศีรษะบรรพชนเทพและวิญญาณจักรพรรดิเทพ ข้าจะเป็นคนเริ่มสงครามเอง! นอกจากนั้นข้าไม่เชื่อว่าค่ายกลนี้จะไม่สามารถกักขังเขาไว้ได้!”

วินาทีที่นางกล่าวจบ หวังหลินเริ่มหัวเราะ สายตาเย็นเยียบกลายเป็นประหลาดใจ เขายกแขนขวาขึ้นมา แผ่กระจายเต๋าแปดสุดขั้วของบรรพชนเทพ

ควันสีเขียวคือเต๋าเพลิงสุดขั้ว!

ระลอกคลื่นสีฟ้าคือเต๋าวารีสุดขั้ว!

แสงสีทองคือเต๋าโลหะสุดขั้ว!

หวังหลินศึกษาแปดสุดขั้วของบรรพชนเทพได้หกแบบที่บททดสอบชั้นฟ้า เพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ เต๋าสุดขั้วหกแบบปรากฏขึ้นทีละหนึ่ง

นอกจากวารี เพลิงและโลหะ ยังมีไม้และปฐพี หลังจากธาตุทั้งห้าสมบูรณ์ เต๋าที่หกคือเต๋าแห่งชีวิตและความตายสุดขั้ว!

ส่วนเต๋ามั่งคั่งสุดขั้วแบบที่เจ็ดและเต๋านภาสุดขั้วแบบสุดท้าย แม้หวังหลินจะไม่ได้มาแต่ก็สัมผัสได้ เพียงแค่มีเวลาพอ ไม่มีทางที่เขาจะไม่สามารถเชี่ยวชาญมันได้

จังหวะที่วิชาของบรรพชนเทพปรากฏออกมา หวังหลินยกนิ้วชี้ขวาขึ้น แสงสีเงินปรากฏและวิชาดัชนีของบรรพชนโบราณก่อเกิดเป็นรูปร่าง

การกระทำของหวังหลินทำให้หญิงชราต้องหรี่สายตาแคบลง นางคิดว่าด้วยการโจมตีจากพลังของค่ายกล แม้แต่มหาชั้นฟ้ายังมีโอกาสรอดเพียงแค่สามในสิบส่วน

หวังหลินก็อาจตายเพราะค่ายกลนี้ไปเช่นกัน

ทว่านางเกิดความลังเล นางจ้องมองเต๋าสุดขั้วทั้งหกรอบตัวหวังหลินและรู้สึกถึงพลังทำลายล้างชัดเจนข้างใน

ยังมีดัชนีบรรพชนโบราณอีก นางไม่ได้โผล่ตัวออกมาก่อนหน้านี้แต่สัมผัสถึงพลังของดัชนีบรรพชนโบราณได้ นางคิดว่ามันถูกสร้างขึ้นจากหินหยกแต่ตอนนี้พบแล้วว่าหวังหลินสามารถใช้ได้ด้วยตัวเอง

ขณะที่นางลังเล หวังหลินเยาะเย้ย เรือนผมค่อยๆ เปลี่ยนจากครึ่งขาวครึ่งดำไปเป็นสีดำสนิท จิตสังหารมหึมาแผ่กระจายออกมาจากร่างกาย

สีหน้าหญิงชราเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“เย่เว่ย! ข้าสัญญาว่าจะปกป้องเจ้า…คุ้มกันอาณาเขตเต๋าไปชั่วชีวิต…ข้าเหนื่อย…ปล่อยเขาไป เจ้าไม่ใช่คู่ต่อกรของเขาและค่ายกลนี้ก็หยุดเขาไม่ได้ ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่…” ซวนลั่วมีใบหน้าแก่ชราขึ้นมา แต่พอเขามองหญิงชรา ยังมีความอ่อนโยนที่ไม่เปลี่ยนไปตลอดหลายปี

นางขบคิดอยู่นานก่อนจะสะบัดแขนและให้แสงสีม่วงรอบวังหลวงสูญสลายไป

หวังหลินมองซวนลั่วและถอนหายใจ พอค่ายกลหายไปเขาจึงกอดซ่งจื่อที่ได้ผสานกับวิญญาณของลี่มู่หวาน ล่องลอยขึ้นไปในท้องฟ้า ขณะที่ลอยขึ้นไปเขาพลันเห็นชายร่างกำยำท่ามกลางคนของอาณาเขตเต๋าด้านล่างมองขึ้นมาหาเขาด้วยรอยยิ้ม

สายตาหวังหลินประสานกับชายร่างกำยำ หวังหลินหยุดชะงักทันที

“เป็นเจ้า…”

………………………………………………………..