ลมทะเลสาบไหลเข้าสู่แขนเสื้อชุดนักพรต ทำให้มันกระพือราวกับธงผืนใหญ่
กระบี่ไร้ราคีแทงผ่านอากาศประหนึ่งกำลังจะลุกไหม้
ด้วยความนับถือและความแข็งแกร่งของกวนไป๋ เฉินฉางเซิงจึงไม่ได้ออมฝีมือไว้เลย ใช้เพลงกระบี่สันดาปที่แข็งแกร่งที่สุด ตำแหน่งแง่มุมในการโจมตีนั้นย่อมเป็นการคำนวณจากเพลงกระบี่รอบรู้
การโจมตีนี้ดูเหมือนตรงอย่างหาใดเปรียบ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง
กวนไป๋ยืนอยู่เงียบๆ ในจุดเดิม กระบี่ไม่เคลื่อนไหว เขตแดนของเขาได้ก่อตัวขึ้นแล้ว
เสียงฉีกขาดดังขึ้น รูเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนแขนเสื้อของเฉินฉางเซิง
กระบี่นี้ก็มาถึงตรงหน้าของกวนไป๋เช่นกัน
ซูหลีเคยกล่าวในป่าว่ายากนักที่จะหาเขตแดนดวงดาวที่สมบูรณ์แบบได้ในโลกปัจจุบันนี้
ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ต่างไปจากที่ซูหลีกล่าวอย่างสิ้นเชิง มิใช่เพราะกระบี่ของเฉินฉางเซิงไม่อาจหาช่องว่างในเขตแดนดวงดาวของกวนไป๋ได้ หากแต่เพราะกวนไป๋จงใจเปิดเขตแดนดวงดาว
เป็นเฉกเช่นการตัดสินใจของเหลียงหวังซุนในยามที่เผชิญหน้ากับกระบี่ของเฉินฉางเซิงในเมืองสวินหยาง
พวกเขาต่างก็เป็นยอดฝีมือในประกาศเซียวเหยา และความรู้ในการรับมือกับคู่ต่อสู้ก็คล้ายคลึงกัน
แม้ว่ากวนไป๋จะบำเพ็ญจนมีวิถีกระบี่ที่สูงขึ้น ก็ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถเอาชนะเฉินฉางเซิงที่ได้รับการสอนวิถีกระบี่จากซูหลีได้อย่างแน่นอน
หากเขาไม่อาจมีความได้เปรียบอย่างสิ้นเชิงในแง่ของวิถีกระบี่ ดังนั้นแทนที่จะสร้างเขตแดนดวงดาวและรอให้คู่ต่อสู้โจมตี จึงเป็นการดีกว่าที่จะใช้การบำเพ็ญที่สูงกว่ารับการโจมตีของเฉินฉางเซิงอย่างมั่นคง
กระบี่ของกวนไป๋ฟันลงอย่างแม่นมั่น
เขาไม่สนใจการโจมตีเฉินฉางเซิงแม้แต่น้อย
เพราะเขาได้บำเพ็ญจนมีระดับสูงกว่าเฉินฉางเซิงมาก เชื่อว่ากระบี่ของเขาย่อมเร็วกว่าและหนักกว่ากระบี่ของเฉินฉางเซิง ดังนั้นเฉินฉางเซิงต้องชักกระบี่กลับไปป้องกันอย่างไม่ต้องสงสัย
ต่อให้มีพรสวรรค์ยิ่งใหญ่กว่านี้ เพลงกระบี่ที่ประณีตกว่านี้ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงข้อนี้ได้
กระบี่ของกวนไป๋เป็นเสมือนน้ำตกที่ไหลลงมาจากท้องฟ้า นำมาซึ่งเสียงฟ้าร้องคำรามร่วงลงมาหาเฉินฉางเซิง เขาทำได้แค่หยุดก้าวเดินและดึงกระบี่กลับ
กระบี่นี้ไม่เคยชักกลับมาก่อน ทว่าตอนนี้ถูกบังคับให้ดึงกลับ
ทั้งกระบี่สันดาปและกระบี่รอบรู้ได้เสียความหมายของมันไป เพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสองที่เขาได้เรียนจากซูหลีถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย
โชคยังดี ซูหลีได้สอนเพลงกระบี่ให้กับเขาทั้งหมดสามเพลง และเพลงกระบี่ที่สามก็เหมาะสมกับการป้องกันที่สุด
กระบี่ไร้ราคีกลับมาอยู่หน้าเขาอย่างประดักประเดิดอยู่บ้าง จากนั้นก็แทงเฉียงขึ้นฟ้าปะทะกับน้ำตกที่ร่วงลงมาจากเบื้องบนอย่างเก้กัง
