GGS:บทที่ 932 ความรักระหว่างแม่กับลูกสาว
“แม่คะ เป็นเรื่องอยากนะคะที่จะมีคนแบบพี่ชายมายอมช่วยเราแบบนี้ ทำไมไม่ยืมเงินพี่เขาล่ะคะ หากได้เงินก้อนนี้มาแม่จะได้หาย” สาวน้อยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ของเธอนั้นไม่ยอมรับเงินก้อนนี้
“อาการของแม่ไม่เป็นอะไรหรอกน่า อย่าไปฟังหมอเลย หมอแค่จะหลอกเอาเงินเราเท่านั้นแหล่ะ” หญิงวัยกลางคนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเนื้องอกไม่เป็นอะไรได้ยังไงกันคะ ถ้าไม่รีบผ่าตัดมันจะสายไปได้นะ” สาวน้อยพูดออกมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นอะไรหรอกน่า แม่ไม่ต้องการยืมเงินก้อนนี่จริงๆ กลับไปเถอะค่ะท่าน” หญิงวัยกลางคนพูดอย่างสุภาพ เธอนั้นกลัวว่าซูจิ้งจะยอมให้เธอยืมเงินจริงๆ
ซูจิ้งทำได้เพียงถอนหายใจออกมา แทนที่จะเดินจากไปเขานั้นกลับเดินตรงไปก่อนที่จะหยิบกระดาษแผ่นที่หญิงวัยกลางคนคนนั้นซ่อนเอาไว้ นี่ทำให้หญิงวัยกลางคนหน้าเปลี่ยนสีในทันทีก่อนที่จะตรงเข้ามาแย่งแต่เขาก็หลบได้อย่างง่ายดาย
ซูจิ้งมองไปยังกระดาษนั้นและได้เห็นข้อความที่อยู่ในกระดาษนั้น ตัวอักษรนั้นไม่ได้สวยงามแต่อย่างใด แต่เป็นตัวอักษรที่เขียนด้วยมือที่ลายมือนนั้นค่อนข้างแย่ บางตัวก็เขียนผิดๆถูกๆ
ดูเหมือนว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้เองก็ไม่ได้รับการศึกษาที่ดีสักเท่าไหร่นัก โดยข้อความนี้เขียนเอาไว้ว่า “หนี่น้อย เมื่อลูกได้เห็นจดหมายนี้แล้วแม่คงจากไปแล้ว แม่ยังไม่เคยบอกลูกเลยว่าแม่นั้นฝันเอาไว้ว่าอยากไปเที่ยวรอบโลก ตอนนี้แม่ก็คงถึงเวลาได้ไปเที่ยวแล้วล่ะ อาจจะเป็นที่ไหนสักทีหนึ่งที่แม่จะได้พบพ่อของลูกและพูดบางอย่างกับเขา โปรดอภัยให้แม่ด้วยที่ไปโดยไม่จากลา อภัยให้แม่ด้วยที่แม่เป็นแม่ที่เห็นแก่ตัว ลูกควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ แม่ก็ได้แต่หวังว่าอีกไม่กี่ปีลูกน่าจะเจอกับผู้ชายดีๆแล้วแต่งงานไป…”
จดหมายสั่งเสียนี้ถูกเขียนเอาไว้ยังไม่จบดีนัก นี่แสดงว่าเธอนั้นน่าจะเขียนจดหมายแต่ถูกขัดขวางในระหว่างที่เขามาที่นี่กับลูกสาวเธอ
สาวน้อยเองก็ได้แย่งจดหมายนี้จากมือของซูจิ้งเพื่อที่จะอ่านได้ๆชัด ถึงจะเห็นมันเพียงแค่ครึ่งเดียวแต่เธอนั้นก็น้ำตาไหลพรากออกมาในทันที เธอร้องไห้พลางเกาะแขนของผู้เป็นแม่แล้วพูดออกมาว่า “แม่จะไปไหน แม่ไม่ต้องการหนูแล้วเหรอ หนูไม่ให้แม่ไป หนูจะทำยังไงถ้าไม่มีแม่ล่ะ”
“ลูกจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้นะถ้าไม่มีแม่น่ะ เป็นแม่ที่คอยชุดรั้งชีวิตลูกเอาไว้ ลูกทั้งทำงานและเป็นขอทานในตอนนี้ แล้วลูกจะไปมีชีวิตที่ดีได้ยังไงกัน แม่ขอโทษลูกจริงๆ” หญิงวัยกลางคนเองก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
“แม่อย่าพูดอย่างนั้นสิ หนูจะดูแลแม่ พี่ใหญ่เขาให้เรายืมเงินนี่แล้ว เมื่อแม่ดีขึ้นแล้วเดี๋ยวอะไรก็ดีตามเองนั่นแหล่ะ” สาวน้อยพูดพลางร้องไห้หนักกว่าเดิม
“อาการของแม่ไม่หายอยู่แล้ว แล้วแม่จะไปก่อหนี้ก่อสินอีกทำไม หนี่น้อย ฟังแม่นะ ปล่อยแม่ไปซะ ลูกยังอ่อนเยาว์นักย่อมมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ หากลูกมีชีวิตที่ดีขอแค่นี้แม่ก็ดีใจแล้ว” หญิงวัยกลางคนร้องไห้ออกมาหนักยิ่งกว่าเดิมจนทำให้เกิดภาพที่น่าเศร้าสร้อยขึ้นมา
“ไม่นะแม่อย่าจากหนูไปนะ” สาวน้อยเกาะแขนของแม่เธอไว้นั่น
“พูดจบกันรึยัง” ซูจิ้งเองที่มีน้ำตาคลอจนเริ่มแดงในตอนนี้รีบพูดตัดบทในทันทีเขากลัวที่จะต้องร้องไห้ออกมาจริงๆ
“ลองฟังผมก่อนก็แล้วกันแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป เริ่มจากผมนั้นขอแนะนำตัวเองก่อนก็แล้วกันครับ”
ก็ไม่แปลกที่สองแม่ลูกนี้จะไม่รู้จักซูจิ้ง เพราะด้วยระดับของซูจิ้งแล้วนั้นยังไม่ถึงขึ้นที่จะเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศได้อยู่ดี อีกอย่างหนึ่งทั้งคู่ก็ผ่านเรื่องราวเลวร้ายมากว่าสองสามปีแล้วแน่นอนว่าใครจะไปมีความสนใจในข่าวคราวโลกภายนอกทั้งๆที่ชีวิตตกอยู่ในสภาพแบบนี้
ซูจิ้งจึงไม่มีทางเลือกได้แต่ทำการแนะนำตัวกับสองคนนี้เท่านั้น เพราะเขาคิดว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วที่จะทำให้เรื่องนี้จบลงได้โดยเร็วและง่ายที่สุด
สองแม่ลูกได้ตกตะลึงทันทีเมื่อซูจิ้งแนะนำตัวจนต้องเผลอหยุดร้องไห้ในทันที แถมยังเข้าไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเพื่อให้แน่ใจว่าใช่ซูจิ้งตัวจริงรึเปล่า
หลังจากแน่ใจแล้วทั้งสองก็ได้แต่เพียงทำตาเบิกกว่าง โดยเฉพาะสาวน้อยที่ประหลาดใจกว่าใคร เพราะไม่คิดว่าแฟนของพี่สาวที่ช่วยเธอนั้นจะเป็นดาราชื่อดังและเจ้าของบริษัทอันใหญ่โต
ยิ่งได้เห็นข่าวที่ซูจิ้งนั้นได้ช่วยคนเอาไว้มากมายไม่ว่าจะเป็นช่วยคนจากกองเพลิง ช่วยคนจากเครื่องบิน หรือแม้แต่การบริจาคเงิน
นี่ทำให้หญิงวัยกลางคนผู้นี้รู้สึกเสียใจจริงๆกับความคิดไม่ดีก่อนหน้าที่คิดว่าซูจิ้งนั้นต้องการหาประโยชน์จากลูกสาวเธอ
