ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 85 ปล่อยไป

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เสียงอื้ออึงประกอบด้วยเสียงมากมาย

เสียงถกเถียง เสียงอุทาน

ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักกระบี่หลีซานกับสำนักฝึกหลวงนั้นมิใช่ศัตรูกันดังเช่นในตอนแรกอีกต่อไป เช่นที่โก่วหานสือกล่าวกับศิษย์น้องก่อนที่จะเข้าสู่หานซาน

พวกเขาไม่ใช่ศัตรูแต่ก็ยังคงเป็นคู่แข่ง

แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความเป็นศัตรูกัน ก็ยังต้องประมือกัน…อีกครั้งหนึ่ง

สำนักกระบี่หลีซานสามารถขับไล่ยอดฝีมือจากเมืองเทียนเหลียงที่เต็มไปด้วยความเป็นปฏิปักษ์ได้อย่างง่ายดาย โก่วหานสือแสดงระดับการบำเพ็ญขั้นรวบรวมดวงดาวและทำให้จงฮุ่ยต้องถอนตัวไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

สถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาและเฉินฉางเซิงจะต้องประมือกัน

เวลาผ่านมาเกือบสองปีแล้วนับจากการประลองรอบสุดท้ายในการสอบใหญ่ สองปีนี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้น ดังนั้นผลการประลองอาจจะเปลี่ยนไปใช่หรือไม่

ในโลกนี้มีเพียงเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือที่เชี่ยวชาญในคัมภีร์เต๋า มีการบำเพ็ญและพรสวรรค์ที่คนอื่นยากที่จะเทียบได้ ฝูงชนปรารถนาจะรู้ว่าระหว่างพวกเขาใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน

โก่วหานสือได้บรรลุขั้นรวบรวมดวงดาวแล้วในขณะที่เฉินฉางเซิงยังไม่บรรลุ ว่าตามเหตุผล เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสู้กับโก่วหานสือได้ ทว่าทุกคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าประตูสำนักฝึกหลวงเมื่อฤดูร้อนปีก่อน สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป การก้าวข้ามระดับบำเพ็ญเพียรและเอาชนะยอดฝีมือระดับรวบรวมดวงดาวเป็นสิ่งที่เกินจินตนาการ แต่กลับไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเฉินฉางเซิง แม้กระนั้นฝูงชนก็ยังไม่เอียงไปทางเฉินฉางเซิงเพราะแม้ว่าโก่วหานสือจะเข้าสู่ระดับรวบรวมดวงดาวได้ไม่นาน เขาก็ยังเป็นโก่วหานสือ จากชื่อของเขาก็มั่นใจได้ว่าเขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นแรกระดับรวบรวมดวงดาวธรรมดาทั่วไป

เฉินฉางเซิงยืนขึ้น เริ่มเดินไปยังเวทีหิน สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องการเคลื่อนไหวของเขา

โก่วหานสือเองก็มองเขาเช่นกัน มองอย่างสุขุมยิ่งนัก จริงจังยิ่งนัก

ในตอนนั้นเองเสียงกระจ่างใสดังขึ้นจากห้องในศาลาริมทะเลสาบ

เสี่ยงกระจ่างใสนั้นเป็นเสียงฉินที่ฟังประหนึ่งคลื่นกระทบฝั่ง

จากนั้นเสียงโน้ตที่สองจากฉินก็ดังขึ้นและดังอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน

เสียงผสานทำนองที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเสียงฉินนี้เป็นผลงานของผู้ที่ศึกษาดนตรีอย่างล้ำลึก แต่ละนิ้วที่กดลงบนสายฉินนั้นเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ แต่ด้วยเหตุบางอย่าง ยามที่มีการเปลี่ยนโน้ต คนเล่นฉินนี้ได้ทำพลาด ความผิดพลาดเช่นนี้แม้แต่มือใหม่ก็ยังไม่ทำกัน เว้นระยะผลัดเปลี่ยนอย่างชัดเจน

“ผู้เล่นฉินคือใครกัน”

หลายคนหันไปมองที่อาคารซึ่งมีเสียงฉินดังออกมาและถามคำถามนี้อยู่ในใจ บางคนถึงขนาดเพิ่มคำบางคำเข้าไปในคำถามด้วย

ใครกันที่กล้ามาเล่นฉินในเวลาเช่นนี้

ประตูของอาคารนั้นปิดอยู่ บางคนจำได้ว่านับตั้งแต่หลายวันก่อน ประตูนี้ก็ปิดอยู่ตลอดไม่เคยเปิดขึ้นเลย กลายเป็นว่าอันที่จริงแล้วมีคนอยู่ในนั้น

ผู้เฒ่าความลับสวรรค์หันไปทางอาคารนั้นแล้วส่ายหน้า เขาย่อมรู้ว่าผู้ที่อยู่ข้างในคือผู้ใด กระนั้นเขาก็ไม่คิดว่าคนผู้นี้จะไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมของเขาและยืนกรานที่จะต่อสู้

