เหลียงเสี้ยวเซียว ศิษย์สำนักกระบี่หลีซาน อดีตสมาชิกของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ
อัจฉริยะหนุ่มผู้มีอนาคตไร้ขีดจำกัดอยู่ตรงหน้า กลับก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการทรยศมนุษยชาติร่วมมือกับเผ่ามารเพราะความเกลียดชัง ในสวนโจว เขาก่อพายุโลหิตและลงมือลอบสังหารเฉินฉางเซิง ชีเจียนและพวก หลังจากล้มเหลว เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ใช้ความตายของตัวเองวางอุบายอันไม่คืดยอมแพ้
ทว่าการกลับมาเขาหลีซานของซูหลี บทสรุปของการกบฏภายในหลีซาน เฉินฉางเซิงกลับคืนสู่จิงตู จวงห้วนอวี่ฆ่าตัวตายหนีการลงโทษ ข้อถกเถียงและข้อสงสัยทั้งมวลก็พลันหยุดลง ในตอนนี้ เหลียงเสี้ยวเซียวได้กลายเป็นความอัปยศที่สุดของหลีซาน บางทีอาจเป็นจุดที่โจมตีได้ง่ายที่สุด ยอดฝีมือพรรคไร้รักคนก่อนหน้านี้ก็คิดเช่นนี้
การตอบสนองของสำนักกระบี่หลีซานนั้นหนักแน่นและชัดเจนมาก
ตามกฎของสำนักกระบี่หลีซาน แม้ว่าเหลียงเสี้ยวเซียวจะตายไปแล้ว เขาก็ยังถูกขับออกจากสำนักและไม่นับว่าเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่หลีซานอีกต่อไป แต่ในสายตาของโก่วหานสือกับพวก มือกระบี่หนุ่มที่โดดเด่นนี้ยังเป็นศิษย์พี่น้องของพวกเขา อย่าว่าแต่เหลี่ยงปั้นหูผู้พี่น้องร่วมสายเลือดกับเขา
ความเกลียดชังและอัปยศนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่พวกเขาจะลืมเวลาที่บำเพ็ญร่มกันมาเป็นสิบปีไปได้อย่างรวดเร็วได้อย่างไร
ถังซานสือลิ่วถามอย่างสับสน “เจ้าคิดจริงหรือว่าพวกเขาไม่ได้เล็งเป้ามาที่เจ้า”
เหลียงเสี้ยวเซียวตายนอกสวนโจวที่ชานเมืองฮั่นชิวด้วยมือของตัวเอง แต่หากมองอีกมุมหนึ่งเขาไม่ได้ตายด้วยกระบี่ของเฉินฉางเซิงหรอกหรือ
เฉกเช่นที่จงห้วนอวี่โดดบ่อน้ำฆ่าตัวตายที่สำนักเทียนเต้า แต่ทั้งอาจารย์และศิษย์ของสำนักเทียนเต้ารวมถึงกวนไป๋ที่โด่งดังก็ยังโทษเฉินฉางเซิงให้รับผิดชอบ
ไม่มีใครเคยพูดว่าเฉินฉางเซิงนั้นทำผิดอะไรในเรื่องนี้ แต่ก็อย่างที่พูดไป ความแค้นนั้นชัดเจนเสมอว่าไม่เคยขึ้นอยู่กับเหตุผล
เห็นได้ชัดว่าถังซานสือลิ่วคิดในมุมนี้ตอนที่เขาเตือนเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงส่ายหน้าครุ่นคิด “บางที…อาจเพื่อระลึกถึง”
ถังซานสือลิ่วเลิกคิ้ว ไม่เชื่อทฤษฎีนี้สักเท่าไร
เจ๋อซิ่วอธิบาย “ที่เฉินฉางเซิงหมายถึงก็คือหากเจ้าตาย ไม่ว่าจะตายอย่างไร เขาก็ไม่มีวันลืมเจ้า ดังนั้นเขาก็จะใช้เพลงกระบี่เวิ่นสุ่ยสามกระบวนท่าเพื่อระลึกถึงเจ้าอยู่เป็นระยะๆ”
ถังซานสือลิ่วถลึงตาใส่และย้อน “เจ้าพูดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
……
……
ความแค้นเก่าระหว่างเมืองเทียนเหลียงกับสำนักกระบี่หลีซาน ทำให้บัณฑิตหูและพวกท้าประลองกับพวกเขา แต่ก็แพ้สามครั้งซ้อน ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีที่มาจากพื้นที่อื่นย่อมไม่หาเรื่องใส่ตัว ดังนั้นภาพในตอนนี้จึงค่อนข้างจะวังเวงอยู่บ้าง
จากนั้นจงฮุ่ยก็ยืนขึ้น
นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องและไม่อาจเลี่ยง ถูกต้องและไม่อาจเลี่ยงจนเมื่อฝูงชนได้เห็นเขาเดินมาที่เวทีและเลื่อนสายตาไปที่โก่วหานสือ พวกเขาก็หายใจออกโดยไม่รู้ตัว
ในการสอบใหญ่ปีที่แล้ว เฉินฉางเซิงได้อันดับหนึ่งขั้นหนึ่ง โก่วหานสือได้อันดับสอง และจงฮุ่ยได้อันดับสาม บนประกาศเตี่ยนจินใหม่ จงฮุ่ยก็ยังตามหลังทั้งสองคนอยู่
ในเวลาหนึ่งปีครึ่งหลังจากจบการสอบใหญ่ จงฮุ่ยก้าวหน้าขึ้นเร็วราวกับสายฟ้า เขาได้บำเพ็ญมาจนถึงจุดสูงสุดของระดับทะลวงอเวจี เมื่อเทียบกับอันดับสามขั้นหนึ่งที่เขาได้รับมาอย่างแทบจะเรียกได้ว่าบังเอิญนั้น ตำแหน่งของเขาในประกาศเตี่ยนจินนั้นเป็นการยืนยันสถานะของเขาในหมู่คนรุ่นเยาว์ได้อย่างแท้จริง แท้กระนั้น เขาก็ยังคงอยู่ต่ำกว่าเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือ ดังนั้นในการประชุมใหญ่จู่สือ เขาย่อมต้องการที่จะท้าประลองกับโก่วหานสือและเฉินฉางเซิง
เขามองไปที่โก่วหานสืออย่างสงบและใช้หางตามองเฉินฉางเซิง
ความสงบนิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวเอง
กวนเฟยไป๋ก็มั่นใจในตัวเองมากเช่นกัน อีกทั้งยังภาคภูมิอย่างยิ่ง เขาดูถูกจงฮุ่ยเสมอมา รู้สึกว่าบัณฑิตจากสำนักต้นไหวผู้นี้แสร้งเป็นสงบ เขาหัวเราะอย่างเย็นชาเตรียมที่จะก้าวขึ้นไปบนเวทีเพื่อท้าประลอง
โก่วหานสือรั้งศิษย์น้องเอาไว้ เขาต้องการจะแสดงความนับถือที่เหมาะสมต่อคู่ต่อสู้ จงฮุ่ยไม่ได้เปิดปากแต่ทุกคนก็รู้ว่าเขาต้องการท้าประลองกับใครกันแน่
ลมจากทะเลสาบพัดอย่างอ่อนโยนผ่านแขนเสื้อของจงฮุ่ยและหินละเอียดบนเวที
โก่วหานสือเดินไปบนหินละเอียด ทิ้งรอยเท้าตื้นๆ เอาไว้
จงฮุ่ยมองที่เขา สีหน้าสงบนิ่ง ถึงกับแข็งกระด้างอยู่บ้างเมื่อยามที่เขาชักกระบี่ออกมา
ด้วยการกระทำนี้ แขนเสื้อของเขาก็หยุดกระพือในทันที นั่นเพราะลมหยุดพัดจากทะเลสาบ ถูกเจตจำนงกระบี่ที่เขาแผ่ออกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและหายไปในอากาศ
โก่วหานสือเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง
สุดท้ายแล้ว ข่าวลือกับสิ่งที่ได้เห็นด้วยตานั้นเป็นเรื่องที่แตกต่างกัน
ทุกคนกล่าวว่าจงฮุ่ยได้บำเพ็ญถึงจุดสูงสุดของระดับทะลวงอเวจีและยังมีโอกาสที่จะเป็นคนที่ทะลวงสู่ระดับรวบรวมดวงดาวได้เร็วที่สุดเป็นอันดับสองรองจากชิวซานจวิน อย่างไรก็ตาม หลังจากได้เห็นเขาด้วยตาตัวเองและสัมผัสได้ถึงสายลมทะเลสาบที่หายไป ฝูงชนจึงได้รู้ในที่สุดว่าเจตจำนงกระบี่ของเขานั้นบรรลุถึงระดับที่แข็งแกร่งเพียงนี้ ห่างจากเส้นแบ่งเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
สีหน้าของโก่วหานสือเคร่งขรึมกว่าเดิม
บรรยากาศเหนือเวทีเคร่งเครียดจริงจังมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มิใช่ดังที่ผู้คนจินตนาการ ความจริงจังของโก่วหานสือไม่ใช่เพราะเขาตระหนักว่าอาจจะพ่ายแพ้ หากแต่เป็นเพราะเขาคิดว่าไม่อาจที่จะเก็บงำความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้ได้อีกต่อไป
เขาไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจครั้งนี้
ไอพลังปราณที่อ่อนจางจนแทบจะไม่อาจสัมผัสได้แผ่ออกมาจากร่างกายเขา
