กวนไป๋ได้อธิบายแล้วและในตอนนี้ ก็ขึ้นอยู่กับเฉินฉางเซิงว่าจะยอมรับหรือไม่
สำหรับเขา นี่เป็นเรื่องที่มีปัญหาพอสมควร หลายคนรู้สึกว่าอย่างน้อยวันนี้ เขาก็ไม่ควรที่จะก้าวออกไป
กวนไป๋ไม่ใช่พวกผู้บำเพ็ญเพียรระดับรวบรวมดวงดาวขั้นต้นที่พ่ายแพ้ให้กับเขา ทว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญกระบี่อย่างแท้จริง ระดับการบำเพ็ญเพียรของเขาเหนือกว่าเฉินฉางเซิง ที่สำคัญกวนไป๋ได้รับบาดเจ็บสาหัสมา แขนขวาถูกตัดขาด ต่อให้เขากล่าวว่าเขาได้เรียนวิธีใช้กระบี่ด้วยมือซ้าย ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลับไปสู่จุดสูงสุดเหมือนเคย ต่อให้เฉินฉางเซิงทุ่มเทเอาชนะเขาได้ ก็ไม่มีเกียรติแม้แต่น้อย
เขาเป็นว่าที่สังฆราช หากเขาชนะ ก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ หากพ่ายแพ้ ก็เป็นเรื่องน่าขายหน้าอย่างยิ่ง วิธีที่ดีที่สุดก็คือไม่รับคำท้าประลองตั้งแต่แรก
เงียบงันไปอีกครั้งหนึ่ง สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เฉินฉางเซิง เงี่ยหูรอฟังการตัดสินใจ ไม่มีใครกล้าเร่งรัดเขา ทว่าความเงียบและสายตาก็สร้างแรงกดดันได้ไม่น้อย
ในตอนนั้นเองที่น้ำเสียงใสเย็นดังขึ้นผ่านม่านขาว “เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรนั้นยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด เมื่อเจ้าได้ก้าวขึ้นมาแล้ว เจ้าจะหยุดได้อย่างไร ตราบใดที่เจ้ายังก้าวเดินต่อไป ก็ต้องมีเวลาที่เจ้าเดินถึงวันนั้น ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเจ้าจะไปถึงเร็วหรือช้า ชัยชนะหรือพ่ายแพ้หาต้องใส่ใจไม่ เหตุใดถึงปล่อยให้คำนินทาหรือชมเชยทำให้ใจปั่นป่วน หรือว่าเจ้ายังไม่เข้าใจเรื่องนี้อีก”
มีคนไม่เกินสิบคนที่สามารถพูดกับเฉินฉางเซิงด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ได้ สำหรับคนที่อยู่ในตอนนี้ มีเพียงผู้เฒ่าความลับสวรรค์และ…สวีโหย่วหรงเท่านั้น
คนพูดคือสวีโหย่วหรง น้ำเสียงนางใสเย็น ถึงขั้นเฉยชา ยากที่จะรับรู้อารมณ์ที่ซ่อนอยู่
ผู้คนมากมายมองตามเสียงไปยังม่านขาวบนแท่นสูง เห็นเงาร่างอันงดงามได้อย่างเลือนราง พวกเขาเริ่มรู้สึกแปลกๆ เพราะบรรยากาศประหลาดที่ปกคลุมบริเวณนี้
คำพูดของสวีโหย่วหรงเหมือนจะให้กำลังใจแต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง ก็ฟังเหมือนการยั่วยุหรืออาจถึงขั้นเยาะเย้ย
เมื่อฝูงชนคิดเรื่องนี้ ก็อดถอนหายใจไม่ได้ พลางคิดในใจ ต่อให้เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มีเส้นทางแห่งจิตที่สว่างเจิดจ้า ก็ยังมีความไม่พอใจที่ถูกทำให้เสียหน้าในจิงตูด้วยการยุติการหมั้นหมายอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนจากสำนักกระบี่หลีซานได้ยิน พวกเขากลับคิดไปอีกอย่างหนึ่ง
