บทที่ 1040 ดินแดนลึกลับ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1040 ดินแดนลึกลับ

เหนือทะเลสาบส่องแสงระยิบระยับอย่างเงียบเชียบ

ร่างเงาหนึ่งลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำราวกับขอนไม้ ระลอกคลื่นบนพื้นผิวทะเลสาบก็ไม่สามารถสั่นคลอนร่างกายของเขาได้

ซึ่งร่างนี้ก็คือมู่เฉินที่เลือกเข้าฝึกฝนเหนือทะเลสาบตัวเป่า สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยคลื่นหลิง ยิ่งไปกว่านั้นยังเงียบสงบไม่มีการรบกวนจากรัศมีความตาย ดังนั้นจึงเป็นจุดที่ดีอย่างยิ่งสำหรับการเข้าสมาธิ

รอบทะเลสาบจิ่วโยว มั่วเฟิงและคนอื่นๆ ก็เข้าสู่การฝึกฝนด้วยเช่นกัน พวกเขาเพิ่งได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์มา ดังนั้นจึงต้องหล่ออาวุธเหล่านี้ด้วยคลื่นหลิงของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้นและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้

ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงสนับสนุนต่อข้อเสนอแนะของมู่เฉินในการทำสมาธิ

ระหว่างการทำสมาธิ มู่เฉินก็ลืมตาม่านสีดำราวกับบ่อน้ำลึกที่ไม่มีความผันผวนใด เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนหยิบขวดหยกแล้วพลิกนิ้ว สายธารพุ่งออกมาจากปากขวด คลื่นหลิงในฟ้าดินต้มเดือดทันที มีหมอกหลิงห่อหุ้มร่างของมู่เฉินอยู่เลือนราง

สายธารนี้เกิดจากของเหลวจื้อจุนหลายแสนหยด

โดยทั่วไปการฝึกฝนของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนจะขาดของเหลวจื้อจุนไม่ได้ เพราะนี่คือทรัพยากรพื้นฐานที่จอมยุทธ์ทุกคนระดับนี้ต้องการ ตราบใดที่พวกเขามีปริมาณของเหลวจื้อจุนอย่างเพียงพอ การฝึกฝนของพวกเขาจะมีผลลัพธ์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

สายธารของเหลวจื้อจุนม้วนตัวอยู่รอบร่างมู่เฉิน เมื่อกวาดมองคร่าวๆ ก็มีไม่ต่ำกว่าล้านหยดเลยทีเดียว มู่เฉินหลับตาเปิดปากขึ้นเล็กน้อยแล้วหายใจเข้าเบาๆ ทันใดนั้นสายธารที่สร้างจากของเหลวจื้อจุนก็ก่อตัวเป็นมังกรตัวยาวเปล่งเสียงหวีดหวิวพุ่งเข้าไปในปากเขา

พื้นผิวร่างกายของมู่เฉินวาววับด้วยแสงหลิงขณะที่หมุนเวียนทักษะการเพาะบ่มเพื่อชำระของเหลวจื้อจุน ก่อนที่จะเทลงในจุดจื้อจุนไห่พัฒนาคลื่นหลิงที่อยู่ในร่างกาย

เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ขณะที่มู่เฉินกลืนกินของเหลวจื้อจุนซึ่งคล้ายกับวาฬระหว่างฝึกฝน

เวลาร่วงหล่นราวกับนาฬิกาทราย

การเข้าสู่สมาธิ ผ่านไปเกือบสิบวันในพริบตา

ในช่วงสิบวัน มู่เฉินแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากกลืนกินของเหลวจื้อจุนและเขาก็ใช้ไปแล้วห้าล้านหยดซึ่งเป็นปริมาณครึ่งหนึ่งที่ได้มา

ทว่าการฝึกฝนของมู่เฉินก็พัฒนาขึ้นพร้อมกับจำนวนของเหลวที่ลดลง คลื่นหลิงของเขาไต่เข้าสู่ระยะปลายสุดอย่างสมบูรณ์ อีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้แล้ว

สิ่งที่มู่เฉินรู้สึกเซ็งก็คือความรู้สึกที่จะบุกทะลวงไปสู่ขั้นเจ็ดยังมองไม่เห็นเลย ดูท่าเขาจะต้องหาวิธีอื่นเพื่อบุกเข้าไปแทนแล้ว

นอกจากนี้มู่เฉินยังได้ใช้ความสามารถของเนตรดับชีวิตตลอดการฝึกฝน เขาสำรวจรอบๆ สุสานหมื่นอสูรกว้างใหญ่เพื่อค้นหาร่องรอยของวิหคอมตะโบราณ