เศษเสี้ยวของลมทะเลสาบที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ดูเหมือนจะถูกพลังบางอย่างทำให้รวมตัวกันอีกครั้งอย่างช้าๆ ล้อมรอบร่างกายเขา
ดวงตะวันเจิดจ้าลอยเด่นอยู่เบื้องบน แม้ว่าพวกเขาจะอยู่บนยอดเขาสูงที่เย็นเยียบ อุณหภูมิก็ยังค่อยๆ อุ่นขึ้น รังสีเจิดจ้าตกกระทบลงมาบนทะเลสาบและก้อนหิน ส่องแสงสะท้อนจนเจิดจ้าบาดตา
ลำแสงเจิดจ้านี้ไม่อาจตกสู่ร่างของโก่วหานสือโดยตรง
เพราะร่างของเขาถูกล้อมโดยลมทะเลสาบอันเป็นประดุจผืนผ้าไหม
ลำแสงส่องสะท้อนและแตกกระจายอีกครั้ง แม้ว่ายังสว่างแต่ก็ไม่เจิดจ้าอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นลำแสงก็ถูกลมทะเลสาบหั่นเป็นประกายแสงจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อประกายแสงพวกนั้นตกลงบนเสื้อสีน้ำเงินของเขา ก็ดูเสมือนว่าเขายืนอยู่ใต้ต้นไม้
และก็ยังดูเสมือนดวงดาวนับไม่ถ้วน
ไอพลังปราณที่บางจนยากจะสัมผัสได้เปลี่ยนเป็นสงบหาใดเปรียบ กระจ่างใสหาใดเปรียบ ประกายดาวจำนวนนับไม่ถ้วนเต้นรำอยู่บนใบหน้าและเสื้อผ้า แต่กระนั้นก็ไม่ลอยห่างออกไป
เวทีหินริมทะเลสาบเงียบงันอย่างที่สุด
ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรเป็นเวลานาน
เมื่อประกายดาวเริ่มเต้นรำ สีหน้าของจงฮุ่ยก็เปลี่ยนไป
สีหน้าสงบนิ่งและแข็งทื่อของเขาถูกแทนที่ด้วยความตกใจและรู้สึกพ่ายแพ้
หน้าซีดอย่างที่สุด ไม่มีสีเลือดให้เห็นแม้แต่น้อย
หลังจากผ่านไปนาน เขาก็ฟื้นคืนสติในที่สุดและกล่าวเสียงสั่นเทา “ข้าแพ้แล้ว”
ยามที่กล่าวคำนี้ออกมา เขาดูเหมือนปวดร้าวอย่างล้ำลึก
หลังจากกล่าวแล้ว เขาก็ดูเหมือนผ่อนคลาย เก็บกระบี่ใส่ฝักและจากไป
เวทีหินยังคงเงียบงัน
เสียงอ่อนโยนกระจ่างใสดังขึ้น
“ยินดีกับศิษย์พี่”
คนพูดคือสวีโหย่วหรง
หลายคนอาจคาดเดาได้หรืออาจจะเข้าใจว่าเหตุใดจงฮุ่ยถึงได้ยอมรับความพ่ายแพ้ ทว่าเมื่อนางกล่าวออกมาผู้คนถึงกล้าเชื่ออย่างแท้จริง เพราะเรื่องนี้ออกจะเหลือเชื่อยิ่งนัก
ผู้ชมทั้งหมดยังคงเงียบงัน ความเงียบดำรงอยู่เป็นเวลานาน
โก่วหานสือเข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวได้สำเร็จแล้ว
ตัวเขาเองก็สงบอย่างมาก แต่ศิษย์ของสำนักกระบี่หลีซานยากที่จะปิดบังความภาคภูมิใจเอาไว้ได้ กวนเฟยไป๋ยังตีหน้าตายเหมือนเคย ทว่าสายเขาที่มองไปทางสำนักฝึกหลวงนั้นเปลี่ยนไป
เฉินฉางเซิงถอนหายใจ “น่ายกย่อง”
เจ๋อซิ่วพยักหน้า “เร็วที่สุดเป็นอันดับสอง”
ในผู้เยาว์รุ่นนี้ ความเร็วที่โก่วหานสือสำเร็จขั้นรวบรวมดวงดาวนั้นจัดเป็นอันดับสอง ม่ออวี่กับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยสำเร็จขั้นรวบรวมดวงดาวด้วยวัยที่สูงกว่าเล็กน้อย
สำหรับคนที่อยู่อันดับหนึ่งย่อมเป็นชิวซานจวิน
ถังซานสือลิ่วสีหน้าเรียบเฉยตอนที่กระซิบ “เจ้าต้องรีบหน่อยแล้ว”
คนที่เขาพูดด้วยคือเฉินฉางเซิง
โก่วหานสือหันไปทางสำนักฝึกหลวงและพยักหน้าให้เฉินฉางเซิงช้าๆ
เขาไม่ได้พูด แต่เฉินฉางเซิงก็เข้าใจความหมาย
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ลุกขึ้น
ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้อง