กวนเฟยไป๋มองไปที่โก่วหานสือและถามอย่างไม่แน่ใจ “ฟังจากการตอบสนองของศิษย์น้อง ศิษย์พี่ใหญ่…น่าจะยังมีโอกาสอยู่นะ”
โก่วหานสือนั้นเชี่ยวชาญคัมภีร์เต๋า กลับไม่อาจแน่ใจในเรื่องนี้อย่างแท้จริง
คนที่อยู่ในที่แห่งนี้และเข้าใจความจริงทั้งหมดก็คือถังซานสือลิ่ว ครั้นได้เห็นสีหน้าของฝูงชนและท่าทีของสำนักกระบี่หลีซาน ริมฝีปากเขาก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเยาะและคิดในใจอย่างดูถูก พวกเจ้าจะไปเข้าใจความรักใคร่ที่หาเหตุผลไม่ได้และการแสดงออกอย่างแตกต่างของคู่รักหนุ่มสาวคู่นี้ได้อย่างไร
พวกเขาเชื่อว่าสวีโหย่วหรงเยาะเย้ยเฉินฉางเซิงด้วยคำพูด
ถังซานสือลิ่วรู้ว่านางไม่ได้ทำเช่นนั้น และเฉินฉางเซิงก็มั่นใจมากว่านางไม่ได้ทำ เขาเข้าใจความหมายของนาง
การบำเพ็ญเพียรนั้นต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ความก้าวหน้าจำเป็นต้องพบความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ชนะหรือพ่ายแพ้มิใช่เรื่องสำคัญ คำนินทาหรือชมเชยสำคัญน้อยยิ่งกว่า
หากเขาต้องการจะทะลวงผ่าน เขาต้องเรียนรู้ที่จะไม่สนใจเรื่องพวกนี้และกลับคืนสู่แก่นแท้ของการบำเพ็ญเพียร
ด้วยความเข้าใจชีวิต ด้วยความเข้าใจอันโดดเด่นที่เขาได้เรียนรู้จากการต่อสู้ ด้วยจิตใจอันแข็งแกร่งที่ได้รับจากแรงกดดันอันยิ่งใหญ่จากการใช้ชีวิตอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย
เขาไม่ได้หันไปหานางที่อยู่หลังม่านขาว ทว่าหันไปมองทางหมอกอบอุ่นที่อยู่ใจกลางทะเลสาบ ในที่สุดก็ละสายตามามองกวนไป๋ที่บนเวทีหิน
ลมทะเลสาบพัดฝุ่นบนแผ่นหิน แขนเสื้อว่างเปล่าของกวนไป๋ และแขนเสื้อของเฉินฉางเซิงเอง
เขาเดินไปที่เวทีหินและยืนตรงหน้ากวนไป๋
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้คนมากมายได้เห็นเขาใกล้ๆ เช่นนี้
ฝูงชนตระหนักว่าเฉินฉางเซิงในตำนานไม่ได้หล่อเหลาเท่าใด แต่ก็ดูสะอาดอย่างยิ่ง แผ่ความรู้สึกของผู้เยาว์ที่ยังไม่เติบโตออกมา
เขายืนอยู่ตรงนั้นสดชื่นราวกับสายลมวสันต์อันเป็นอิสระจากข้อจำกัดของโลก
เสียงถกเถียง เสียงทอดถอนใจ และเสียงชื่นชมดังออกมาจากฝูงชน
กวนไป๋เยือกเย็นยิ่ง ไม่กล่าวอะไรอีก เขานำกระบี่ยาวออกจากเอวและยกขึ้นมาในอากาศตรงหน้า
ในตอนนี้เขามีเพียงมือเดียว ดังนั้นเขาจะชักกระบี่ออกจากฝักอย่างไร
มือของเขาเลื่อนขึ้นไปตามกระบี่และเมื่อมาถึงด้าม นิ้วเขาก็เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้น กำด้ามเอาไว้แน่น
ฝักกระบี่เลื่อนลงช้าๆ ด้วยเสียงดังกังวาน เผยให้เห็นกระบี่ที่เจิดจ้า
นี่เป็นภาพที่งดงามมาก
เฉกเช่นตะไคร่น้ำสีเขียวหลายสิบหมู่[1]ที่เติบโตบนพื้นผิวทะเลสาบถูกม้วนขึ้นโดยสายลม จากนั้นก็ถูกนำออกไป
สิ่งนี้ยิ่งดูคล้ายกับขุนพลที่เปื้อนไปด้วยเลือดและฝุ่น ถอดชุดเกราะออกช้าๆ อย่างมั่นคง เผยให้เห็นร่างที่เปี่ยมไปด้วยกำลัง
นี่คือการถอดเกราะ
