ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 80 การโหมโรงเล็กน้อยของเหตุการณ์ใหญ่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

กวนเฟยไป๋มีลักษณะนิสัยเยือกเย็นโหดเหี้ยม แต่ก็ใจร้อนรุนแรง ไม่มีทางที่เขาจะทนรับการเย้ยหยันจากถังซานสือลิ่วได้ จึงตะโกนกลับไป “เจ้าขยะที่รู้จักแต่ใช้เงินของตระกูลกลับกล้าพูดจาดูถูกหลีซานของข้า!”

ถังซานสือลิ่วเย้ย “ตระกูลข้ามีเงินมากมาย และมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า นอกจากนี้ ปีก่อนข้าใช้เวลาแค่สามวันก็ซื้อหอเฉิงหูได้ ข้าต้องเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังหรือไม่”

กวนเฟยไป๋พ่นลมอย่างเย็นชาและกล่าว “เช่นนั้นเรื่องของสำนักกระบี่หลีซานของข้ากับเจ้าลูกหมาป่าก็ไม่ใช่ธุระห่าเหวอะไรของเจ้า หากเจ้ามีเวลาว่างมากนักทำไมไม่เรียนรู้เพลงกระบี่เพิ่มอีกสักท่าสองท่า ไม่เช่นนั้นหลานชายคนเดียวของตระกูลถึงอันยิ่งใหญ่ทำไมถึงได้ไม่ติดอันดับในประกาศเตี่ยนจิน”

สีหน้าถังซานสือลิ่วลุกโชนขึ้นด้วยคำพูดนี้ ต้องรู้ว่าการที่เขาไม่ติดอันดับในประกาศเตี่ยนจินนั้นเป็นความเสียใจอย่างที่สุดของเขา แม้ว่าจะพบว่าเจ๋อซิ่วกับซูม่ออวี่ไม่ติดอันดับเหมือนกันจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น ก็ต้องบอกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้กลับมีชื่ออยู่ในประกาศ

เขากัดฟันตอบโต้กลับ “เจ้าเอาแต่พูดแล้วก็พูด แต่มีแค่เรื่องเหลวไหลทั้งนั้น! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาห้ามความสัมพันธ์ระหว่างเจ๋อซิ่วกับชีเจียน หากเจ้ามีเวลาว่างมากนัก แล้วยังเหนือกว่าจงฮุ่ยไม่ได้เจ้าก็ควรไปฝึกทำกับข้าวเพิ่ม! ขนาดเนื้อแห้งผัดพริกไทยสดเจ้ายังเติมน้ำตาลลงไป! สมองเจ้าเสียหายหรือชาวใต้มีวิธีทำกับข้าวที่แปลกประหลาดกันแน่”

“นอกจากเฉินฉางเซิงแล้ว มีใครทำกับข้าวเก่งบ้าง”

กวนเฟยไป๋คำรามด้วยความโกรธ “อย่ามาพูดเรื่องทำกับข้าว แค่ล้างจานเจ้ายังทำแตกไปเจ็ดในสิบใบ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าข้าทำกับข้าวไม่เป็น”

ที่พวกเขาพูดกันในตอนนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่พวกเขาทั้งหมดใช้ชีวิตร่วมกันในกระท่อมที่สวินเหมยทิ้งไว้ ตอนที่ไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เพื่อทำความเข้าใจเต๋าในสุสานเทียนซู

ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักฝึกหลวงกับสำนักกระบี่หลีซานนั้นค่อนข้างซับซ้อน ยากที่จะบรรยายสั้นๆ ได้ โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ของผู้เยาว์ในรุ่นนี้

ไม่ว่าจะพูดเรื่องการหมั้นหมาย ความสัมพันธ์ระหว่างชิวซานจวินผู้โด่งดังกับสวีโหย่วหรง หรือการแข่งขันระหว่างทั้งสองฝ่าย นับจากการชุมนุมไม้เลื้อยจนถึงการสอบใหญ่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นทั้งสองฝ่ายย่อมเป็นคู่แข่งหรือถึงขนาดเป็นศัตรูกัน แต่ในสุสานเทียนซู ทั้งสองฝ่ายกลับอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน มองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์และทำความเข้าใจร่วมกัน ด้วยประสบการณ์ร่วมกันนี้ ความเป็นศัตรูก็ค่อยๆ จางลงและเริ่มมีความคุ้นเคยกันมากขึ้น หลังจากเฉินฉางเซิงคุ้มครองซูหลีเดินทางหมื่นลี้ลงใต้ก็พัฒนามิตรภาพให้กับทั้งสองฝ่ายขึ้นเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังเป็นผู้เยาว์ เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ คนหนุ่มแห่งสำนักฝึกหลวงกับเจ็ดคำโครงแดนเทพของสำนักกระบี่หลีซานนั้นเป็นคนรุ่นเยาว์ที่ได้รับความคาดหวังสูงสุดและถูกนำมาเปรียบเทียบกันอยู่บ่อยๆ การแข่งขันระหว่างพวกเขาจึงถูกกำหนดไว้มานานแล้ว ใครจะยอมรับว่าตนเองนั้นอ่อนแอกว่าเล่า

