ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 87 รออะไร

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ลมทะเลสาบไหลเข้าสู่แขนเสื้อชุดนักพรต ทำให้มันกระพือราวกับธงผืนใหญ่

กระบี่ไร้ราคีแทงผ่านอากาศประหนึ่งกำลังจะลุกไหม้

ด้วยความนับถือและความแข็งแกร่งของกวนไป๋ เฉินฉางเซิงจึงไม่ได้ออมฝีมือไว้เลย ใช้เพลงกระบี่สันดาปที่แข็งแกร่งที่สุด ตำแหน่งแง่มุมในการโจมตีนั้นย่อมเป็นการคำนวณจากเพลงกระบี่รอบรู้

การโจมตีนี้ดูเหมือนตรงอย่างหาใดเปรียบ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง

กวนไป๋ยืนอยู่เงียบๆ ในจุดเดิม กระบี่ไม่เคลื่อนไหว เขตแดนของเขาได้ก่อตัวขึ้นแล้ว

เสียงฉีกขาดดังขึ้น รูเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนแขนเสื้อของเฉินฉางเซิง

กระบี่นี้ก็มาถึงตรงหน้าของกวนไป๋เช่นกัน

ซูหลีเคยกล่าวในป่าว่ายากนักที่จะหาเขตแดนดวงดาวที่สมบูรณ์แบบได้ในโลกปัจจุบันนี้

ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ต่างไปจากที่ซูหลีกล่าวอย่างสิ้นเชิง มิใช่เพราะกระบี่ของเฉินฉางเซิงไม่อาจหาช่องว่างในเขตแดนดวงดาวของกวนไป๋ได้ หากแต่เพราะกวนไป๋จงใจเปิดเขตแดนดวงดาว

เป็นเฉกเช่นการตัดสินใจของเหลียงหวังซุนในยามที่เผชิญหน้ากับกระบี่ของเฉินฉางเซิงในเมืองสวินหยาง

พวกเขาต่างก็เป็นยอดฝีมือในประกาศเซียวเหยา และความรู้ในการรับมือกับคู่ต่อสู้ก็คล้ายคลึงกัน

แม้ว่ากวนไป๋จะบำเพ็ญจนมีวิถีกระบี่ที่สูงขึ้น ก็ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถเอาชนะเฉินฉางเซิงที่ได้รับการสอนวิถีกระบี่จากซูหลีได้อย่างแน่นอน

หากเขาไม่อาจมีความได้เปรียบอย่างสิ้นเชิงในแง่ของวิถีกระบี่ ดังนั้นแทนที่จะสร้างเขตแดนดวงดาวและรอให้คู่ต่อสู้โจมตี จึงเป็นการดีกว่าที่จะใช้การบำเพ็ญที่สูงกว่ารับการโจมตีของเฉินฉางเซิงอย่างมั่นคง

กระบี่ของกวนไป๋ฟันลงอย่างแม่นมั่น

เขาไม่สนใจการโจมตีเฉินฉางเซิงแม้แต่น้อย

เพราะเขาได้บำเพ็ญจนมีระดับสูงกว่าเฉินฉางเซิงมาก เชื่อว่ากระบี่ของเขาย่อมเร็วกว่าและหนักกว่ากระบี่ของเฉินฉางเซิง ดังนั้นเฉินฉางเซิงต้องชักกระบี่กลับไปป้องกันอย่างไม่ต้องสงสัย

ต่อให้มีพรสวรรค์ยิ่งใหญ่กว่านี้ เพลงกระบี่ที่ประณีตกว่านี้ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงข้อนี้ได้

กระบี่ของกวนไป๋เป็นเสมือนน้ำตกที่ไหลลงมาจากท้องฟ้า นำมาซึ่งเสียงฟ้าร้องคำรามร่วงลงมาหาเฉินฉางเซิง เขาทำได้แค่หยุดก้าวเดินและดึงกระบี่กลับ

กระบี่นี้ไม่เคยชักกลับมาก่อน ทว่าตอนนี้ถูกบังคับให้ดึงกลับ

ทั้งกระบี่สันดาปและกระบี่รอบรู้ได้เสียความหมายของมันไป เพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสองที่เขาได้เรียนจากซูหลีถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย

โชคยังดี ซูหลีได้สอนเพลงกระบี่ให้กับเขาทั้งหมดสามเพลง และเพลงกระบี่ที่สามก็เหมาะสมกับการป้องกันที่สุด