ทว่าเขาก็ต้องผิดหวังที่ไม่มีผลลัพธ์ใดๆ ในการค้นหา

สุสานหมื่นอสูรกว้างใหญ่ไพศาล มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยรัศมีความตายที่ปิดกั้นประสาทสัมผัส แม้จะมีเนตรดับชีวิตก็ยากที่จะค้นหาได้อย่างชัดเจน

แต่เห็นได้ชัดว่าคนอย่างมู่เฉินไม่ยอมแพ้แม้จะล้มเหลว เนื่องจากเขาตัดสินใจตั้งแต่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่ว่าจะช่วยเหลือจิ่วโยวให้มีสายเลือดสมบูรณ์ให้จงได้

ดังนั้นความล้มเหลวแค่นี้ไม่สามารถล้มเลิกความตั้งใจของเขาได้หรอก

มู่เฉินเปิดเปลือกตาออกจากสมาธิ สายธารของเหลวจื้อจุนยิ่งใหญ่ก็ลดขนาดลงจนกลายเป็นสายหมอกสุดท้ายสูดเข้าไปในนาสิกประสาท

ริ้วแสงวูบไหวในม่านตาสีดำ ก่อนที่ร่างเขาจะเคลื่อนไหวไปปรากฏบนท้องฟ้า แสงสีดำปริออกจากตรงหว่างคิ้ว ดวงตาที่สามเปิดออกพร้อมกับความลึกลับเปล่งประกายออกมา

แสงสีดำราวกับสามารถทะลุผ่านมิติไม่มีที่สิ้นสุด ภาพในรัศมีหมื่นลี้สะท้อนเข้าในดวงตาทั้งหมด

มู่เฉินใช้พลังของเนตรดับชีวิตอีกครั้ง พยายามที่จะค้นหาเบาะแสของวิหคอมตะโบราณในสุสานหมื่นอสูร

แสงสีดำทะลุทะลวงผ่าน ทุกตารางนิ้วที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายก็ถูกค้นโดยเขา แต่ชัดว่ามีข้อจำกัดสำหรับเนตรดับชีวิต ในการสำรวจพื้นที่ยิ่งไกลจะยิ่งเบลอมากขึ้น

ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา มู่เฉินได้ทำการค้นหาบริเวณใกล้เคียงเรียบร้อย ดังนั้นตอนนี้คลื่นจิตจึงค่อยๆ แผ่ลึกเข้าไปในสุสาน

รัศมีความตายในพื้นที่เหล่านั้นรุนแรงมาก แม้ว่าจะมีเนตรดับชีวิต เขาก็ยังมีปัญหาในการสำรวจ

ครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็วภายใต้การสำรวจ แต่มู่เฉินก็ยังรู้สึกผิดหวังเนื่องจากยังไม่พบเบาะแสของวิหคอมตะโบราณเลยสักนิด

ดังนั้นคิ้วจึงขมวดแน่น เขาไม่คิดว่าการได้เบาะแสจะยากเย็นขนาดนี้ หานซันเคยพูดถึงเพลิงอมตะ แต่จนตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นประกายไฟอะไรเลย

ถ้าไม่ใช่ความเชื่อใจในตัวหานซัน เขาคงจะสงสัยว่าหานซันโกหกกันรึเปล่าแล้ว…

เมื่อการสำรวจดำเนินต่อไป มู่เฉินก็รู้สึกเจ็บเล็กน้อยตรงหว่างคิ้ว ซึ่งเป็นเพราะเขาใช้เนตรดับชีวิตนานเกินไป จึงแสดงอาการถึงขีดจำกัดแล้ว

มู่เฉินสัมผัสถึงความเจ็บปวดก็สั่นศีรษะอย่างอดไม่ได้ กำลังคิดจะเลิกค้นหา

“หืม?”

แต่ขณะที่เขาคิดอย่างนั้น ทันใดนั้นดวงตาก็หดเกร็ง แสงสีดำวูบไหวที่กลางหว่างคิ้ว ส่องเข้าไปในส่วนลึกของสุสาน

ตำแหน่งที่แสงสีดำส่องเข้าไปมืดสนิท หากก่อนหน้ามู่เฉินยังสามารถเห็นส่วนอื่นๆ ได้แม้จะเบลอไปบ้าง แต่บริเวณนี้ก็มืดสนิทราวกับถูกอะไรปิดบังไว้

“สถานที่นี้แปลกมาก…”

มู่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเปิดเนตรดับชีวิต แสงสีดำรวมกันในดวงตาเขาพยายามมองผ่านความมืด

แต่ขณะที่แสงสีดำแทรกผ่านในความมืดมิด มิติก็เริ่มผันผวน เสียงคำรามป่าเถื่อนและน่ากลัวดังก้องออกมา ในเวลาเดียวกันเพลิงก็แผดเผาพื้นที่พร้อมกับความผันผวนน่าสะพรึงกลัวกระจายออกไป ตัดภาพเนตรดับชีวิตทันที

ปัง!

