ใช่แล้ว เพลงกระบี่ที่เหลียงปั้นหูใช้ก็คือเพลงกระบี่ประตูภูเขาที่ธรรมดาสามัญที่สุดของสำนักกระบี่หลีซาน
ศิษย์คนใดที่เข้าสู่สำนักกระบี่หลีซานต้องเรียนเพลงกระบี่นี้ในปีแรก
เฉินฉางเซิงได้เรียนรู้เพลงกระบี่นี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงจำมันได้ ทว่าวันนี้หลังจากได้เห็นการโจมตีนี้ของเหลียงปั้นหู เขาถึงได้เข้าใจว่าหลีซานนั้นคู่ควรได้รับขนานนามว่าสำนักแห่งหมื่นกระบี่อย่างแท้จริง แม้แต่เพลงกระบี่ขั้นต้นที่ธรรมดาสามัญที่สุดก็ยังมีแก่นแท้และวิญญาณที่ไม่อาจมองข้ามได้ เขาเห็นแนวคิดบางอย่างของเพลงกระบี่โง่งมจากการโจมตีครั้งนี้ของเหลียงปั้นหูอีกด้วย
กระบี่ของเหลียงปั้นหูปะทะกับกระบี่ของยอดฝีมือพรรคไร้รัก
เสียงตูมหนักๆ ดังขึ้น
การปะทะกันของเจตจำนงกระบี่ที่เข้มข้น ฝ่ายไหนที่แข็งแกร่งกว่ากันแน่
เป็นธรรมดาที่เจตจำนงกระบี่ที่มั่นคงกว่าจะเป็นฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่า
เนินเขาที่หันหาดวงตะวันปกคลุมไปด้วยแนวพืชพรรณที่ทอดเป็นเส้นตรง ไม่มีการเป๋ออกนอกเส้นแม้แต่น้อย
กระบี่ของเหลียงปั้นหูกับกระบี่ของยอดฝีมือพรรคไร้รักปะทะกันและแยกออก แต่มินานการโจมตีครั้งต่อไปก็เกิดขึ้นตามมา
มือที่จับกระบี่นั้นมั่นคงเกินไป กระบี่ก็มั่นคงเกินไป จนแทบไม่มีช่องว่างระหว่างการเปลี่ยนกระบวนท่า
กระบี่ปะทะกันสิบกว่าครั้งเสียงดังก้องไปทั่วยอดเขาหานซาน เพียงครู่เดียว เหลียงปั้นหูและยอดฝีมือพรรคไร้รักก็ได้เปลี่ยนเพลงกระบี่ไปมากมาย กระบี่ของเหลียงปั้นหูนั้นมั่นคงดังเช่นตอนแรกเริ่มและกดดันเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
เป็นเสมือนเดินเข้าไปตามแนวของพืชพรรณ แต่ก็เหมือนไต่ขึ้นไปตามหน้าผาสูงชันของหลีซาน ความเร็วต่ำแต่ทุกย่างก้าวนั้นมั่นคง ดังนั้น ย่อมต้องมีวันที่เขาสามารถเดินไปถึงจุดสูงสุด
เวทีหินปกคลุมไปด้วยฝุ่น ประกายกระบี่ฉายขึ้นเป็นระยะๆ เสียงร้องดังขึ้น เหลียงปั้นหูถอนกระบี่และหันหลังกลับ ลอยไปหลายจั้งก่อนที่เท้าจะกระทบพื้น
มือที่ถือกระบี่ยังมั่นคง สีหน้ายังคงสุขุมเยือกเย็น ดูเหมือนกับคนงานที่เพิ่งเสร็จจากการทำไร่มาทั้งวัน
ยอดฝีมือพรรคไร้รักมองดูท้องตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ มีแผลปรากฏขึ้นมาเมื่อไรไม่รู้
แผลนี้ไม่ลึก ไม่มีเลือดไหลออกมามากนัก แต่ก็ตรงอย่างยิ่ง ราวกับถูกวาดขึ้นมา
การต่อสู้นี้รู้ผลแล้ว
หลายคนคิดว่าเหลียงปั้นหูจะได้รับชัยชนะ แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงน้อยที่สุดในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ
แม้กระนั้นก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะชนะอย่างง่ายดาย…หรือจะพูดให้เจาะจงก็คือชนะอย่างมั่นคง