“ดูเหมือนว่าเราต้องเลื่อนการประลองของเราออกไป”

โก่วหานสือมองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าว ในตอนนี้เขารู้จากเสียงดนตรีแล้วว่าคนที่เล่นฉินเป็นใคร

เฉินฉางเซิงก็รู้เช่นกันและตอบ “หวังว่าคงไม่นานเกินไป”

มีหลายคนที่จำได้ว่าคนเล่นฉินเป็นใคร เสียงพูดคุยดังขึ้นแล้วก็เงียบลงเมื่อสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่อาคารนั้น รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย

ผู้เล่นฉินคือกวนไป๋

ผู้นำคนรุ่นเยาว์ของสำนักเทียนเต้า กวนไป๋ผู้โด่งดัง

โก่วหานสืออยากจะแลกเปลี่ยนคำแนะนำกับเฉินฉางเซิงอย่างแท้จริง ทว่าครั้นได้ยินเสียงฉิน เขาก็ต้องห้ามใจไว้

ฝูงชนอยากดูการประลองระหว่างโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิง แต่พวกเขาต้องการจะเห็นการต่อสู้ของเฉินฉางเซิงกับกวนไป๋มากกว่า

เพราะผู้คนในต้าลู่ต่างก็รอการประลองนี้มาตลอดทั้งปี

ฤดูร้อนปีก่อน ที่ประตูสำนักฝึกหลวงคึกคักหาใดเปรียบ แต่กวนไป๋ไม่ได้ขึ้นเวที เขาเพียงแต่ยืนบนถนน มองดูเฉินฉางเซิง

เขาไม่ได้พูดอะไร

แต่หลายคนในจิงตูทราบ

เขาให้เวลาเฉินฉางเซิงได้เติบโตขึ้นหนึ่งปี

หลังจากการมองครั้งนั้นแล้ว ก็ไม่มีร่องรอยของกวนไป๋ให้เห็น ดูเหมือนว่ายอดมือกระบี่แห่งสำนักเทียนเต้าผู้นี้ได้หายตัวไป

ราวกับว่ากวนไป๋ได้กักตนเพื่อบำเพ็ญ เตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ในวันนี้โดยเฉพาะ

ประตูของอาคารที่อยู่ห่างไปนั้นเปิดออกช้าๆ เกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด

ชายผู้หนึ่งเดินออกมาจากอาคาร ร่างกายสูงตั้งตรง สีหน้าอ่อนโยนสงบนิ่ง ไร้ฝุ่นเปรอะเปื้อน

เขาคือกวนไป๋ แต่เขาต่างจากกวนไป๋ในอดีต เป็นกวนไป๋ที่ต่างไปจากความทรงจำของคนที่รู้จักกวนไป๋

กวนไป๋ในอดีตเดินทางท่องเที่ยวอยู่ตลอด ร่างกายปกคลุมไปด้วยฝุ่นผง ให้ความรู้สึกแหลมคมน่ากลัว

ทุกคนมองไปที่กวนไป๋จะรู้สึกว่าประกายกระบี่ฉายเข้ามาในดวงตา ถึงขนาดร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดจากเจตจำนงกระบี่ที่แผ่ออกมาจากร่างกายเขา

กวนไป๋ในตอนนี้ยังคงมีกระบี่ยาวแขวนอยู่ที่เอว แต่ยังอยู่ในฝักไม่เผยความแหลมคมออกมา

แสงแดดตอนเที่ยงอาบย้อมเวทีหิน ดูเหมือนจะร้อนแรงและสว่างเจิดจ้ากว่าปกติ

กวนไป๋เดินมาช้าๆ

เกิดความเงียบงันอย่างที่สุด ดวงตาหลายร้อยคู่มองตามเขา ฝูงคนค่อยๆ เปิดทางออกให้กับเขา

ทันใดนั้นฝูงชนก็ดูเหมือนจะอดใจไม่ไหว ค่อยๆ ส่งเสียงร้องอย่างประหลาดใจออกมา ประหนึ่งเห็นสิ่งที่น่าตกใจอย่างมาก

ถังซานสือลิ่วยืนขึ้นและมองไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

เฉินฉางเซิงเห็นแล้ว สีหน้าก็เคร่งเครียดอย่างมาก

แขนเสื้อปลิวไหวในอากาศยามเมื่อสายลมอ่อนโชยพัดมา

แขนเสื้อของกวนไป๋ปลิวไปตามลม บางครั้งก็ม้วนขึ้น

แขนขวาของเขา…ถูกตัดขาดไปแล้ว!

……

……

เกิดเสียงดังเอ็ดอึง ตื่นตะลึงอย่างแท้จริง เสียงร้องอย่าตกใจดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกคนเชื่อว่ากวนไป๋ได้ใช้เวลาในปีที่ผ่านมาเหมือนกับปีอื่นๆ เดินทางท่องเที่ยวหรือปิดบังตัวตนไปสังหารเผ่ามารในสนามรบทางเหนือ หรือแม้แต่บำเพ็ญเพียรอยู่เงียบๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้นี้ ใครจะไปคาดคิดว่าเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งต่อหน้าฝูงชน เขาจะเสียแขนไปแล้วข้างหนึ่ง!

ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือแขนขวาของเขาถูกตัดขาด

ในอดีตหลายคนมองว่ากวนไป๋เป็นผู้มีพรสวรรค์ในวิถีกระบี่ที่มีโอกาสติดสิบอันดับแรกในประกาศเซียวเหยา เขายังอายุน้อยกว่ายอดฝีมือในรุ่นของหวังผ้อมาก

ในตอนนี้ เขาไม่มีมือขวาที่ใช้จับกระบี่อีกต่อไป…ผู้ที่เคยมือกระบี่อัจฉริยะจะตกต่ำลงสู่โลกียวิสัยอย่างนั้นหรือ

ภายใต้สายตาตกตะลึง กวนไป๋ก็มาถึงเวที หลังจากคำนับให้กับผู้เฒ่าความลับสวรรค์และสวีโหย่วหรง เขาก็มาถึงแท่นที่พวกนิกายหลวงนั่งอยู่

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขายังเป็นคนของสำนักเทียนเต้าและยังเป็นคนของนิกายหลวง

เขาคำนับราชันย์แห่งหลิงไห่และเหมาชิวอวี่

เห็นได้ชัดว่าราชันย์แห่งหลิงไห่กับเหมาชิวอวี่รู้เรื่องที่เขาแขนขาด ราชันย์แห่งหลิงไห่กล่าว “พยายามทำให้เต็มที่”

ในฐานะอดีตเจ้าสำนักเทียนเต้า เหมาชิวอวี่ย่อมรู้สึกซับซ้อนเป็นธรรมดา เขาอยากจะพูดแต่ก็หยุดลงก่อนจะถอนหายใจกล่าว “เจ้าก็มา”

กวนไป๋ตอบ “สุดท้ายแล้วข้าก็ต้องมา”

เขาหันไปหาเฉินฉางเซิง โค้งคำนับให้อย่างสุขุม

เฉินฉางเซิงไม่ได้หลบเลี่ยง หลังจากได้รับการคำนับเขาก็คำนับตอบ

กวนไป๋มองกลับไปเงียบๆ ไม่ได้หลบเลี่ยงเช่นกัน ยอมรับการคำนับ

มีประกายแสงที่แทบมองไม่เห็นในดวงตาของเขา กระจ่างใสและเศร้าหมองประดุจดังดวงตะวันในฤดูสารทที่ลอยอยู่บนฟ้า

“ทุกคนรอเจ้าอยู่ เข้ามา” เขากล่าวกับเฉินฉางเซิง

หลังจากกล่าว ประกายกระบี่ก็หายเข้าไปในนัยน์ตาของเขา ไม่อาจมองเห็นได้อีกต่อไป

เฉินฉางเซิงมองไปที่แขนเสื้อว่างเปล่าและกล่าว “ข้าไม่คิดว่าเหมาะสมนัก”

กวนไป๋ตอบ “ปีนี้ ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นบนร่างกายของเจ้า และข้าก็ได้เรียนวิธีการใช้กระบี่ด้วยมือซ้าย นี่นับว่ายุติธรรมมาก เราสามารถสู้โดยไม่ต้องมัดมือตัวเอง”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เฉินฉางเซิงก็ตอบ “เหตุใดเจ้าจึงไม่ปล่อยไป”

“ไม่มีใครปล่อยมือได้อย่างหมดจดเท่าข้าอีกแล้ว” กวนไป๋ยิ้มตอบ

มือของเขาได้จากไปแล้ว แล้วจะให้เขาวางมืออีกหรือ นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่อาจปล่อยวางได้

รอยยิ้มของเขาจางไป ครั้นแล้วขาก็กล่าวกับเฉินฉางเซิงอย่างสุขุม “ไม่ว่าห้วนอวี่จะเกินทนสักแค่ไหน สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นศิษย์น้องของข้า”

ใช่แล้ว มีเรื่องมากมายที่ผู้คนไม่อาจปล่อยวางได้

แม้ว่าเหลียงเสี้ยวเซียวจะร่วมมือกับเผ่ามาร ทำความผิดที่ไม่อาจให้อภัย กระนั้นโก่วหานสือและพวกศิษย์สำนักกระบี่หลีซานก็ยังจดจำเขาเอาไว้ในใจ

ดังเช่นที่เจ๋อซิ่วกล่าว หากถังซานสือลิ่วทำเรื่องบางอย่างในอนาคตที่ทำให้คนและเทพโกรธเคือง เฉินฉางเซิงก็ยังไม่อาจที่จะเกลียดชังและปฏิเสธเขาได้

สิ่งที่เรียกว่าความแค้นนั้นไม่มีวันสลายและไม่อาจทำความเข้าใจได้

……