ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 81 ที่นี่ก็มีหินดำเช่นกัน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เมื่อไม่เห็นด้วย นอกจากหยุดพูดก็คือต้องเปลี่ยนเรื่องพูด เฉินฉางเซิงไม่เก่งเรื่องพูด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโก่วหานสือจะไม่เก่งด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีเรื่องที่ต้องการจะให้เฉินฉางเซิงตอบอีกด้วย “ผู้ที่บุกเข้าหานซานเป็นคนผู้นั้นจริงหรือ”

เฉินฉางเซิงพยักหน้า

โก่วหานสือเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อจัดการกับความตกใจที่เกิดขึ้น เขาถอนหายใจ “ราชามารมาด้วยตัวเองแล้วเจ้ายังสามารถรอดชีวิตมาได้ เจ้าต้องได้รับโชคครั้งใหญ่ในอนาคต”

เฉินฉางเซิงส่ายหน้า เขารู้ดีว่าราชามารมายังหานซานเพื่อกินเขา หากแค่ต้องการสังหารเขา…ไม่มีทางที่เขาจะรอดชีวิตมาได้

เสียงโต้เถียงที่ดังเป็นระยะๆ เสมือนเสียงปะทะกระบี่ดังออกมาจากบ้านริมทะเลสาบอยู่เนืองๆ

บนระเบียงสูง เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือยืนคู่กัน เสื้อผ้าพลิ้วไหวไปตามสายลม

บนหินไกล จงฮุ่ยมองมาทางพวกเขาอยู่เงียบๆ คิดบางอย่างอยู่ในใจ

ริมทะเลสาบ ผู้บำเพ็ญเพียรจากหลายสำนักมองมายังเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือ มีบางคนที่มองมาทางจงฮุ่ย

ครั้นได้เห็นภาพนี้ ได้เห็นผู้เยาว์เหล่านี้ ทั้งยอดฝีมือจากหอความลับสวรรค์และผู้อาวุโสจากสำนักต่างๆ ล้วนแต่รู้สึกตื้นตันอยู่ลึกๆ ในใจ

สองปีที่ผ่านมา มีผู้เยาว์ซึ่งมีอัจฉริยภาพในการบำเพ็ญโดดเด่นปรากฏขึ้นมากมายบนต้าลู่

เฉินฉางเซิงและโก่วหานสือ เด็กน้อยสองคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่ในบ้าน และจงฮุ่ยที่ยืนบนก้อนหิน ไม่ต้องพูดถึงสวีโหย่วหรงกับชิวซานจวิน

ในเวลาเพียงไม่กี่ปีนี้ มีอัจฉริยะรุ่นเยาว์เกินขึ้นมากมาย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก นอกจากยุคของหวังผ้อ…ต่อให้ยุคของหวังผ้อตอนที่เขายังเยาว์ ก็ยังไม่น่าทึ่งเท่ากับผู้เยาว์พวกนี้ หากจะเทียบกันแล้วบางทีอาจต้องย้อนกลับไปยังยุคแห่งความเกรียงไกรเมื่อหนึ่งพันปีก่อน

ช่างเป็นยุคแห่งดอกไม้ป่าเบ่งบานอย่างแท้จริง

“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อผ่านไปอีกหลายปี ใครในกลุ่มผู้เยาว์นี้จะโดดเด่นที่สุด”

“ไม่ว่าจะเป็นใครที่โดดเด่นที่สุด ในสายตาข้าพวกเขาต่างก็ต้องขอบคุณเฉินฉางเซิง”

“ทำไม”

“เพราะว่าคืนแห่งดวงดาวที่สุสานเทียนซูช่วยให้พวกเขาทะลวงผ่านด่านที่ยากที่สุด”

การสนทนาหยุดลงและฉากนี้ก็เงียบลงอีกครั้งหนึ่ง

ผู้อาวุโสจากสำนักต่างๆ และยอดฝีมือของหอความลับสวรรค์นึกถึงภาพการเสี่ยงตายในยามที่พวกเขาและเพื่อนร่วมรุ่นพยายามทะลวงเข้าสู่ขั้นทะลวงอเวจี ครั้นพวกเขามองไปทางเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์อีกครั้ง สายตาก็มีความซับซ้อน บรรจุไว้ซึ่งความชื่นชมและอิจฉา และทั้งหมดนี้เป็นเพราะเฉินฉางเซิง