มีแต่คนที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์จึงจะสามารถปิดกั้นโอกาสทั้งหมดของคู่ต่อสู้ แผ่ความรู้สึกที่เหมือนกับเดินไปตามแนวพืชพรรณหรือไต่เขาอย่างมั่นคงได้ สร้างความรู้สึกที่ถูกต้องและไม่อาจหลบเลี่ยงได้
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือนับตั้งแต่ต้นจนจบ เขาใช่เพียงแค่เพลงกระบี่ที่ธรรมดาสามัญที่สุดของหลีซาน เพลงกระบี่ประตูภูเขา
“ยอมรับ”
เหลียงปั้นหูเก็บกระบี่เข้าฝึก ประสานมือและคำนับไปทางยอดฝีมือพรรคไร้รัก จากนั้นก็กลับไปรวมกลุ่มกับพวกสำนักกระบี่หลีซาน สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ทว่าสายตาของเจ๋อซิ่วนั้นไวที่สุด เขาตระหนักว่าเมื่อตอนที่เก็บกระบี่เข้าฝัก แขนเสื้อของเหลียงปั้นหูนั้นสั่นไหวอยู่บ้าง
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ มือที่ใช้กวัดแกว่งกระบี่นั้นมั่นคงอย่างยิ่ง ในตอนนี้หลังจากได้รับชัยชนะ เหตุใดมือถึงได้สั่นขึ้นมา
เป็นธรรมดาที่ไม่ใช่ความกดดันหรือความไม่สบายใจ หากแต่เป็นการปกปิดความตื่นเต้นหรือยินดีหลังจากแรงกดดันในอกถูกยกออกไป
ยอดฝีมือพรรคไร้รักที่บาดเจ็บถูกพาออกจากเวทีและรับการรักษาจากหอความลับสวรรค์ ผู้บำเพ็ญเพียรพเนจรจากพายัพใบหน้าซีดท่าทางดื้อดึง ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองไปทางผู้คนจากสำนักกระบี่หลีซาน เมืองเทียนเหลียงอยู่ทางพายัพ นอกเหนือจากพรรคภูเขาหิมะ ค่ายพรรคและผู้บำเพ็ญเพียรพเนจรในอาณาเขตหมื่นลี้ทางตะวันตกเฉียงเหนือมีความสัมพันธ์กับพรรคไร้รักและตระกูลฉู่ในหลากหลายแนวทาง
พูดอีกอย่างก็คือพวกเขาต่างนับถือจูลั่วเป็นเทพเจ้า
เห็นได้ชัดว่าผู้บำเพ็ญเพียรพเนจรจะท้าประลองกับสำนักกระบี่หลีซาน
สำนักกระบี่หลีซานไม่ให้โอกาสเขา
กวนเฟยไป๋เดินขึ้นเวทีหินและกล่าวอย่างเรียบเฉยกับผู้บำเพ็ญเพียรพเนจร “เข้ามา”
เมื่อข้ารู้ว่าเจ้าคิดจะท้าประลอง ข้าก็จะทำให้มันง่ายขึ้นโดยการท้าประลองกับเจ้าแทน
สำนักกระบี่หลีซานไม่ใช่สำนักที่ขาดความยืดหยุ่นยึดติดกับรูปแบบเพียงแบบเดียว แต่วิธีของกวนเฟยไป๋นั้นก็นับว่าโดดเด่นที่สุดในสำนักกระบี่หลีซาน
แนวทางของเขาตรงไปตรงมา ดุดัน ไม่ยอมใคร เย่อหยิ่ง มีต้นกำเนิดมาจากซูหลีและดำรงอยู่มานานหลายร้อยปีแล้ว
ครั้นได้ยินเสียงเย็นชาของกวนเฟยไป๋ พื้นที่โดยรอบเวทีหินก็เงียบงันยิ่งกว่าเดิม
ผู้บำเพ็ญเพียรพเนจรจากตะวันตกเฉียงเหนือมีสีหน้าน่าเกลียด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจยืนอยู่ที่เดิมอีกต่อไป และก้าวขึ้นเวทีช้าๆ
กวนเฟยไป๋ยกมือซ้ายถือกระบี่ยาวในแนวขวาง สีหน้าเรียบเฉย ไม่เอ่ยอะไร
ผู้บำเพ็ญเพียรพเนจรชักกระบี่ออกช้าๆ สีหน้าเคร่งเครียด แขนเสื้อพัดพลิ้วขณะที่เขาแผ่ไอพลังปราณออกและเริ่มสะสมพลัง
ฟิ้ว!