การถอดเกราะไม่ได้หมายความว่าจะกลับคืนสู่บ้านเกิด[2] แต่อาจหมายถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่น่างดงาม
หรือบางทีนี่อาจเป็นการต่อสู้ที่กลับคืนสู่แก่นแท้ การต่อสู้ที่เงอะงะเหมือนเด็กตีกัน
การต่อสู้นี้ไม่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของฝ่ายไหน ไม่มีการพนันขันต่อเข้ามาเกี่ยวข้อง มีแค่การต่อสู้เท่านั้น
ที่เปรียบเทียบก็คือความแข็งแกร่ง ที่แย่งชิงก็คือชัยชนะ ที่ต้องการก็คือความสุข
แค่การกระทำง่ายๆ อย่างชักกระบี่ออกจากฝัก กวนไป๋ก็สามารถแสดงเจตจำนงและความปรารถนาที่จะต่อสู้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์
สายตาของผู้คนมากมายเป็นประกายขึ้นมา
โดยเฉพาะสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรอย่างกวนเฟยไป๋
ใครบ้างที่ไม่ชอบการต่อสู้เช่นนี้
แม้แต่ถังซานสือลิ่วก็รู้สึกว่าร่างกายร้อนรุ่มขึ้นมา เดินไปทางเวทีโดยไม่รู้ตัว มาถึงจุดที่คนจากสำนักกระบี่หลีซานยืนอยู่ ต้องการที่จะเข้าใกล้กับการต่อสู้นี้ให้มากขึ้น
มีเพียงเจ๋อซิ่วที่ไม่ตอบสนอง สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่อาจรวบรวมความสนใจ ไม่เหมือนกับที่คนอื่นเข้าใจ เขานั้นไม่ได้มีความรักในการต่อสู้ ในสายตาของเขา เป้าหมายของการต่อสู้ก็คือสังหารศัตรู ชัยชนะ ความสุข และสิ่งต่างๆ เหล่านั้นแสดงถึงการขาดความเข้าใจ
ชั่วขณะต่อมา เจตจำนงต่อสู้ของฝูงชนที่พลุ่งพล่านขึ้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
แสงในดวงตาของกวนเฟยไป๋และพวกที่เหลือหายไปในทันที แทนที่ด้วยความมึนงงและปราชัย
เพราะเจตจำนงกระบี่ที่ปรากฏขึ้นบนยอดเขาหานซาน
เจตจำนงกระบี่นี้มาจากกระบี่ในมือของกวนไป๋ จากคิ้วและดวงตา จากเส้นผมดำที่แน่นขนัด และจากแขนเสื้อที่ว่างเปล่า มาจากทุกรูขุมขนบนร่าง
เจตจำนงกระบี่นี้น่ากลัวหาใดเทียบ หนาแน่นเกินเปรียบปาน กรวดและหญ้าที่ถูกทำลายจากเจตจำนงกระบี่ของเหลียงปั้นหูกับกวนเฟยไป๋ได้ถูกตัดจนกลายเป็นผงละเอียดในตอนนี้
ทะเลสาบและสายลมซึ่งถูกหั่นแล้วรวมตัวกันใหม่ ก็ถูกหั่นอีกครั้งหนึ่ง มีรอยตัดมากมายเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังไม่อาจกลับมารวมตัวกันได้อยู่ครู่หนึ่ง เป็นภาพที่น่าอัศจรรย์อยู่บ้าง
เจตจำนงกระบี่แข็งแกร่งจนคนที่ภาคภูมิและมั่นใจในตัวเองอย่างกวนเฟยไป๋และถังซานสือลิ่ว ต้องฝืนใจยอมรับว่าไม่อาจเทียบกับเจตจำนงกระบี่นี้ได้
เสียงร้องประหลาดใจดังออกมาจากฝูงชน แต่พวกเขาก็เงียบลงกว่าก่อน
สายตาทั้งหมดจับจ้องไปที่กวนไป๋ ล้วนเปี่ยมด้วยความตกใจและนับถือ
เขาคู่ควรกับการเป็นยอดฝีมือบนประกาศเซียวเหยา ผู้มีชื่อเสียงของสำนักเทียนเต้า กวนไป๋เสียแขนไปและความแข็งแกร่งก็ได้รับความเสียหายหนัก แต่ไม่เพียงความแข็งแกร่งของเขาจะไม่ลดลง แต่เขากลับดูเหมือนจะก้าวหน้าขึ้นไปอีกก้าวหนึ่งในวิถีกระบี่!
