ม่านนั้นปิดกั้นสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้ชม ทว่าไม่อาจตัดการเชื่อมโยงจิตใจที่พวกเขาสร้างขึ้นมานานแล้ว
สวีโหย่วหรงเห็นเฉินฉางเซิงเบนสายตามาที่นางและรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ส่ายหน้าเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าหินดำนี้มีบางอย่างที่คุ้นเคย ไม่ใช่แค่เพราะหินดำบนจานแดงนั้นคล้ายกับหินดำของเขามาก ทว่าเป็นเพราะไอพลังปราณที่แผ่ออกมาจากหินดำนี้คล้ายคลึงกับที่แผ่ออกมาจากหินดำที่เขาพบในหอหลิงเยียนมาก พูดอีกอย่างก็คือ หินดำที่หอความลับสวรรค์นำออกมานี้อาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับหวังจื่อเช่อ
หินสีดำที่หวังจื่อเช่อทิ้งไว้ซึ่งเขานำออกมาจากหอหลิงเยียนนั้นคือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ดังนั้นหินสีดำนี้ก็อาจเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์อีกชิ้นใช่หรือไม่ หลังจากเข้าสุสานเทียนซูและสุสานโจว และหลังจากสนทนากับขุนพลเทพฮั่นชิง ไม่มีใครที่จะรู้ชัดไปกว่าเขากับสวีโหย่วหรงในเรื่องแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่หายไป ดังนั้นจึงยากที่ไม่รู้สึกสงสัยขึ้นมา
ในการประชุมใหญ่จู่สือที่ผ่านมามีเพียงแค่หินสวรรค์ธรรมดาเท่านั้นที่ถูกนำออกมา ดังนั้นผู้อาวุโสและคนสำคัญที่เคยมาร่วมต่างก็ค่อนข้างประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มาร่วมการประชุมใหญ่จู่สือเป็นครั้งแรกไม่อาจรับรู้ความแตกต่างนี้ได้อย่างชัดเจน แต่กระนั้นเมื่อพวกเขาเห็นเฉินฉางเซิงเบนสายตาไปทางผ้าม่าน พวกเขาก็อดที่จะตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้เมื่อคิดในใจ เจ้าสำนักเฉินมีความรู้สึกลึกล้ำกับอดีตคู่หมั้นจริงๆ ด้วย
ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่จากแดนใต้นั้นนั่งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับพวกที่มาจากเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเห็นสายตาของเฉินฉางเซิงมองมา หลายคนก็แสดงสีหน้าทั้งเยอะเย้ยบ้าง เห็นใจบ้าง มีศิษย์เขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์บางคนที่คิดเรื่องความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการถอนหมั้นแล้วก็อดเยาะเย้ยออกมาไม่ได้ บอกว่าคนบางคนชอบตามตื้ออย่างน่าเบื่อ บ้างก็ตำหนิอย่างรุนแรงว่าคนบางคนควรส่องกระจกดูบ้างว่าบางอย่างนั้นไม่อาจปฏิเสธได้เพียงเพราะไม่ต้องการ และบางอย่างก็ไม่อาจได้มาเพียงเพราะแค่มีความต้องการ บางคนก็ถึงกับร้องขอให้คนบางคนทำตัวมีเกียรติบ้าง
ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรจากแดนใต้แม้แต่คนเดียวที่เอ่ยชื่อเฉินฉางเซิง แต่ทุกคนก็รู้ว่าคำพูดเหล่านี้หมายถึงเขา
การหมั้นหมายที่โด่งดังไปทั่วโลกนี้ผ่านการพลิกผันมามากมาย ดึงดูดความขัดแย้งมากมายเกินไป เมื่อฤดูหนาวปีที่แล้วสังฆราชประกาศยกเลิกการหมั้นนั้นน่าจะเรียกได้ว่าเป็นจุดสิ้นสุดแล้ว
ในเรื่องนี้ เฉินฉางเซิงย่อมเป็นฝ่ายที่ต้องรับการดูถูกเหยียดหยามในตอนแรก แต่ท้ายที่สุดแล้วสวีโหย่วหรงกลับเป็นผู้ได้รับความอัปยศทั้งหมดไป
ในสายตาของทุกคน คนที่มีสิทธิ์โกรธเกลียดเฉินฉางเซิงมากที่สุดในโลกตอนนี้ก็คือสวีโหย่วหรง
นางคือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ หงส์สวรรค์ที่ได้รับการยกย่องจากผู้คนนับไม่ถ้วน หากนางไม่ชอบเฉินฉางเซิง ก็เป็นธรรมดาที่มีคนจำนวนมากจะไม่ชอบเฉินฉางเซิงเช่นกัน โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรจากแดนใต้ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่แสดงสีหน้าที่ดีต่อเฉินฉางเซิง ต่อให้เขาเป็นว่าที่สังฆราชพวกเขาก็ยังอยากจะระบายความแค้นแทนเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
ศาลาเหล่านี้ล้วนร่มเย็น สงบนิ่งและงดงาม คำเย้ยหยันที่มุ่งเป้าไปทางเฉินฉางเซิงเป็นเหมือนกับละอองเกสรที่ลอยไปตามลม เข้าสู่หูของผู้คนทั้งหมด
เหล่านักบวชนิกายหลวงต่างมีสีหน้าไม่น่าดู เหมาชิวอวี่ยังคงสุขุมและเงียบงัน ราชันย์แห่งหลิงไห่เลิกคิ้วราวกับสนใจอย่างมาก
เฉินฉางเซิงละสายตาจากบริเวณที่จัดให้เขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และนวดเข่าอย่างไม่สบายใจ
เจ๋อซิ่วไม่สนเรื่องคำพูดเหล่านั้นในขณะที่ถังซานสือลิ่วรู้เรื่องราวเบื้องลึก เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างผ่าเผย
……
……
ประกายกระบี่เจิดจ้าพุ่งขึ้นจากเวทีหินระหว่างหอคอยต่างๆ เป็นเหมือนกับสายฟ้าที่มีให้เห็นทั่วไปในฤดูร้อน แต่ก็ยังเหมือนกับรอยพู่กันสะท้านวิญญาณบนผืนผ้าใบอีกด้วย
นอกจากสำนักเด็ดดารา ที่เป็นตัวแทนทหารของต้าโจว ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ในโลกนั้นคุ้นเคยกับการใช้กระบี่ การประชุมใหญ่จู่สือในวันนี้ ประกายกระบี่ย่อมไม่มีทางหยุดลง
ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการประชุมใหญ่จู่สือต่างก็มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งหรืออย่างน้อยก็มีศักยภาพโดดเด่น ล้วนมีการบำเพ็ญที่แข็งแกร่งอย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาเคยพบเจอในการสอบใหญ่และในสวนโจวอยู่หนึ่งขั้น คนที่กล้าพอจะขึ้นสู่เวทีหินและท้าประลองผู้อื่นหรือคนที่มีค่าพอให้คนอื่นท้าประลองนั้นอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขั้นกลางของระดับทะลวงอเวจี