กวนเฟยไป๋พุ่งตรงไปข้างหน้า กระบี่ออกจากฝักและฟันผ่านลมทะเลสาบ ตรงเข้าหาผู้บำเพ็ญเพียรพเนจร
ฝุ่นที่ยังลอยต่ำเรี่ยพื้นดินถูกพัดขึ้นอีกครั้ง ผิวน้ำในทะเลสาบก็กระเพื่อมรุนแรงยิ่งขึ้น
ฉับ ฉับ ฉับ ฉับ! เสียงกระบี่คมกริบตัดผ่านร่างกายดังขึ้นสี่ครั้ง ประกายกระบี่สี่สายตัดผ่านสายลมและน้ำในทะเลสาบ!
เสียงครางดังขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรพเนจรถอยร่นอย่างต่อเนื่อง ไม่อาจต้านทานกระบี่ของกวนเฟยไป๋ได้ บาดแผลเกิดที่ท้องของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
“พอแล้ว” โก่วหานสือประกาศ
เสียงเขาแผ่วเบามาก ทว่าทุกคนรอบเวทีต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน
พลังกระบี่ของกวนเฟยไป๋อยู่ในจุดสูงสุด เมื่อได้ยินคำของศิษย์พี่เขาก็หยุดก้าวเดินโดยพลัน
หินสีใต้เท้าแตกออกเป็นรอยร้าวพร้อมกับเสียงแตกที่ดังขึ้น
ผู้บำเพ็ญเพียรพเนจรไม่อยากเชื่อว่าเขาจะหยุดตอนที่ถูกบอกให้หยุด ยิ่งไปกว่านั้น…เขาสามารถหยุดได้จริงๆ เมื่อถูกบอกให้หยุด
ท่าป้องกันที่เตรียมไว้ไม่ถูกใช้ออก ปราณแท้จึงเริ่มไหลย้อนทำให้เขาไม่อาจหยุดเท้าได้
เขาเซไปด้านหลังเฉกเช่นคนเมา แต่ละก้าวปั่นป่วนยิ่งขึ้น ที่สุดแล้วเขาก็ไม่อาจยืนอยู่ได้และล้มลงนั่ง เป็นภาพที่น่าอับอายไม่น้อย
ในตอนนั้น กวนเฟยไป๋ก็เก็บกระบี่เข้าฝึกและหันกลับเดินไปยังตำแหน่งของสำนักกระบี่หลีซาน
ผู้บำเพ็ญเพียรพเนจรจากตะวันตกเฉียงเหนือมองไปที่หลังของกวนเฟยไป๋ หน้าขาวซีดอย่างที่สุด เปี่ยมด้วยความอับอาย จิตใจที่กระวนกระวายและอาการบาดเจ็บภายในที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่อาจทนได้อีกต่อไป กระอักเลือดออกมาคำโต
เวทีหินริมทะเลสาบยังคงเงียบงัน เงียบยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ เงียบงันอย่างที่สุด
ถังซานสือลิ่วไม่พูดอะไร ยากนักที่เขาจะไม่กล่าวเยอะเย้ยกวนเฟยไป๋สักเล็กน้อย
ฝูงชนตกตะลึงกับวิถีกระบี่ของกวนเฟยไป๋และพลังสังหารที่เขาแสดงออกจนพูดอะไรไม่ออก อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสังเกตเห็นรายละเอียดของการต่อสู้ที่ผ่านไปในชั่วพริบตา
เจ๋อซิ่วเห็น สีหน้าเย็นชาเล็กน้อยยามที่กล่าว “เขาเองก็ใช้เพลงกระบี่ประตูภูเขา”
ในตอนนั้นเองที่เสียงโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากเวทีหิน “การข่มเหงของสำนักกระบี่หลีซานนั้นไม่อาจทนรับได้จริงๆ!”