ดังที่สวีโหย่วหรงกล่าวกับเฉินฉางเซิงเมื่อครู่ โอกาสมักเกิดขึ้นจากความพ่ายแพ้ การทะลวงผ่านมักมีต้นกำเนิดมาจากการทดสอบของชีวิตและความตาย
ในจิงตูเมื่อปีก่อน ด้วยว่าสุนัขจรจัดตัวหนึ่งถูกทรมานในตรอก กวนไป๋จึงไม่ยอมให้นักพรตหญิงชราผ่านไป นำมาซึ่งความอับอายและพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตเขา
เขาออกจากจิงตูและกักตัวอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาอันห่างไกล เขาใช้เวลาครึ่งปีฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจากแขนที่ถูกตัดและเริ่มคิดใคร่ครวญอยู่เงียบๆ
ริมลำธารที่ไหลลงมาตามหน้าผา ริมสระน้ำด้านหลังบ้านสวน เขาครุ่นคิดอย่างสุขุมและจริงจังเป็นเวลานาน
เขายืนยันว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดในคืนนั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือบนประกาศเซียวเหยาหรือไม่ ต่อให้เขาเป็นเด็กอายุห้าหกขวบที่ไม่รู้จักการบำเพ็ญเพียร เขาก็ยังคงไปยืนอยู่ตรงนั้น
เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่สมควรทำ แล้วเหตุใดเขาต้องเข้าใจ เหตุใดเขาต้องสนใจว่านักพรตหญิงชราเป็นใคร ทำไมเขาต้องเสียใจ
ไม่ ไม่เสียใจ
กวนไป๋ไม่รู้ว่าคำถามที่เขาครุ่นคิดที่ริมลำธารข้างสระน้ำเป็นสิ่งที่คนชื่อหวังผ้อได้ครุ่นคิดอยู่ในป่าเมืองเทียนเหลียง
หลังจากหวังผ้อครุ่นคิดคำถามนี้จนปรุโปร่ง เขาก็พบวิถีดาบของตนเองในที่สุด
แม้ว่าวิถีดาบนี้จะห่างไกลจากวิถีดาบที่ทรงพลังและน่ากลัวของโจวตู๋ฟู ในแง่ของระดับ มันก็มีค่าพอให้นำมาเทียบกันได้
วิถีดาบนี้เรียกว่า “ตรง”
หลังจากกวนไป๋ขบคิดคำถามนี้จนปรุโปร่ง เขาก็พบวิถีกระบี่ของตนเองซึ่งเรียกว่า “ตรง” เช่นกัน
ในวันนั้น เมื่อเทือกเขาเต็มไปด้วยใบเฟิงสู่ และจักจั่นเรไรส่งเสียงร้องอยู่ริมสระน้ำ วิถีกระบี่ของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก
……
……
เฉินฉางเซิงสัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่ของกวนไป๋ และใจของเขาก็เต็มไปด้วยความชื่นชม
เขายึดหวังผ้อเป็นต้นแบบ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ชอบเจตจำนงกระบี่นี้
นอกจากนี้ เขาก็เข้าใจว่ากวนไป๋ได้พบเจออะไรในจิงตูอยู่บ้างเล็กน้อย
เขาชื่นชมอย่างลึกซึ้งที่คนผู้นี้สามารถฟื้นตัวจากการถูกตัดแขนได้ในเวลาเพียงปีเดียว ทั้งยังก้าวหน้าขึ้นในวิถีกระบี่อีกด้วย ทว่าสาเหตุที่ชายคนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น เขาชื่นชมมากยิ่งกว่า
คนเช่นนี้ เจตจำนงกระบี่เช่นนี้ จะตอบโต้อย่างไรดี เป็นธรรมดาที่ทำได้แค่ต้อง “ตรง” เช่นเดียวกัน
เสียงระเบิดดังขึ้น ทุ่งหิมะภายในร่างกายของเขาก็เริ่มเผาไหม้อย่างรุนแรง เปลี่ยนไปเป็นปราณแท้ที่ไร้ขอบเขต ไหลไปตามเส้นลมปราณที่ตีบตันทั่วร่างกาย
ร่างกายของเขาเหมือนจะสร้างภาพติดตาอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นเส้นตรงตัดผ่านเวทีหินพุ่งเข้าหากวนไป๋
การโจมตีนี้ตรงอย่างไม่อาจเทียบได้