หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1039 การเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่
“เมื่อครู่คืออะไร**?”**
ในมิติที่มืดมิดใบหน้าของมู่เฉินเต็มไปด้วยความตะลึงและตกใจ หลุมดำไม่รู้เชื่อมโยงกับที่ไหน แต่ทำไมแก่นโลหิตอสูรโบราณโภคะถึงได้ไหลเวียนเข้าไปในนั้น?
มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ด้วยพลังในปัจจุบันของตนเองเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นสถานการณ์ในหลุมดำ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการพยายามทำเช่นนั้น
สุสานหมื่นอสูรแปลกประหลาดยยิ่ง ยังไงก็ต้องมีเขตหวงห้ามบางแห่งที่ยากต่อการสำรวจอยู่แล้ว
“ในเมื่อได้รับสมบัติแล้ว ก็ออกจากที่นี่ก่อนดีกว่า”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ไม่คิดป้วนเปี้ยนต่อ ด้วยความคิดความมืดโดยรอบก็จางหาย คลื่นจิตเดินทางกลับไปยังเส้นทางที่มาอย่างรวดเร็ว
บนผิวน้ำทะเลสาบ ร่างมู่เฉินที่นั่งอยู่บนกระดูกสีขาวก็ลืมตาขึ้น แววตาเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาเหยียดมือออกมาแตะที่หน้าผากเบาๆ ก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนทรงพลังที่สถิตอยู่ภายในอย่างเลือนราง
นี่คือเนตรดับชีวิต!
รอยยิ้มเพิ่มขึ้นที่มุมปากอย่างไม่สามารถควบคุมได้ การเดินทางยากลำบากครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่า ในที่สุดเขาก็ได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์
ด้วยวัตถุนี้อยู่ในมือก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือถ้าเขาพบจิงฉิงเทียนอีกครั้ง
“แต่เมื่อเทียบกับพีระมิดแสงดาวก็ยังอ่อนด้อยกว่าหลายส่วน”
มู่เฉินสัมผัสถึงพลังแต่ก็ไม่รู้สึกเสียใจ พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าเนตรดับชีวิต นอกจากนี้วัตถุประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่ใช่ตามหาอาวุธมหสวรรค์ของแท้
นั่นเป็นเพราะอาวุธในระดับนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถควบคุมได้ตอนนี้ ต่อให้เขาได้รับมาก็ได้แต่มองแล้วถอนหายใจ
นอกจากนี้ถึงเนตรดับชีวิตจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แต่ก็เป็นสมบัติติดกายอสูรโบราณโภคะที่มีศักยภาพสูง หากเขามีโอกาสในอนาคตอาจจะสามารถพัฒนาเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ในเวลานั้นพลังของมันไม่ด้อยกว่าพีระมิดแสงดาวปราบปรามปีศาจแน่นอน
มู่เฉินยืนขึ้นก่อนจะเคลื่อนกายไปบนท้องฟ้าแล้วกวาดสายตาลงมา เขาเห็นจิ่วโยว หานซันและคนอื่นๆ ก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน เห็นชัดว่าทุกคนเสร็จสิ้นการค้นหาแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง?” มู่เฉินเข้ามาหาพลางยิ้ม
จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรทั้งสามยิ้มขื่นขมขณะส่ายหัวพูดด้วยความอับอายว่า “เราค้นพบอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมหลายชิ้น แต่ไม่คิดว่าหลังจากคว้ามาได้แล้วจะถูกเตะออกมาทันที”