ทุกคนเห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในตอนนี้คือการต่อสู้ระหว่างสำนักกระบี่หลีซานกับเมืองเทียนเหลียง
ความสัมพันธะระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักกระบี่หลีซานกับเมืองเทียนเหลียงนั้นซับซ้อนมาก เพราะซูหลีเคยสังหารบ้านตระกูลเหลียงไปกว่าครึ่ง เพราะตัวตนของเหลียงเสี้ยวเซียวกับเหลียงปั้นหูรวมถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับพวกเขา เพราะคืนฝนพรำในเมืองสวินหยางปีก่อน เพราะจดหมายที่ทำลายสวนหมื่นหลิวจนมอดไหม้ในปีนี้
ความเกลียดชังลึกล้ำที่มีอยู่ระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่อาจมองเห็นทางแก้ได้
ในตอนนี้ คนที่มาเพื่อล้างแค้นความอยุติธรรมในนามของผู้บำเพ็ญเพียรเมืองเทียนเหลียงย่อมต้องเป็นชาวเมืองเทียนเหลียง
บัณฑิตหู ยอดฝีมือแห่งเมืองฮั่นชิว
พรสวรรค์ในการบำเพ็ญของคนผู้นี้เป็นที่รับรู้ของราชสำนักต้าโจวและหอความลับสวรรค์มานานหลายปีแล้ว
ทุกคนแน่ใจอย่างมากว่าหากคนผู้นี้สามารถทะลวงผ่านเข้าสู่ระดับรวบรวมดวงดาว ต้องเข้าสู่ประกาศเซียวเหยาได้อย่างแน่นอน
ในแดนเหนือเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ไร้พ่ายในระดับทะลวงอเวจีลงมา
เมื่อเหลียงปั้นหูและกวนเฟยไป๋ออกมาแล้ว คนที่เขาท้าประลองย่อมต้องเป็นโก่วหานสือ
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมาในทันที
โก่วหานสือนั้นเชี่ยวชาญคัมภีร์เต๋านับตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความฉลาด อำนาจจิต ความเข้าใจ เขาล้วนแต่เป็นหนึ่ง
หากหลีซานไม่มีชิวซานจวิน และโลกภายนอกหลีซานไม่มีสวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิง เขาต้องเป็นผู้นำคนรุ่นเยาว์ในโลกมนุษย์อย่างแน่นอน
แม้บัณฑิตหูจะมีชื่อเสียงไม่โด่งดังนัก แต่เขาก็บำเพ็ญเพียรมานานหลายปี ดังนั้นไม่ว่าจะในแง่ของการบำเพ็ญเพียรหรือประสบการณ์ เขาก็เหนือกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง
การที่ยอดฝีมือทั้งสองจะต้องแลกเปลี่ยนคำชี้แนะกันในการประชุมใหญ่จู่สือ ย่อมจินตนาการได้ว่าจะดุเดือดเพียงใด น่าอัศจรรย์ถึงเพียงไหน
โก่วหานสือเดินเข้าสู่เวทีหินและพยักหน้าให้บัณฑิตหู ทว่าเขายังคงนิ่งเงียบ
บัณฑิตหูกล่าวไว้ว่าการข่มเหงของสำนักกระบี่หลีซานนั้นไม่อาจทนรับได้
เขาไม่ได้ตอบ ไม่ได้โต้เถียง เพราะแม้ว่าเขาจะมีทักษะในเรื่องนี้ เขาก็มิได้ปรารถนาจะทำ
แต่ในสายตาของทุกคน การนิ่งเงียบแบบนี้ไม่เท่ากับการไม่สนใจแบบหนึ่งหรอกหรือ
บัณฑิตหูกล่าวอย่างเรียบเฉย “หรือว่าเจ้าไม่มีอะไรจะพูด”
โก่วหานสือส่ายหน้า
เขาไม่มีอะไรที่อยากพูด
นับตั้งแต่พายุในเมืองสวินหยาง เมื่อยอดฝีมือจากพรรคไร้รักกล่าวชื่อเหลียงเสี้ยวเซียว การต่อสู้ครั้งนี้ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น
ประตูภูเขาของหลีซานนั้นเป็นประตูจริงๆ
เมื่อเปิดประตูก็จะเห็นภูเขาหลีซาน
นิสัยใจคอของศิษย์สำนักกระบี่หลีซานนั้นแตกต่างกัน แต่พวกเขาต่างก็ชื่นชอบการเปิดประตูแลดูภูเขา[1]