การประลองหลายคู่ที่ได้บทสรุปแล้วต่างก็มีความมหัศจรรย์น่าเหลือเชื่อ นักสู้ทุกคนล้วนใช้ทักษะเฉพาะตัวและกำลังเต็มที่ในการต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้นการมีคนสำคัญของหอความลับสวรรค์กับนิกายหลวงคอยดู จึงไม่มีทางที่จะเกิดอุบัติเหตุจนบาดเจ็บสาหัสขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่จะเกิดการหลั่งเลือดบนเวทีหินก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้
แม้ว่าเฉินฉางเซิงจะสนใจหินดำเป็นอย่างมาก เขาก็ไม่คิดที่จะก้าวขึ้นเวที และเป็นธรรมดาที่ไม่มีใครท้าประลองกับเขา
ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ นอกเสียจากว่าเขาจะเต็มใจ ก็ไม่มีใครกล้าบังคับให้เขารับคำท้าประลองเช่นเดียวกับเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว
สถานะของสวีโหย่วหรงนั้นสูงกว่าเขาเสียอีก และนางก็แทบไม่ค่อยมีส่วนกับเรื่องเช่นนี้
พวกเขาแค่นั่งอยู่ด้านข้างผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองดูการต่อสู้บนเวทีหิน
ที่น่าแปลกก็คือ เวลาผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่มีใครท้าประลองกับสมาชิกของสำนักฝึกหลวงอีกสองคนเลย
เจ๋อซิ่วนั่งมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะหลับตาลงพักผ่อน ดูเหมือนว่าเขาจะให้ความสนใจกับการประลองอันน่าอัศจรรย์เหล่านี้อยู่เล็กน้อย
กลับกัน ถังซานสือลิ่วนั้นค่อนข้างเบื่อ เขาเรียกสาวใช้ของหอความลับสวรรค์มาบ่อยๆ เพื่อเปลี่ยนน้ำชาและของทานเล่นในจานเขา
เจ๋อซิ่วจะลืมตาก็ต่อเมื่อมีคนเดินขึ้นเวทีหินเท่านั้น ถังซานสือลิ่ววางถ้วยชาและใช้ผ้าเช็ดปาก สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น
คนที่เดินขึ้นเวทีก็คือเหลียงปั้นหู
คู่ต่อสู้ของเขาก็คือยอดฝีมือพรรคไร้รักจากเมืองฮั่นชิว
ยอดฝีมือพรรคไร้รักได้แสดงกระบี่หมื่นหลิวที่น่าอัศจรรย์เอาชนะศิษย์หญิงจากวัดฉือเจี้ยนได้อย่างง่ายดาย เขามีอายุประมาณสามสิบปี ระดับการบำเพ็ญอยู่ขั้นสูงของระดับทะลวงอวเจี หากเป็นในอดีต เขาคงต้องได้รับการชมเชยว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์เป็นแน่ ทว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีผู้บำเพ็ญเพียรมากมายกเกินไปที่พลันทะลวงผ่านขึ้นมาและมีอายุน้อยกว่าเขา มีพรสวรรค์มากกว่าเขา และมีระดับการบำเพ็ญสูงกว่าเขา
เหลียงปั้นหูเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่หลีซาน อันดับห้าในเจ็ดคำโครงแดนเทพ แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นตัวแทนของผู้เยาว์เหล่านี้