บรรยากาศภายในบ้านนั้นตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อการถกเถียงระหว่างถังซานสือลิ่วกับกวนเฟยไป๋นั้นดังขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจนถึงที่สุดแล้วทั้งสองฝ่ายจะยังคงรักษาเหตุผลเอาไว้ได้ โดยเฉพาะถังซานสือลิ่วที่ไม่ทำกับกวนเฟยไป๋เหมือนกับที่เขาทำกับพวกสำนักไม้เลื้อยอื่น ลามปามไปถึงบรรพบุรุษสิบแปดชั่วคนของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่กระนั้นการโต้เถียงครั้งนี้ก็จุดไฟให้ลุกโพลง

หน้าของกวนเฟยไป๋ขาวซีด ไม่ใช่เพราะว่าเขาใช้แป้งทาหน้าหรือเพราะอาการบาดเจ็บ แต่เป็นเพราะเขาโกรธ “ศิษย์พี่ ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าอยากจะท้าประลองเขาในการประชุมใหญ่จู่สือ!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหลียงปั้นหูก็สีหน้าเป็นประกาย ต้องรู้ว่าก่อนที่จะมาโก่วหานสือได้บอกพวกเขาว่าถึงแม้สำนักกระบี่หลีซานกับสำนักฝึกหลวงจะไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมสาบานกัน แต่หาได้เป็นศัตรู ดังนั้นในการประชุมใหญ่จู่สือ เว้นแต่จะมีความจำเป็นจริงๆ จึงให้เลี่ยงการต่อสู้กันเองให้มากที่สุด

ถังซานสือลิ่วเองก็อารมณ์ขึ้น ร้องตะโกน “เฉินฉางเซิง เจ้าอาจทนได้แต่ข้าทนไม่ได้! ในการประชุมใหญ่จู่สือ ข้าจะต้องทุบตีเจ้าหมอนี่ให้กลายเป็นหมูสับ!”

เมื่อเขาพูด ทุกคนก็หันไปมองโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิง

พวกเขาจึงได้รู้ว่าโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงไม่อยู่ในห้อง

“พวกเขาอยู่ไหน” ถังซานสือลิ่วถามอย่างประหลาดใจ

“พวกเขาไปแล้ว” เจ๋อซิ่วตอบ เขาหันไปหากวนเฟยไป๋และกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ในการประชุมข้าจะท้าเจ้าประลอง”

กล่าวจบเขาก็หันกลับและออกจากบ้านไป

กวนเฟยไป๋ยืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมีปฏิกิริยา เขามองหลังของเจ๋อซิ่วและกล่าวเย้ย “เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือ”

ถังซานสือลิ่วที่อยู่ด้านข้างเย้ยกลับ “ถ้าเจ้าไม่กลัวเขาแล้วทำไมถึงยังยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ไม่ทำอะไรเลย”

กวนเฟยไป๋ตอบกลับอย่างฉุนเฉียว “หากเจ้ามีความสามารถ ทำไมไม่ก้าวออกมา! เมื่อครู่ก็เรียกหาเฉินฉางเซิง ต่อมาเจ้าก็ปล่อยให้เขาไป เจ้ารู้จักอายบ้างไหม”

ถังซานสือลิ่วสีหน้าไม่เปลี่ยนเมื่อยามตอบกลับไป “ข้าไม่สนเรื่องหน้าตา ข้าจะรู้จักคำว่า ‘อาย’ ได้อย่างไร ไม่เชื่อหรือ ลองกัดข้าดูสิ”

……

……

เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือเดินออกจากห้องมานานแล้ว เดินขึ้นระเบียงสูงยืนอยู่ริมรั้วกั้นและมองดูทะเลสาบ

เฉินฉางเซิงรู้ดีว่าการปะทะคารมในบ้านนั้นไม่มีทางจบลงในเวลาอันสั้น และมันก็ไม่มีความหมายอะไร อยู่ไปก็มีแต่จะรำคาญหูเท่านั้น

“ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องด้วย” เฉินฉางเซิงหันมาถามโก่วหานสืออย่างจริงจัง “ลูกครึ่งมนุษย์ปีศาจมักถูกเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจนแต่ข้ารู้ดีว่าสำนักกระบี่หลีซาน…อย่างน้อยก็ผู้อาวุโสซูหลีไม่ใช่คนแบบนั้น เหตุใดเขาต้องขัดขวางการแต่งงานนี้ด้วย”