โก่วหานสือเป็นคนอ่อนโยนแต่เขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เขาชักกระบี่และแทงออกไปเบื้องหน้า
นี่เป็นการโจมตีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
บัณฑิตหูก็พ่ายแพ้
พ่ายแพ้อย่างยับเยิน
กระบวนท่านี้เรียกว่า เปิดประตูแลดูภูเขา
กระบวนท่าแรกของเพลงกระบี่ประตูภูเขาของสำนักกระบี่หลีซาน
……
……
ริมทะเลสาบเงียบงันอย่างที่สุด
สายตาของฝูงชนเคลื่อนไปมาระหว่างบัณฑิตหูที่ได้รับบาดเจ็บจนหมดสติกับโก่วหานสือที่เก็บกระบี่เข้าฝักและเดินกลับไป พวกเขาตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก เริ่มรู้สึกงงงวย
เฉินฉางเซิงเองก็งงงวยเช่นกัน ไม่ใช่เพราะโก่วหานสือสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
เขาชื่นชมจนถึงขั้นนับถือโก่วหานสือมาตลอด เชื่อเสมอมาว่าที่เขาเอาชนะโก่วหานสือตอนสอบใหญ่นั้นไม่ใช่เขาแข็งแกร่งกว่าโก่วหานสือ หากแต่เป็นเพราะเขามีเหตุผลมากกว่าโก่วหานสือที่จะต้องได้ตำแหน่งอันดับหนึ่งขั้นหนึ่ง เพราะเขาไม่มีอะไรในโลกที่ต้องเป็นห่วง
บัณฑิตหูเป็นที่ยกย่องว่าไร้เทียมทานภายใต้ระดับทะลวงอเวจี แต่แล้วอย่างไร
ในตอนนี้เฉินฉางเซิงสามารถเอาชนะยอดฝีมือระดับรวบรวมดวงดาวขั้นต้น ดังนั้นโก่วหานสือย่อมทำได้เช่นเดียวกัน
เขารู้สึกสับสนอยู่บ้าง และสาเหตุหลักที่เขาไม่สบายใจก็คือเหลียงปั้นหู กวนเฟยไป๋และโก่วหานสือต่างก็ใช้เพลงกระบี่ประตูภูเขาของสำนักกระบี่หลีซาน
เขาเข้าใจว่านี่เป็นความมั่นใจในตัวเองของศิษย์สำนักกระบี่หลีซาน ความภูมิใจของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ
แต่เขารู้สึกว่ายังมีสิ่งที่สำคัญซ่อนอยู่เบื้องหลังทางเลือกนี้
“เพราะเหลียงเสี้ยวเซียว”
ถังซานสือลิ่วมองไปที่ตำแหน่งของสำนักกระบี่หลีซาน สีหน้าเคร่งเคีรยดไม่เหมือนท่าทีเล่นๆ เช่นที่เคยเป็น
เฉินฉางเซิงสับสนและถาม “เหลียงเสี้ยวเซียวหรือ”
ถังซานสือลิ่วละสายตากลับมามองเขาและกล่าว “หลายคนลืมไปว่าใครคืออันดับหนึ่งขั้นหนึ่งในการสอบใหญ่ก่อนหน้าเจ้า”
เฉินฉางเซิงนึกและตอบ “เป็นเหลียงเสี้ยวเซียว”
“ใช่แล้ว แม้แต่ในหมู่พวกเขาทั้งเจ็ด พรสวรรค์แต่กำเนิดของเหลียงเสี้ยวเซียวก็โดดเด่นเหนือคนอื่น ผู้คนรู้ว่ากวนเฟยไป๋มีอำนาจจิตที่แข็งแกร่งในการบำเพ็ญเพียรและศึกษาเพลงกระบี่ เรื่องที่เขาฝึกเพลงกระบี่ทั้งหมดของสำนักกระบี่หลีซานจนเชี่ยวชาญ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเหลียงเสี้ยวเซียวก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลย เขาได้ทำให้เพลงกระบี่ขั้นต้นของสำนักกระบี่หลีซานให้เป็นเพลงกระบี่สังหารอย่างแท้จริง”
ถังซานสือลิ่วกล่าวต่อ “ในใจของศิษย์สำนักกระบี่หลีซาน เพลงกระบี่ขั้นต้นนี้…คือเพลงกระบี่ของเหลียงเสี้ยวเซียว ความหมายที่พวกเขาต้องการจะบอกโดยใช้เพลงกระบี่นี้ในการต่อสู้นั้นชัดเจนมาก”
เจ๋อซิ่วหันไปยังที่ซึ่งศิษย์สำนักกระบี่หลีซานนั่งอยู่ สีแดงเลือดค่อยๆ ปรากฏชึ้นในส่วนลึกของนัยน์ตา
เฉินฉางเซิงครุ่นคิดและกล่าว “ข้าไม่คิดเช่นนั้น”
[1] เปิดประตูแลดูภูเขาเป็นสำนวนแปลว่าตรงไปตรงมา