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเพิ่งจะเอาชนะผู้บำเพ็ญเพียรจากแดนใต้และมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม บาทีอาจเป็นเพราะตลอดสองปีที่ผ่านมา เจ็ดคำโครงแห่งแดนเทพได้แย่งชิงเกียรติยศไปมากมายทำให้เขาเก็บสะสมความคับแค้นใจเอาไว้มากมาย แน่นอนว่านี่อาจเป็นเพราะเขามีความแค้นจากจดหมายที่ซูหลีส่งไปทำลายสวนหมื่นหลิว ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม ยอดฝีมือพรรคไร้รักไม่ลังเลที่จะท้าประลองกับสำนักกระบี่หลีซาน
เขาได้ท้าประลองเหลียงปั้นหู นี่ดูเหมือนว่าเป็นการเลือกง่ายๆ แต่หลายคนบอกได้ว่านี่เป็นทางเลือกที่ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ และถึงขนาดมีเล่ห์เหลี่ยมซ่อนอยู่ด้วย
เหลียงปั้นหูเป็นพี่น้องของเหลียงเสี้ยวเซียวโดยสายเลือด และตอนนี้ทั่วทั้งต้าลู่ก็รู้ว่าเหลียงเสี้ยวเซียวได้ร่วมมือกับเผ่ามาร ทำร้ายศิษย์ร่วมสำนักและเฉินฉางเซิงในสวนโจว หลังจากพบกับความล้มเหลวเขาก็เลือกที่จะฆ่าตัวตายอย่างโหดเหี้ยมเพื่อใส่ร้ายเฉินฉางเซิง
ยอดฝีมือจากพรรคไร้รักเลือกเหลียงปั้นหูเป็นคู่ต่อสู้ย่อมเป็นเพราะเขาอยากสะสางเรื่องนี้ อย่างที่คาดไว้ เมื่อเหลียงปั้นหูก้าวขึ้นเวทีหิน เสียงเย็นเยียบก็ดังขึ้น “แม้ว่าเจ้าจะเป็นพี่น้องของเหลียงเสี้ยวเซียว ข้าก็ไม่เอาบาปของเขามาโทษเจ้า แต่ข้าไม่ยอมให้เจ้ามีโอกาสได้รับหินสวรรค์ก้อนนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั่วทั้งบริเวณก็เงียบงันอย่างที่สุด
ทุกคนรู้ว่ายอดฝีมือพรรคไร้รักผู้นี้เพียงแค่หาข้ออ้าง อันที่จริงแล้วเขาแค่ต้องการจะทำลายเจตจำนงในการต่อสู้ของเหลียงปั้นหู
แต่กระนั้นไม่ว่าจะเป็นสำนักกระบี่หลีซานหรือยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจตอบคำพูดนี้ได้
เหลียงเสี้ยวเซียวและเหลียงปั้นหูนั้นต่างก็เป็นทายาทตระกูลเหลียง บทบาทของตระกูลเหลียงในประวัติศาสตร์ก็ค่อนข้างซับซ้อน หากเหลียงปั้นหูเป็นเหมือนกับเหลียงเสี้ยวเซียว ที่ไม่อาจลืมต้นกำเนิดที่สูงส่ง ไม่อาจทนอยู่กับฐานะของศิษย์สำนักกระบี่หลีซาน การที่เขาได้รับหินสวรรค์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ขุมกำลังทั้งหลายอยากเห็น
สีหน้ากวนเฟยไป๋ประหนึ่งมีน้ำแข็งเคลือบเอาไว้ สายตาที่จ้องมองไปทางยอดฝีมือพรรคไร้รักเต็มไปด้วยจิตสังหาร แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เคลื่อนไหว
สีหน้าของโก่วหานสือไม่เปลี่ยนไป แต่เขามองไปที่ร่างของเหลียงปั้นหูอย่างรวดเร็ว เขามั่นใจในตัวศิษย์น้องอย่างมาก
ท่ามกลางความเงียบก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
คนที่พูดคือถังซานสือลิ่ว