……

……

การประชุมใหญ่จู่สือถูกเลื่อนไปเปิดขึ้นอย่างเป็นทางการในวันธรรมดาที่ไม่มีอะไรโดดเด่นตอนปลายฤดูร้อน ท่ามกลางศาลาที่ถูกประดับประดาอย่างหรูหราริมทะเลสาบ ด้วยการปรากฏตัวของราชามารในหานซาน บรรยากาศจึงค่อนข้างอึดอัด ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกันในอดีต คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาร่วมน้อยมาก จึงลดความน่าสนใจลงไปน้อย

สิบยอดฝีมือบนประกาศเซียวเหยาไม่มาเข้าร่วมแม้แต่คนเดียว บางทีพวกเขาอาจเป็นเหมือนกับฮว่าเจี่ยเซียวจางและคิดว่าการประชุมใหญ่จู่สือนั้นเป็นเรื่องว่างเปล่า หรือบางทีพวกเขาเป็นเหมือนกับเหลียงหวังซุนและไม่อาจมาด้วยสาเหตุมากมาย ที่น่าเศร้าที่สุดก็ยังคงเป็นยอดฝีมือเผ่าปีศาจเสี่ยวเต๋อ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากราชามาร จึงถูกส่งกลับไปยังเมืองไป๋ตี้เมื่อไม่หลายวันก่อน

โชคยังดี นิกายหลวงได้ส่งกลุ่มคนที่น่าทึ่งอย่างมากมาครั้งนี้ นอกจากว่าที่สังฆราชอย่างเฉินฉางเซิง ก็ยังมีมุขนายกอีกสองคน เหมาชิวอวี่กับราชันย์แห่งหลิงไห่ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จากแดนใต้สวีโหย่วหรงก็มาด้วยตัวเอง นี่ก็เพียงพอจะกู้หน้าให้กับหอความลับสวรรค์ และยังช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางไกลมาร่วมงานประชุมใหญ่จู่สือ

ผู้เฒ่าความลับสวรรค์นั่งในฐานะเจ้าภาพอยู่ตรงกลาง ด้วยฐานะที่สูงส่งของสวีโหย่วหรง นางจึงได้นั่งอยู่ที่ด้านขวาของเขา ซ่อนใบหน้าอยู่ใต้ผ้าคลุมหลายชั้น และเฉินฉางเซิงนั้งตรงข้ามกับนางอยู่อีกฝั่งหนึ่ง สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลาย ผู้เฒ่าความลับสวรรค์นั้นมีฐานะสูงส่งและลึกลับอย่างยิ่ง วันนี้ พวกเขาได้เห็นผู้เฒ่าความลับสวรรค์ด้วยตาตัวเอง เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกว่าเป็นโอกาสอันมีค่ามาก แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังคงจับจ้องไปที่เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง

สายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความคารวะ ความโหยหา และแน่นอนว่าความสงสัยใคร่รู้

โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่ได้มาจากจิงตู

ในโลกตอนนี้นั้นชัดเจนในทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิง

หน้าร้อนนี้ เขากับนางยังไม่ครบสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ พวกเขาเป็นผู้อยู่จุดสูงสุดของระดับทะลวงอเวจีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์

ที่สำคัญที่สุด นางเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ในขณะที่เขาเป็นว่าที่สังฆราช

ด้วยวัยเท่านี้ พวกเขาก็มีระดับการบำเพ็ญเพียรและสถานะที่สูงส่งเช่นนี้แล้ว นี่แทบไม่เคยปรากฏขึ้นเลยในประวัติศาสตร์

พวกเขาเคยมีสัญญาหมั้นหมายกัน หากไม่มีเรื่องน่าประหลาดใจเกิดขึ้น พวกเขาคงได้เป็นสามีภรรยากัน