กระบี่ไร้ราคีกลับมาอยู่หน้าเขาอย่างประดักประเดิดอยู่บ้าง จากนั้นก็แทงเฉียงขึ้นฟ้าปะทะกับน้ำตกที่ร่วงลงมาจากเบื้องบนอย่างเก้กัง

น้ำตกทั้งมวลต่างก็อยู่บนภูเขา แม้แต่ภูเขาที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังมีสระลึกที่เกิดจากน้ำตกที่พลุ่งพล่าน

แต่ในสระลึกเหล่านั้นก็ยังมีก้อนหินบางก้อนที่มีตะไคร่น้ำปกคลุม แม้ถูกน้ำชะล้างมานานนับพันปีก็ยังไม่หลุดลอกหายไป นั่นคือความมั่นคง

เฉกเช่นกระบี่สั้นในมือของเฉินฉางเซิง

นี่เป็นกระบี่ที่แม้แต่ซูหลีก็ไม่อาจเรียนรู้ได้

พลังกระบี่ของกวนไป๋เป็นเสมือนคลื่นปั่นป่วน แต่ก็ไม่อาจทำลายการป้องกันของเฉินฉางเซิง

แสงตะวันที่สาดส่องเหนือทะเลสาบก็พลันอ่อนแรงลงอย่างมาก

เพราะการปะทะของกระบี่ทั้งสองก่อให้เกิดดาวสีทองจำนวนนับไม่ถ้วน งดงามราวกับต้นไม้เพลิง

ตู้ม!

เฉินฉางเซิงถูกผลักถอยไปหลายสิบจั้งก่อนจะสามารถทรงตัวได้

ชุดนักพรตของเขาขาดวิ่น รองเท้าหนังขาดหลุดลุ่ย และรอยเส้นที่ชัดเจนก็เกิดขึ้นบนเวทีหิน

กวนไป๋ไม่มอบโอกาสให้เขาได้พักหายใจ ใช้กระบี่ไล่ล่าตามมา

เขาใช้กระบี่แสงชั่วพริบตาของสำนักเทียนเต้า ในแง่ของความเร็วเรียกได้ว่าไม่มีใดเปรียบ

ประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนส่องสว่างในดวงตาของฝูงชน

ประดุจผิวทะเลสาบภายใต้แสงตะวัน ปกคลุมไปด้วยเส้นแสงสีทองจำนวนมากมาย

เสียงแหลมของกระบี่ที่ปะทะกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมตัวกันจนกลายเป็นเส้นตรง แข็งทื่อน่าเบื่อทว่าให้ความรู้สึกที่น่าหวาดกลัว ราวกับเสียงที่แหลมสูงที่สุดของขลุ่ยก็มิปาน

เจตจำนงกระบี่ของกวนไป๋พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามมาด้วยเสียงปะทะแหลมสูง

ประกายกระบี่เหนือเวทีหินเจิดจ้าบาดตายิ่งขึ้น คนที่ชมดูอยู่ยากจะมองดูตรงๆ ได้

ผู้ชมรู้สึกตึงเครียดมากขึ้น

วิถีกระบี่ของกวนไป๋นั้นทรงพลังเหลือเกิน

แม้ว่าเพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิงจะประณีต แต่เขาจะทนได้นานสักเพียงใด

จากสถานการณ์ตรงหน้า บทสรุปของการต่อสู้นี้เหมือนจะถูกกำหนดเรียบร้อยแล้ว

สวีโหย่วหรงนั่งอยู่หลังม่าน ไม่มีใครสามารถมองเห็นความกังวลในส่วนลึกของดวงตานางได้ ศิษย์ของสถานศึกษาหนานซีที่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นนางกำมือแน่นจึงเชื่อว่านางตื่นเต้นที่จะได้เห็นเฉินฉางเซิงพ่ายแพ้ใต้กระบี่ของคู่ต่อสู้

ค่ายกลที่หอความลับสวรรค์จัดวางไว้ได้ถูกเปิดใช้งานนานแล้ว ไอพลังปราณจำนวนนับไม่ถ้วนไหลออกมาจากหินสีเทาริมทะเลสาบ และก่อตัวเป็นม่านพลังบางๆ ตัดขาดคู่ต่อสู้ทั้งสองจากโลกภายนอก

การปะทะกันของกระบี่ที่เหมือนกับเส้นตรงนั้นขาดลงในที่สุด นี่ไม่ได้หมายความว่ากวนไป๋ไม่อาจรักษาความรุนแรงในการโจมตีได้ ในทางกลับกัน นี่หมายความว่าเจตจำนงกระบี่ได้บรรลุถึงขีดสุด เขาไม่ต้องรวบรวมพลังกระบี่อีกต่อไป ในตอนนี้ เขาสามารถใช้กระบี่ได้อย่างเป็นอิสระ