เขามองไปที่ยอดฝีมือพรรคไร้รักและกล่าว “หากเจ้าต้องการจะต่อสู้ ก็ต่อสู้ ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดจาไร้สาระ”
คำพูดนี้ได้เปลี่ยนแปลงบรรยากาศไป สีหน้าของยอดฝีมือพรรคไร้รักเปลี่ยนไปอย่างมาก
ไม่มีใครคิดว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ ไม่นานนักทุกคนก็ได้ยินประโยคที่เหลือของถังซานสือลิ่ว
“…สุดท้ายแล้วเจ้าก็จะถูกทุบตีจนปัญญาอ่อนเหมือนกับบรรพบุรุษจากสำนักของเจ้า”
……
……
ประมุขพรรคไร้รัก เจ้าเมืองฮั่นชิว และจิตวิญญาณของตระกูลจูแห่งเทียนเหลียงล้วนเป็นคนผู้หนึ่ง เป็นบรรพบุรุษของหลายคน รวมถึงยอดฝีมือจากพรรคไร้รักคนนี้ด้วย
บรรพบุรุษผู้นี้เป็นหนึ่งในแปดมรสุม เมามายใต้แสงจันทร์จูลั่ว
คำพูดประโยคนี้ของถังซานสือลิ่วนั้นไร้ความเคารพ ก้าวร้าวอย่างยิ่ง โหดร้ายอย่างยิ่ง แต่เมื่อคิดดูให้ดีแล้วก็ไม่ผิดเช่นกัน
ไม่ว่าจะในคืนฝนพรำที่เมืองสวินหยาง หรือท่ามกลางลมวสันต์ที่สวนหมื่นหลิว จูลั่วพบกับความพ่ายแพ้ยับเยิน จดหมายฉบับเดียวของซูหลีทำให้เขากลายเป็นคนปัญญาอ่อน
ประโยคนี้เพิ่มกำลังให้กับสำนักกระบี่หลีซานอย่างมาก
กวนเฟยไป๋มองไปทางสำนักฝึกหลวงและคิดในใจ ทำไมเจ้าหมอนี่ถึงได้เปลี่ยนไปในวันนี้ หากข้าท้าประลองเขาหลังจากนี้…ข้าจะให้เขากระอักเลือดน้อยลงหน่อย
สีหน้ายอดฝีมือพรรคไร้รักเปลี่ยนไปมายามที่เขากล่าวกับถังซานสือลิ่วอย่างเย็นชา “อีกไม่นาน ข้าจะท้าประลองกับเจ้า”
ถังซานสือลิ่วส่ายหน้ากล่าว “เจ้าไม่มีโอกาสหรอก”
เสียงอื้ออึงดังขึ้นขณะที่ทุกคนต่างคิด ทำไมเขาถึงได้มั่นใจในตัวเหลียงปั้นหูนัก แต่ก็ไม่มีใครสังเกตว่าเขาเคลื่อนตัวเข้าใกล้เฉินฉางเซิงและใช้เสียงที่ได้ยินกันแค่สองคนกระซิบถาม “จากสายตาของเจ้า ใครแข็งแกร่งกว่า เหลียงปั้นหูหรือเจ้าปัญญาอ่อนนั่น”
เฉินฉางเซิงตอบ “ทำไมเจ้าถึงได้ดูเป็นกังวลขึ้นมาในตอนนี้”
ถังซานสือลิ่วตอบ “ข้ารู้สึกว่า…ข้าต้องระบายความโกรธแทนเจ้าและด่าจูลั่วไปเช่นนั้น ในอีกไม่นาน เจ้าหมอนั้นต้องลงมือกับข้าอย่างเต็มที่แน่ ดังนั้นจึงดีที่สุดหากข้าไม่ต้องสู้กับเขา”
เฉินฉางเซิงมองไปที่เหลียงปั้นหูและกล่าว “ไม่ต้องกังวล เจ้าพูดถูกแล้ว คนผู้นั้นไม่มีโอกาสหรอก”
ทั้งเขาและโก่วหานสือต่างก็มีความเชี่ยวชาญในคัมภีร์เต๋า ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ในหมู่พวกเขา ทั้งสองต่างก็มีสายตาที่ยอดเยี่ยมที่สุด
โก่วหานสือไม่เคยแสดงความเป็นห่วงเรื่องเหลียงปั้นหู
เฉินฉางเซิงก็คิดเช่นเดียวกัน
เหลียงปั้นหูต่างจากเหลียงเสี้ยวเซียว
เหลียงเสี้ยวเซียวเปรียบเสมือนต้นสนที่เติบโตในหุบเหวมืดมน
เหลียงปั้นหูเปรียบเสมือนต้นหญ้าที่เติบโตบนเนินที่มีแสงแดดเจิดจ้า