หากรวมเรื่องนี้เข้าไปด้วยแล้ว เรื่องราวนี้ก็ดูเหมือนกับตำนานบทหนึ่ง

เมื่อสายตาของฝูงชนจับจ้องมาที่เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง เสียงของผู้ดูแลจากหอความลับสวรรค์ก็เหมือนจะเลือนหายไกลออกไป แทนที่ด้วยเสียงกระซิบจำนวนนับไม่ถ้วน

ชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้โด่งดังจนเกินไป

เรื่องราวของพวกเขาก็โด่งดังจนเกินไป

นักพรตน้อยเดินทางมาถึงจิงตูและถูกจวนขุนพลเทพมองข้าม สัญญาหมั้นหมายที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางการชุมนุมไม้เลื้อย จากนั้นโลกก็เปลี่ยนไป เด็กหนุ่มกลายเป็นผู้สือทอดตำแหน่งสังฆราช จวนขุนพลเทพต้องการที่จะสานต่อความสัมพันธ์ที่กำหนดไว้ แต่กลับถูกตบหน้าด้วยการบังคับถอนหมั้น แต่หลังจากการต่อสู้ท่ามกลางลมหิมะบนสะพานหน่ายเหอ ชายหนุ่มหญิงสาวได้มาพบกันเป็นครั้งแรก สถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครา…เฉินฉางเซิงดูเหมือนจะเปลี่ยนใจ ต้องการที่จะแต่งกับสาวงาม ทว่ากลับต้องพบกับการปฏิเสธอย่างเย็นชาจากสวีโหย่วหรง ตามมาด้วยภาพที่หลายคนได้รับรู้ ชายหนุ่มยืนกลางหิมะหน้าตำหนักยามค่ำคืน

การเปลี่ยนแปลงมากมาย เรื่องน่าทึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า หากเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว ทุกคนคงคิดว่านี่เป็นบทละครเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นบทละครที่มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น แต่ก็เป็นความดาษดื่นที่ได้รับความนิยมจากผู้คนมากมาย วันนี้ คนมากมายได้เห็นพระเอกนางเอกของละครเรื่องนี้ แล้วจะให้พวกเขาไม่สนใจใคร่รู้ได้อย่างไรกัน

……

……

เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงไม่ได้ทำอะไร เพียงแต่นั่งอยู่เฉยๆ กระนั้นก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจจากผู้ชมกว่าเก้าส่วนที่มาร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้ แต่กระนั้นสุดท้ายแล้วนี่ก็ยังเป็นการประชุมใหญ่จู่สือ ไม่ว่าฝูงชนอยากจะจ้องมองพวกเขาต่ออีกนานแค่ไหน ก็ต้องละสายตากลับมามองโต๊ะดำที่ปลายสุดของทางตรง

บนโต๊ะมีจานเก่าแก่โบราณอย่างยิ่งวางอยู่ ทาไว้ด้วยสีแดง บนจานมีหินสีดำที่มีขนาดเท่ากับเมล็ดผลไม้

โต๊ะดำ จานแดง หินดำ

ความแตกต่างของสีแดงและดำนั้นทำให้พวกมันชัดเจนเจิดจ้าอย่างมาก

สายตาของเฉินฉางเซิงจับจ้องไปที่หินดำ พบว่ายากจะละสายตาไปได้ สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแต่ในใจฃเริ่มปั่นป่วน

นี่ไม่ใช่หินที่เขาเคยเห็นบนท้องฟ้าเมื่อไม่กี่วันก่อน หรือหินที่มีอยู่ในทะเลสาบ ตามหน้าผาและที่กระจายอยู่ทั่วไป

หานซานปกคลุมไปด้วยหินสวรรค์ นี่เป็นเรื่องที่เขากับถังซานสือลิ่วได้ยืนยันแล้ว ทว่าหินนี้ต่างไปอย่างชัดเจน

หินนี้เล็กกว่าหินสวรรค์มาก การดูแลก็แตกต่างไปมาก ถูกจัดวางไว้อย่างระวังบนจานสีแดง

ที่สำคัญ เขาสัมผัสได้ถึงไอพลังปราณที่คุ้นเคยจากหินดำก้อนนี้

เขามองไปที่ส่วนบนของผ้าม่าน

สวีโหย่วหรงยังนั่งอยู่หลังผ้าม่านนั้น

……