พวกเขาพบประสบการณ์คล้ายคลึงกับมู่เฉิน เพียงแต่จิตใจของพวกเขาไม่มั่นคงเหมือนมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามคว้าอาวุธเหล่านั้นไป แต่ไม่คิดว่าการได้รับมาจะเท่ากับหยุดการค้นหาทันที
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของพวกเขาก็แอบรู้สึกดีใจ โชคดีที่เขาข่มกลั้นความโลภไว้ได้ มิฉะนั้นตอนนี้เขาก็ต้องเสียใจกับอาวุธระดับนั่นแล้ว
“ทุกคนมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะได้สมบัติ ดังนั้นตราบใดที่เจ้ารับมา ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว” หานซันถอนหายใจจากด้านข้าง ชัดว่ารู้กฎนี้แล้วเช่นกัน
จอมยุทธ์ทั้งสามใบหน้าเหยเก พวกเขารู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง
“ดูท่าการเก็บเกี่ยวของพี่หานจะดีไม่น้อยสินะ?” มองไปที่หานซันที่ไม่มีความเสียใจสักนิด มู่เฉินก็ยิ้ม
หานซันหัวเราะพลางกำหมัด แสงสีดำวูบไหวก่อร่างเป็นพลองโลหะสีดำในมือ พลองนี้ค่อนข้างหยาบมีลวดลายนับไม่ถ้วนสลักอยู่บนพื้นผิว นอกจากนี้มู่เฉินยังรู้สึกได้ถึงความหนักหน่วงกำจายออกมา ดูเหมือนจะมีน้ำหนักเท่าภูเขาเลยทีเดียว
เมื่อมองไปที่พลองโลหะสีดำ ดวงตาของมู่เฉินก็วับวาว วัตถุนี้ไม่มีคลื่นของอาวุธเสมือมหสวรรค์ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกว่ามันไม่ได้ด้อยกว่าของอาวุธเสมือนมหสวรรค์เลย
“นี่คือพลองสะท้านฟ้า… มันไม่สามารถนับว่าเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ เพราะไม่มีพลังที่ทรงประสิทธิภาพอะไร แต่มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือความหนักหน่วง ด้วยการฟาดครั้งเดียว แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็ยังบาดเจ็บสาหัสได้ทันที” หานซันยิ้มด้วยความพึงพอใจ วัตถุนี้มีความครอบงำมากซึ่งเหมาะสำหรับเขา เผ่าแรดอสูรมีพละกำลังดีเยี่ยมตั้งแต่เกิด ด้วยพลองนี้ก็เหมือนกับการติดปีกพยัคฆ์ เมื่ออยู่ในมือของเขาพลังของอาวุธนี้อาจยิ่งกว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์เสียอีก
“เยี่ยมเลย”
มู่เฉินเอ่ยชื่นชม ความหนักหน่วงบวกกับคลื่นหลิง เพียงแค่คิดก็น่ากลัวแล้ว แม้ว่าอาวุธนี้ไม่ได้มีพลังของอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แต่น้ำหนักอย่างเดียวก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์แล้ว
มู่เฉินหันไปมองจิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงด้วยแววตาคาดหวัง ชัดว่าเขาหวังให้ทั้งสามคนได้รับสมบัติที่น่าพอใจเช่นกัน
จิ่วโยวยิ้มบางขณะที่กำมือ วัตถุที่มู่เฉินคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น
นี่เป็นไม้บรรทัดสีดำสนิท ซึ่งราวกับจะกลืนแสงบนท้องฟ้าทันทีถ้ากวาดมันลงมา
“มันนี่เอง…”
มู่เฉินอึ้งในใจ ไม้บรรทัดชิ้นนี้เป็นสิ่งที่เขาพบก่อนหน้า ไม่เคยเลยว่าหลังจากตนเองไม่รับ วัตถุชิ้นนี้จะตกอยู่ในมือของจิ่วโยว
“ลองซัดหมัดใส่ข้าดู” จิ่วโยวกุมไม้บรรทัดสีดำพลางหัวเราะเบาๆ