นิสัยของเหลียงปั้นหูนั้นหนักแน่นมั่นคง เขาไม่พูดและสีหน้าก็แทบไม่เคยเปลี่ยน
ในหมู่เจ็ดคำโครงแห่งแดนเทพ เขาเป็นคนที่โด่งดังน้อยที่สุดเสมอมา
แม้กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนที่อ่อนแอที่สุด
อย่าว่าแต่เรื่องที่ไม่มีใครในเจ็ดคำโครงแห่งแดนเทพเป็นคนอ่อนแอ
เหลียงปั้นหูชักกระบี่ ตาจ้องไปที่ยอดฝีมือพรรคไร้รัก กล่าวเพียงคำเดียว “เชิญ”
ยอดฝีมือพรรคไร้รักขมวดคิ้ว เตรียมที่จะพูดอะไรบางอย่าง
อย่างไรก็ตาม เหลียงปั้นหูไม่ให้โอกาสเขาได้พูดอีก
ฝุ่นฟุ้งขึ้นบนเวทีหินที่สะอาด ประหนึ่งมังกรที่พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
พลังปราณที่เรียบง่ายตรงไปตรงมาดูเหมือนกับดินเหลืองที่ฝูงชนสัมผัสได้จากการปรากฏขึ้นของมังกรฝุ่น
แม้แต่ทะเลสาบที่อยู่ใกล้ๆ ก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน คลื่นจางๆ ก่อตัวขึ้นบนผิวน้ำ
ไม่มีใครกะพริบตา ไม่มีใครมีเวลากะพริบตา เมื่อฝุ่นพุ่งไปราวมังกรเหลืองที่คดเคี้ยว เหลียงปั้นหูก็มาอยู่ตรงหน้ายอดฝีมือพรรคไร้รัก
นัยน์ตาของยอดฝีมือหดลงในทันทีครั้นเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างรุนแรง
เขาไม่คาดคิดเลยว่ากระบี่ของเหลียงปั้นหูจะเป็นเหมือนกับนิสัยเขา ทั้งรุนแรงและไม่ยอมใคร
เขาจะทำลายเจตจำนงกระบี่ที่รุนแรงเช่นนี้ได้อย่างไร ต้องใช้เจตจำนงกระบี่ที่รุนแรงกว่าเท่านั้น
ยอดฝีมือพรรคไร้รักคำรามอย่างบ้าคลั่ง ส่งกระบี่ผ่านอากาศไปด้วยเสียงดังหวีดหวิว บรรจุไว้ด้วยความไม่ยอมแพ้แทงตรงเข้าหาเหลียงปั้นหู!
สีหน้าเหลียงปั้นหูไม่เปลี่ยนไป เขาเป็นเสมือนคนงานที่ขุดดินบนเนิน ถือกระบี่เหมือนกับจอบ ทุบมันลงอย่างเปิดเผย
การโจมตีนี้อาจดูเป็นท่ากระบี่ที่แสนธรรมดา ทว่าในความเป็นจริงแล้ว มันก็เป็นท่ากระบี่ที่แสนธรรมดาจริงๆ
การโจมตีนี้ไม่รวดเร็ว ไม่ได้หนึ่งในห้าของความเร็วจากเพลงกระบี่แสงชั่วพริบตาของสำนักเทียนเต้า
การโจมตีนี้ไม่โหดเหี้ยม ไม่อาจเทียบกับรัศมีพลังของพลองพลิกขุนเขาของสำนักฝึกหลวงได้
การโจมตีนี้ไม่งดงาม ไม่อาจเทียบกับวิชาในตำนานอย่างวสันต์ผ่านพ้นของสถานศึกษาหนานซีได้
เมื่อเทียบกับเพลงกระบี่หลากหลายของสำนักกระบี่หลีซานแล้ว การโจมตีของเหลียงปั้นหูนี้ไม่มีอะไรให้น่ากล่าวถึงเลย
ทว่าการโจมตีนี้ก็มั่นคงมาก ทั้งมือที่จับกระบี่และท่ากระบี่ต่างก็มั่นคงยิ่ง ประดุจดั่งหน้าผาที่ไม่มีวันเคลื่อน และทางเดินท่ามกลางภูเขา
เหตุที่การโจมตีนี้มั่นคงยิ่งก็เพราะมันเป็นพื้นฐานของเพลงกระบี่นี้ พื้นฐานของเพลงกระบี่อันนับไม่ถ้วนของสำนักกระบี่หลีซาน
“กระบี่ประตูภูเขา”
เจ๋อซิ่วมองไปที่ประกายกระบี่ที่ไม่เจิดจ้าแม้แต่น้อยบนเวที ดวงตาเป็นประกายแวววาว จากนั้นก็เริ่มลุกเป็นไฟ