น้ำตกทั้งมวลต่างก็อยู่บนภูเขา แม้แต่ภูเขาที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังมีสระลึกที่เกิดจากน้ำตกที่พลุ่งพล่าน
แต่ในสระลึกเหล่านั้นก็ยังมีก้อนหินบางก้อนที่มีตะไคร่น้ำปกคลุม แม้ถูกน้ำชะล้างมานานนับพันปีก็ยังไม่หลุดลอกหายไป นั่นคือความมั่นคง
เฉกเช่นกระบี่สั้นในมือของเฉินฉางเซิง
นี่เป็นกระบี่ที่แม้แต่ซูหลีก็ไม่อาจเรียนรู้ได้
พลังกระบี่ของกวนไป๋เป็นเสมือนคลื่นปั่นป่วน แต่ก็ไม่อาจทำลายการป้องกันของเฉินฉางเซิง
แสงตะวันที่สาดส่องเหนือทะเลสาบก็พลันอ่อนแรงลงอย่างมาก
เพราะการปะทะของกระบี่ทั้งสองก่อให้เกิดดาวสีทองจำนวนนับไม่ถ้วน งดงามราวกับต้นไม้เพลิง
ตู้ม!
เฉินฉางเซิงถูกผลักถอยไปหลายสิบจั้งก่อนจะสามารถทรงตัวได้
ชุดนักพรตของเขาขาดวิ่น รองเท้าหนังขาดหลุดลุ่ย และรอยเส้นที่ชัดเจนก็เกิดขึ้นบนเวทีหิน
กวนไป๋ไม่มอบโอกาสให้เขาได้พักหายใจ ใช้กระบี่ไล่ล่าตามมา
เขาใช้กระบี่แสงชั่วพริบตาของสำนักเทียนเต้า ในแง่ของความเร็วเรียกได้ว่าไม่มีใดเปรียบ
ประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนส่องสว่างในดวงตาของฝูงชน
ประดุจผิวทะเลสาบภายใต้แสงตะวัน ปกคลุมไปด้วยเส้นแสงสีทองจำนวนมากมาย
เสียงแหลมของกระบี่ที่ปะทะกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมตัวกันจนกลายเป็นเส้นตรง แข็งทื่อน่าเบื่อทว่าให้ความรู้สึกที่น่าหวาดกลัว ราวกับเสียงที่แหลมสูงที่สุดของขลุ่ยก็มิปาน
เจตจำนงกระบี่ของกวนไป๋พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามมาด้วยเสียงปะทะแหลมสูง
ประกายกระบี่เหนือเวทีหินเจิดจ้าบาดตายิ่งขึ้น คนที่ชมดูอยู่ยากจะมองดูตรงๆ ได้
ผู้ชมรู้สึกตึงเครียดมากขึ้น
วิถีกระบี่ของกวนไป๋นั้นทรงพลังเหลือเกิน
แม้ว่าเพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิงจะประณีต แต่เขาจะทนได้นานสักเพียงใด
จากสถานการณ์ตรงหน้า บทสรุปของการต่อสู้นี้เหมือนจะถูกกำหนดเรียบร้อยแล้ว
สวีโหย่วหรงนั่งอยู่หลังม่าน ไม่มีใครสามารถมองเห็นความกังวลในส่วนลึกของดวงตานางได้ ศิษย์ของสถานศึกษาหนานซีที่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นนางกำมือแน่นจึงเชื่อว่านางตื่นเต้นที่จะได้เห็นเฉินฉางเซิงพ่ายแพ้ใต้กระบี่ของคู่ต่อสู้
ค่ายกลที่หอความลับสวรรค์จัดวางไว้ได้ถูกเปิดใช้งานนานแล้ว ไอพลังปราณจำนวนนับไม่ถ้วนไหลออกมาจากหินสีเทาริมทะเลสาบ และก่อตัวเป็นม่านพลังบางๆ ตัดขาดคู่ต่อสู้ทั้งสองจากโลกภายนอก
การปะทะกันของกระบี่ที่เหมือนกับเส้นตรงนั้นขาดลงในที่สุด นี่ไม่ได้หมายความว่ากวนไป๋ไม่อาจรักษาความรุนแรงในการโจมตีได้ ในทางกลับกัน นี่หมายความว่าเจตจำนงกระบี่ได้บรรลุถึงขีดสุด เขาไม่ต้องรวบรวมพลังกระบี่อีกต่อไป ในตอนนี้ เขาสามารถใช้กระบี่ได้อย่างเป็นอิสระ
เจตจำนงกระบี่กลายเป็นน่ากลัวยิ่งขึ้น ทำให้เกิดรอยร้าวจำนวนนับไม่ถ้วนบนเวทีหิน แม้แต่ม่านแสงที่ห่อหุ้มเวทีก็ยังแสดงร่องรอยของการถูกตัด