เจตจำนงกระบี่กลายเป็นน่ากลัวยิ่งขึ้น ทำให้เกิดรอยร้าวจำนวนนับไม่ถ้วนบนเวทีหิน แม้แต่ม่านแสงที่ห่อหุ้มเวทีก็ยังแสดงร่องรอยของการถูกตัด

เฉินฉางเซิงกับกวนไป๋เริ่มเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งขึ้น แทบจะกลายเป็นประกายแสง พวกเขาพุ่งไปทั่วเวทีด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องจนยากที่จะมองเห็นได้ชัด ส่วนเรื่องเพลงกระบี่ใดที่ทั้งสองใช้อยู่นั้น นอกจากคนจำนวนน้อยนิดอย่างผู้เฒ่าความลับสวรรค์และราชันย์แห่งหลิงไห่แล้ว ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจน

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างทั้งสองก็แยกจากกันในที่สุด

เมื่อฝุ่นสงบลง ทั้งสองก็จ้องมองกันอย่างเงียบงัน อยู่ห่างกันนับสิบจั้ง

กวนไป๋เป็นเหมือนก่อนไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เฉินฉางเซิงดูน่าเวทนายิ่งกว่าเดิม รอยตัดนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นบนชุดนักพรตของเขา ใบหน้าขาวซีด และมือที่จับกระบี่ไร้ราคีก็สั่นเทา

ทุกคนเห็นได้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อยและกำลังจะพังทลายลง ทว่าไม่มีใครมองเขาอย่างดูถูกหรือไม่พอใจเพราะสิ่งนี้ เขาสามารถสู้กับกระบี่ของกวนไป๋ได้นานเพียงนี้ก็นับเป็นเรื่องที่โดดเด่นมากแล้ว ต้องไม่ลืมว่าถึงแม้เขาจะเป็นว่าที่สังฆราช เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ทุกคนตั้งความหวังเอาไว้สูง แต่เขาก็ยังเป็นเด็กหนุ่มอายุยังไม่เต็มสิบเจ็ดปีผู้หนึ่ง

สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่ร่างเฉินฉางเซิง ทุกคนรอฟังการยอมรับของเขา

ยอมรับความพ่ายแพ้มิได้น่าอาย ไม่มีใครสามารถชนะได้ตลอดกาล แม้แต่คนอย่างโจวตู๋ฟูและซูหลีก็ยังเคยประสบเรื่องเช่นนี้ในยามที่ยังเยาว์

อย่างไรก็ตาม ชั่วขณะต่อมา เฉินฉางเซิงก็พูดบางอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

เขามองไปที่กวนไป๋และกล่าว “ข้าขอให้ใต้เท้ารอข้าสักครู่ได้หรือไม่”

สีหน้ากวนไป๋สงบนิ่งอย่างมากเพราะเขาคิดถึงความเป็นไปได้มานานแล้ว เขาก็รอเฉินฉางเซิงเสมอมา รอมาตลอดหนึ่งปี แล้วทำไมเขาถึงต้องสนใจกับการต้องรออีกสักครู่ด้วยเล่า

เขานั่งขัดสมาธิลงบนพื้นและหลับตา

นี่คือคำตอบที่เขามอบให้เฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงมองดูเขาและกล่าวอย่างจริงใจ “ขอบคุณ”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นเช่นกัน หลับตาทำสมาธิ

ในตอนนี้ของการประลองกระบี่ ทั้งสองฝ่ายกลับนั่งลงบนพื้นและทำสมาธิ

ภาพนี้ออกจะแปลกประหลาดเกินไป

ฝูงชนรู้สึกสับสนอย่างมาก เสียงสนทนาค่อยๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

คนมากมายไม่เข้าใจความหมายของเฉินฉางเซิงที่ขอเวลาเพิ่มจากกวนไป๋

แต่ก็มีบางคนที่พอเข้าใจ

สีหน้าของราชันย์แห่งหลิงไห่เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดอย่างที่สุด

ใบหน้าของเหมาชิวอวี่เผยให้เห็นถึงความยินดี

โก่วหานสือตกใจในตอนแรก จากนั้นก็ยิ้มอยู่เงียบๆ

อย่างไรก็ดี ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ขมวดคิ้ว