โก่วหานสือรู้ว่าเฉินฉางเซิงเป็นคนตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง หากไม่มีเหตุผลเพียงพอ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะโน้มน้าวเขา ดังนั้นจึงตอบไปอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน “เจ๋อซิ่วนั้นไม่อาจมีชีวิตยืนยาว”

เฉินฉางเซิงคิดหาเหตุผลมากมาย และด้วยความช่วยเหลือของสวีโหย่วหรง เขาก็ได้ยินข้อโต้แย้งที่คล้ายคลึงกันแต่เขาไม่คาดคิดเลยว่า…แท้จริงแล้วจะเป็นเช่นนี้

“ร่างกายเจ๋อซิ่วนั้นมีปัญหาซ่อนอยู่จริง แต่ก็สามารถรักษาได้อย่างแน่นอน”

เขาได้รักษาเจ๋อซิ่วมาเป็นเวลานานแล้ว และก็ยังคงรักษาอยู่ในตอนนี้ เขารู้ว่าโรคประหลาดอย่างทันใดใจคิดนั้นรักษายากมาก อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์มากมายที่เขาได้เรียนรู้มาจากเส้นลมปราณของลั่วลั่วกับเสวี่ยหยวนผ้อ เขาเชื่อว่าในไม่ช้าไม่นานเขาก็จะสามารถหาวิธีที่เหมาะสมมารักษาได้

โก่วหานสือมองดูเขาอย่างประหลาดใจและกล่าว “เจ้ารู้เช่นนั้นหรือ”

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าได้เริ่มรักษาเขาไปแล้ว”

โก่วหานสือครุ่นคิดจากนั้นก็ส่ายหน้า “อาจารย์ปู่บอกแล้วว่าเขาจะตายตั้งแต่หนุ่ม เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะรักษาเขา”

เฉินฉางเซิงแย้ง “ในแง่มุมอื่นข้านั้นด้อยกว่าผู้อาวุโสซูหลี แต่เขาสู้ข้าไม่ได้ในเรื่องนี้”

โก่วหานสือคิดถึงอาจารย์ของเขาที่เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วและตระหนักว่านี่เป็นเรื่องจริง

ในตอนนี้ นามของนักพรตจี้นั้นไม่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเท่าไร ทว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน เขาคือหมอที่มีชื่อก้องโลก

อย่าว่าแต่การที่ตัวจริงของเขาคือเจ้าสำนักซางแห่งสำนักฝึกหลวง

“เจ้าอาจโน้มน้าวข้าได้ แต่เรื่องนี้เจ้าต้องโน้มน้าวอาจารย์ปู่เป็นคนแรก ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจยอมให้เจ๋อซิ่วมายังหลีซานเพื่อพบนางได้” โก่วหานสือเตือน

เฉินฉางเซิงตอบ “จำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ พวกเขาเพียงแค่พบกัน ข้ารับประกันว่าจะไม่มีอย่างอื่นเกิดขึ้น”

โก่วหานสือมองเขาและกล่าวอย่างสุขุม “นั่นคือเขาหลีซาน สำนักแห่งกระบี่ทั้งหลาย อย่าได้คิดถึงเรื่องการหนีตามกันแบบในนิยาย”

พวกหนุ่มๆ ในสำนักฝึกหลวงคิดถึงทางออกนี้จริงๆ และถึงกับลอบทำการเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว การถูกเปิดโปงในประโยคเดียวเช่นนี้เฉินฉางเซิงจึงอดรู้สึกอับอายไม่ได้

“หากเจ้ามั่นใจว่าเจ้าสามารถรักษาอาการป่วยของเจ๋อซิ่วได้ ทำไมไม่รอจนเจ้ารักษาเขาหายแล้วค่อยพูดเรื่องนี้กัน”

โก่วหานสือกล่าวคำถามที่สำคัญยิ่งออกมา

เฉินฉางเซิงตอบ “ช้ำรักก็เป็นการป่วยอย่างหนึ่ง เจ๋อซิ่วยังคงไม่เป็นไรแต่ชีเจียนเล่า”

โก่วหานสือจำเสียงตะโกนขุ่นเคืองของศิษย์น้องในคืนนั้นได้และไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร หลังจากผ่านไปนานเขาก็กล่าว “ข้าจะนำคำของเจ้าไปบอกนาง”

เฉินฉางเซิงรู้สึกโล่งอกอยู่บ้าง คิดในใจ ตราบใดที่นางยึดมั่นในความหวัง ชีเจียนย่อมมีชีวิตอยู่บนหลีซานได้ง่ายขึ้น

……