“เอาล่ะที่นี้พอเข้าใจกันแล้วนะว่าผมนั้นบริจาคเงินไปกว่าหลายสิบล้าน เพราะฉะนั้นเงินเพียงไม่กี่หมี่นหยวนนี้ไม่ใช่อะไรสำหรับผมเลย
อย่างที่เขาว่ากันว่าการช่วยเหลือคนนั้นดีกว่าก่อเจดีย์เจ็ดชั้น แค่ได้ช่วยคนได้เท่านี้ผมก็ถือว่าเป็นโชคแก่ตัวเองแล้ว ผมไม่ต้องการเงินคืนแต่อย่างใด” ซูจิ้งพูดออกมา
“เรื่องนี้จะเป็นไปได้ยังไงกัน” หญิงวัยกลางคนเองได้พูดออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อในสิ่งดีๆที่เพิ่งจะเกิดขึ้นกับตัวเองราวกับตัวเองได้ฝันไป
“ไม่ต้องรู้สึกแย่หรอกน่า เงินนี้เองก็ถือว่าไม่ได้อะไรกับผมเลยแม้แต่น้อย นี่อาจเป็นชะตาที่ให้ลูกสาวของคุณนั้นได้เจอผมก็ได้ ต่อให้คุณนั้นไม่คิดถึงตัวเองก็ขอให้คิดถึงลูกของตัวเองเอาไว้ให้มากๆ คุณคิดจริงๆเหรอว่าหากปล่อยลูกของคุณไว้คนเดียวจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้จริงๆ” ซูจิ้งพูดออกมา
“แม่ ฟังพี่ใหญ่เขาเถอะนะ” สาวน้อยเองก็ขอร้องอย่างสุดเสียง
“ก็ได้” หญิงวัยกลางคนเองที่ถูกลูกของเธอขอร้องจนแทบจะไปกอดขาเธอในตอนนี้ก็ยอมที่จะได้รับการช่วยเหลือนี้จนได้ ความจริงแล้วเธอเองนั้นก็กลัวว่าจะมีคนทำมิดีมิร้ายกับลูกสาวของเธอเหมือนกันหากปล่อยให้อยู่คนเดียว
เอาจริงๆแล้วตอนนี้เธอเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยเพียงคิดถึงภาพของลูกสาวของตัวเองที่จะต้องจมจ่อมอยู่กับความเศร้าเสียใจแล้วทำให้เธอนั้นนึกเปลี่ยนใจในทันที
“คุณซู อาการป่วยของฉันนั้นรักษาไม่หายหรอกนะ หากคุณสัญญาว่าเมื่อฉันเป็นอะไรไปแล้วอย่าได้บังคับลูกสาวของฉันให้ชดใช้แทนฉันล่ะก็ หากฉันหายดีจริงๆจะรีบทำงานหาเงินใช้หนี้ทีหลัง” หญิงวัยกลางคนพูดออกมา
“อย่ากังวลไปเลยน่า ต่อให้คุณหายดีแล้วผมก็ไม่คิดจะเอาเงินคืนแม้แต่น้อย คุณคิดว่าระหว่างเงินหมื่นหยวนกับชื่อเสียง ผมอยากได้สิ่งใดมากกว่ากัน”
ซูจิ้งได้พยักหน้าให้หญิงวัยกลางคนทีหนึ่งเพื่อเป็นสัญญาณว่าเขาต้องการประโยชน์จากอย่างหลังมากกว่า ซึ่งหญิงวัยกลางคนเองก็เข้าใจในทันทีและตอบรับการช่วยเหลือโดยไม่อิดออดแต่อย่างใด
นี่ทำให้สาวน้อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้บ้าง และในที่สุดทั้งสองก็ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อพูดคุยกันเสร็จแล้ว ซูจิ้งก็ได้วางถุงอาหารที่เขาได้ซื้อมาวางไว้บนโต๊ะ ถึงแม้หญิงวัยกลางคนจะดูอิดออดในเรื่องนี้ไปบ้างแต่การยอมรับไมตรีจิตแบบนี้เองก็ดีกว่าโดนบังคับขู่เข็ญอยู่ดี แถมลูกสาวของเธอเองก็เหมือนจะไม่ได้กินอะไรดีๆมานานแล้วเหมือนกัน