เฉินฉางเซิงกับกวนไป๋เริ่มเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งขึ้น แทบจะกลายเป็นประกายแสง พวกเขาพุ่งไปทั่วเวทีด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องจนยากที่จะมองเห็นได้ชัด ส่วนเรื่องเพลงกระบี่ใดที่ทั้งสองใช้อยู่นั้น นอกจากคนจำนวนน้อยนิดอย่างผู้เฒ่าความลับสวรรค์และราชันย์แห่งหลิงไห่แล้ว ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างทั้งสองก็แยกจากกันในที่สุด
เมื่อฝุ่นสงบลง ทั้งสองก็จ้องมองกันอย่างเงียบงัน อยู่ห่างกันนับสิบจั้ง
กวนไป๋เป็นเหมือนก่อนไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เฉินฉางเซิงดูน่าเวทนายิ่งกว่าเดิม รอยตัดนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นบนชุดนักพรตของเขา ใบหน้าขาวซีด และมือที่จับกระบี่ไร้ราคีก็สั่นเทา
ทุกคนเห็นได้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อยและกำลังจะพังทลายลง ทว่าไม่มีใครมองเขาอย่างดูถูกหรือไม่พอใจเพราะสิ่งนี้ เขาสามารถสู้กับกระบี่ของกวนไป๋ได้นานเพียงนี้ก็นับเป็นเรื่องที่โดดเด่นมากแล้ว ต้องไม่ลืมว่าถึงแม้เขาจะเป็นว่าที่สังฆราช เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ทุกคนตั้งความหวังเอาไว้สูง แต่เขาก็ยังเป็นเด็กหนุ่มอายุยังไม่เต็มสิบเจ็ดปีผู้หนึ่ง
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่ร่างเฉินฉางเซิง ทุกคนรอฟังการยอมรับของเขา
ยอมรับความพ่ายแพ้มิได้น่าอาย ไม่มีใครสามารถชนะได้ตลอดกาล แม้แต่คนอย่างโจวตู๋ฟูและซูหลีก็ยังเคยประสบเรื่องเช่นนี้ในยามที่ยังเยาว์
อย่างไรก็ตาม ชั่วขณะต่อมา เฉินฉางเซิงก็พูดบางอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด
เขามองไปที่กวนไป๋และกล่าว “ข้าขอให้ใต้เท้ารอข้าสักครู่ได้หรือไม่”
สีหน้ากวนไป๋สงบนิ่งอย่างมากเพราะเขาคิดถึงความเป็นไปได้มานานแล้ว เขาก็รอเฉินฉางเซิงเสมอมา รอมาตลอดหนึ่งปี แล้วทำไมเขาถึงต้องสนใจกับการต้องรออีกสักครู่ด้วยเล่า
เขานั่งขัดสมาธิลงบนพื้นและหลับตา
นี่คือคำตอบที่เขามอบให้เฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงมองดูเขาและกล่าวอย่างจริงใจ “ขอบคุณ”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นเช่นกัน หลับตาทำสมาธิ
ในตอนนี้ของการประลองกระบี่ ทั้งสองฝ่ายกลับนั่งลงบนพื้นและทำสมาธิ
ภาพนี้ออกจะแปลกประหลาดเกินไป
ฝูงชนรู้สึกสับสนอย่างมาก เสียงสนทนาค่อยๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คนมากมายไม่เข้าใจความหมายของเฉินฉางเซิงที่ขอเวลาเพิ่มจากกวนไป๋
แต่ก็มีบางคนที่พอเข้าใจ
สีหน้าของราชันย์แห่งหลิงไห่เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดอย่างที่สุด
ใบหน้าของเหมาชิวอวี่เผยให้เห็นถึงความยินดี
โก่วหานสือตกใจในตอนแรก จากนั้นก็ยิ้มอยู่เงียบๆ
อย่างไรก็ดี ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ขมวดคิ้ว