มู่เฉินเหวี่ยงหมัดใส่เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขีดจำกัดก็ล้อมรอบร่างจิ่วโยว นางโบกไม้บรรทัดสีดำในมืออย่างอ่อนโยน แสงสีดำปกคลุมลงมา พลังมากกว่าครึ่งหนึ่งหายไป มิหนำซ้ำแสงยังลดลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเมื่อโดนตัวจิ่วโยว พลังส่วนใหญ่ของกำปั้นก็คลี่กระจายออก ไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันของจิ่วโยวได้ด้วยซ้ำ
มู่เฉินอึ้ง แม้ว่าเขาจะเหวี่ยงหมัดธรรมดาออกไป แต่ก็เพียงพอที่จะทำร้ายจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปจนบาดเจ็บได้ แต่ด้วยระลอกคลื่นลูกเดียวของไม้บรรทัดสีดำ พลังก็ลดไปเกือบครึ่ง
“อาวุธนี้เรียกว่าไม้เทพโทษา ซึ่งบรรจุไปด้วยแสงเทพโทษาที่มีคุณสมบัติกลืนกิน ทุกการโจมตีด้วยคลื่นหลิงจะถูกกินจนหมดสิ้น แข็งแกร่งจนถ้าถูกใช้ไปจนถึงขีดสุดก็ไม่มีอะไรสามารถเข้ามาใกล้ข้าได้” จิ่วโยวกล่าว
มู่เฉินแอบเดาะลิ้น ไม้บรรทัดสีดำนี้ไม่ธรรมดาแท้จริง ด้วยอาวุธนี้การโจมตีทั้งหลายจะถูกลดพลังลง เมื่อลากเวลาการต่อสู้ออกไปโอกาสที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ของนางก็จะเพิ่มขึ้น
ด้วยอาวุธนี้แม้แต่จิงฉิงเทียนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ่วโยว
อาวุธเสมือนมหสวรรค์ทรงพลังอย่างแท้จริง
ทว่าเขาจะตกตะลึงกับพลังอำนาจของไม้เทพโทษา แต่มู่เฉินก็ไม่เสียใจกับการเลือก นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าเนตรดับชีวิตแข็งแกร่งกว่า นอกจากนี้ศักยภาพก็ยิ่งใหญ่กว่า เพราะไม่ว่าอย่างไรสิ่งนี้ก็เป็นอาวุธประจำกายของอสูรโบราณโภคะ
หลังจากจิ่วโยวนำไม้บรรทัดสีดำออกมา แสงก็วูบไหวบนมือของมั่วเฟิงและมั่วหลิง จากนั้นหอกยาวและกระดิ่งก็ปรากฏขึ้น
หอกยาวเล่มนี้มีสีทองเข้มและดูโบราณมาก ไม่มีขอบใบดูราวกับไม่คม ทว่าส่วนหัวที่หยาบกลับกะพริบด้วยแสงเย็น ซึ่งทำให้หัวใจคนมองเต้นเร็วขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
สำหรับมั่วหลิงได้รับกระดิ่งสีแดงเพลิงมา สามารถมองเห็นมหาสมุทรเพลิงได้อย่างคลุมเครือ เมื่อเสียงกระดิ่งดังขึ้นก็ราวกับมหาสมุทรเพลิงแผ่ออกมา ทำลายชั้นฟ้าและชั้นดิน
แม้ว่าอาวุธของมั่วเฟิงและมั่วหลิงที่ได้รับมาเทียบกับไม้เทพโทษาของจิ่วโยวไม่ได้ แต่ก็เป็นของอาวุธเสมือนมหสวรรค์ของแท้
ทั้งสองพอใจอย่างมากกับการเก็บเกี่ยวนี้ แม้แต่มั่วเฟิงยังระบายยิ้มบางบนใบหน้าซึ่งปกติมักจะฉายท่าทางไม่แยแสอยู่เสมอ
ทุกคนเก็บเกี่ยวได้มากในการเดินทางมาที่สุสานอสูรโบราณโภคะครั้งนี้
“ของเจ้าล่ะ?” จิ่วโยวมองมู่เฉินด้วยสายตาสนใจ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าการทดสอบเหล่านี้ทิ้งไว้โดยอสูรโบราณโภคะ แต่ด้วยความเข้าใจต่อนิสัย นางไม่เชื่อว่าคนอย่างมู่เฉินจะกลับมามือเปล่า
ดังนั้นทุกคนจึงเลื่อนสายตาไปมองมู่เฉินด้วยความอยากรู้
มู่เฉินยิ้ม แสงสีดำควบแน่นบนหน้าผาก เนตรดับชีวิตปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อแสงสีดำวาบขึ้นทุกคนก็รู้สึกเย็นเยือกในหัวใจ ราวกับว่าถูกมองทะลุปรุโปร่งโดยแสงสีดำอย่างสมบูรณ์
แสงสีดำหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ความลึกลับที่เกิดขึ้นก็ยังทำให้ทุกคนรู้สึกใจสั่น
หานซันเบ้ปากขณะถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าพี่มู่จะได้รับสมบัติที่ดีที่สุดของอสูรโภคะ…”
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักเนตรดับชีวิต แต่หานซันก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่มีอยู่ในดวงตาลึกลับนั่น เขามีความรู้สึกว่าถ้ามันถูกใช้โจมตี เขาคงบาดเจ็บสาหัสหากไม่ชิงตายก่อน
มู่เฉินไม่ได้พูดอะไรทำเพียงยิ้ม เขาไม่คิดอธิบายการใช้งานของเนตรดับชีวิต เพราะนี่ควรจะเก็บเป็นไพ่ตายลับสำหรับเขา
“เราได้รับสมบัติของอสูรโภคะกันแล้ว… ต่อไปพวกเจ้าจะเริ่มหาเบาะแสของวิหคอมตะแล้วหรือ?” หานซันมองไปที่จิ่วโยวและมู่เฉินพลางถาม
หานซันรู้ว่าเหตุผลหลักที่ทำให้กลุ่มมู่เฉินมาที่สุสานหมื่นอสูรก็คือการค้นหาวิหคอมตะโบราณ ส่วนสมบัติของอสูรโบราณโภคะเป็นเหตุผลรองเท่านั้น
มู่เฉินครุ่นคิดชั่วครู่เมื่อได้ยินคำพูดของหานซันก่อนที่จะตอบว่า “ข้าตั้งใจจะฝึกฝนที่นี่เพื่อผลักดันพัฒนาการของคลื่นหลิงไปสู่ระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด”
ทะเลสาบตัวเป่าเป็นพื้นที่ฝึกฝนที่หาได้ยากในสุสานหมื่นอสูร นอกจากนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากรัศมีความตายและอสูรวิญญาณ บวกกับความหนาแน่นของคลื่นหลิง ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการเพาะบ่มคลื่นหลิง
สุสานหมื่นอสูรเต็มไปด้วยอันตราย มู่เฉินมีความรู้สึกว่าการเดินทางเพื่อค้นหาวิหคอมตะโบราณครั้งนี้จะอันตรายยิ่ง ดังนั้นเขาต้องผลักดันตัวเองไปสู่สภาพพร้อมรบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นอกจากนี้เนื่องจากเขาได้รับเนตรดับชีวิตมาแล้ว เขาก็ต้องการเวลาในการสำรวจสุสานหมื่นอสูรเพื่อค้นหาเบาะแสของวิหคอมตะโบราณด้วย
จิ่วโยวและมั่วเฟิงแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะพยักหน้าสนับสนุนการตัดสินใจของมู่เฉิน
เมื่อหานซันเห็นก็ยิ้ม “งั้นพวกข้าก็จะอยู่ต่อด้วย ถึงเวลานั้นพวกข้าอาจให้ความช่วยเหลือบางอย่างได้…”
ก่อนหน้ามู่เฉินได้ให้ความช่วยเหลือสุดตัวกับพวกเขา หากพวกเขาไปตอนนี้ก็ดูไร้หัวใจเกินไปหน่อย
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็หายใจออกเบาๆ ก่อนที่จะมองไปในส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูร เขารู้สึกได้เลือนรางว่ามีเบาะแสของวิหคอมตะโบราณอยู่ในสุสานจริง แต่อันตรายนั้นคงมีมากกว่าทะเลสาบตัวเป่าหลายเท่า…
ดังนั้นเขาจึงต้องยกระดับขุมพลังหลิงโดยเร็วที่สุดเพื่อเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด ถ้าโชคดีพออาจลองดูว่าสามารถบรรลุขั้นเจ็ดได้หรือไม่
ถ้าทั้งพลังกายและพลังหลิงของเขาเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดทั้งคู่ เวลานั้นเขาก็จะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดได้เลยทีเดียว!