อาหารมื้อกลางวันมื้อนี้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตของสองแม่ลูกเลยทีเดียว ทั้งสองที่ร่างกายเปรียบได้ดั่งต้นไผ่ที่ผอมแห้งที่กินอาหารได้เท่ากับผู้ชายตัวใหญ่โตได้สองสามคนเลยทีเดียว
โดยเฉพาะกับสาวน้อยที่ตอนนี้ปากนั้นเต็มไปด้วยอาหารจนแก้มบวมตุ่ยเป็นกระรอกราวกับว่ากลัวใครจะแย่งไปนี่ทำให้ซูจิ้งถึงกับรู้สึกเอ็นดูสาวน้อยคนนี้ในทันที ในตอนนั้นเองเขาก็คิดอะไรดีๆขึ้นมาได้
ซูจิ้งใช้เวทย์สัมผัสแห่งใบไม้ฯกับหญิงวัยกลางคน ถึงแม้จะรักษาเนื้องอกไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ทำให้ร่างกายของเธอนั้นมีสุขภาพดีขึ้นและร่างกายมีภูมิต้านทานมากขึ้น นี่จะช่วยร่างกายของเธอหายได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นซูจิ้งและสาวน้อยได้ทำการส่งแม่ของสาวน้อยกลับไปยังพยาบาลเพื่อรับการผ่าตัดในทันที
“พี่ซู ฉันจะตอบแทนพี่ทีหลังนะ” ที่หน้าห้องผ่าตัด สาวน้อยได้จ้องหน้าของซูจิ้งและพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง
“ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องหรอก อีกอย่างหลังการผ่าตัดนั้นยังต้องมีค่าพักฟื้นอีกนะ ค่าใช้จ่ายโดยรวมแล้วน่าจะอยู่ที่หนึ่งแสนหยวนเลยทีเดียว เธอจะจ่ายเงินคืนฉันไหวเหรอ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันจะทำงานอย่างหนักตลอดทั้งชีวิตเลย จะได้จ่ายคืนพี่ได้เร็วๆ” สาวน้อยพูดออกมา
“ไม่เอาอ่ะ แต่เอาเป็นว่าฉันหากเธออยากจะจ่ายเงินคืนฉันจริงๆล่ะก็ ฉันว่าฉันสอนวิธีหาเงินให้เธอดีกว่านะ เดี๋ยวฉันสอนวิธีหาเงินให้เธอแล้วหากเป็นไปได้ด้วยดี นอกจากเธอจะใช้หนี้ฉันได้แล้วเธออาจจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมอีกด้วยนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงชวนน่าพิศวง
“จริงเหรอ ทำยังไงอ่ะ” สาวน้อยจ้องมองซูจิ้งด้วยดวงตาที่เปล่งประกายในทันที
เธอนั้นรู้จักซูจิ้งผ่านการอ่านรายละเอียดของซูจิ้งจากอินเตอร์เนต เธอรู้ว่าซูจิ้งนั้นไม่ใช่คนทั่วไปอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะเขานั้นเป็นปรมาจารย์นักฝึกสัตว์ เทพเจ้าโรงครัว ปรมาจารย์กู่จิ้ง ปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ และปรมาจารย์ด้านอื่นๆอีก บางคนก็ถึงกับเรียกเขาว่าพระเจ้าเลยทีเดียว แน่นอนว่าทักษะที่เขาสอนนั้นต้องทรงพลังมากอย่างแน่นอน