ร่างกายมู่เฉินกระตุก ริ้วเลือดไหลออกมาจากเนตรดับชีวิตที่กึ่งกลางหว่างคิ้ว ชัดว่าเขาถูกโจมตี

ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด พื้นที่มืดมิดนั้นน่ากลัวมากจนเขาถูกจู่โจมจากการใช้เนตรดับชีวิตแอบมองเข้าไปสั้นๆ โชคดีที่เขาไม่ได้ใช้พลังเต็มที่และพุ่งเข้าไปแบบทะเล่อทะล่า มิฉะนั้นกระทั่งเนตรดับชีวิตก็อาจจะเสียหายหนัก

“พื้นที่นั้นมีอะไรบางอย่าง?”

มู่เฉินนวดหว่างคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด โดยทั่วไปพื้นที่แบบนั้นไม่ใช่สถานที่ธรรมดาแน่ อาจเป็นพื้นที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงพลังละร่างไว้ ดังนั้นพื้นที่จึงได้รับการปกป้องโดยรัศมีของพวกมัน

ทว่ามู่เฉินได้สืบเสาะไปในหลายพื้นที่ของสุสานหมื่นอสูรในช่วงสิบวันที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกจู่โจมอย่างน่ากลัว ชัดว่าจะต้องมีสิ่งที่น่าสะพรึงอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน

“เปลวไฟเมื่อครู่… ดูคุ้นๆ แฮะ นั่นใช่เพลิงอมตะไหม?” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่เนตรดับชีวิตจะถูกตัดภาพ เหมือนจะเห็นแปลวไฟอยู่ ไม่รู้ว่านั่นใช่เพลิงอมตะหรือไม่?

แต่เสียงคำรามที่น่ากลัวนั้นก็เหมือนไม่ใช่ของวิหคอมตะ

ดินแดนนั้นแปลกประหลาดและลึกลับอย่างแท้จริง

สายตาของมู่เฉินกะพริบวูบ หลังจากที่เนตรดับชีวิตฟื้นตัวมาเล็กน้อย เขาก็เปิดใช้งานอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้พยายามมองผ่านความมืดกลับตรวจสอบพื้นที่โดยรอบแทน

พื้นที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยรัศมีความตายที่น่าสะพรึงกลัว เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนเลือนรางของรัศมีความตาย คิดว่าคงมาจากอสูรวิญญาณที่ทรงพลัง

“นั่นน่าจะเป็นส่วนลึกของสุสาน มิน่าล่ะถึงมีอสูรวิญญาณที่ทรงพลังจำนวนมากคอยปกป้อง… ” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง หลังจากตรวจสอบคร่าวๆ พื้นที่โดยรอบถูกล้อมกรอบด้วยปราการอสูรวิญญาณที่ทรงพลัง ทำให้ยากที่จะเข้าไป

“หืม?”

ขณะที่มู่เฉินตรวจสอบบริเวณนั้น จู่ๆ เขาก็อุทานสงสัยขึ้นมา เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านความมืดอย่างรวดเร็ว

ทิศทางที่พวกเขาไปก็คือพื้นที่มืดมิดนั้น

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจที่สุดก็คือมีร่างเงาบางส่วนที่เขาจำได้ ภายในกลุ่มนั้นมีผู้ชายและผู้หญิงคุ้นหน้า ซึ่งก็คือฉื้อหงหวู่และไป๋ปิงที่เคยพบกันในตลาดเสรี

“สมาชิกเผ่าหงส์ฟ้าเรอะ?” สายตามู่เฉินวูบไหว เงาร่างเหล่านั้นถูกล้อมไปด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่าหงส์ฟ้า

สายตามู่เฉินเลื่อนไปทางด้านหน้า ซึ่งมีคนคนหนึ่งนำหน้า ดูท่าเขาจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้แล้ว

คนผู้นั้นสวมชุดสีฟ้า สีหน้าไม่แยแส รัศมีเย็นเยือกอย่างยิ่งล้อมรอบร่างเขา ในเส้นทางที่พุ่งผ่านแม้แต่มิติก็ถูกแช่แข็ง

มู่เฉินจ้องมองไปที่คนคนนั้นก็รู้สึกเจ็บบริเวณผิวหนัง นี่เป็นสัญญาณบอกว่าอีกฝ่ายเป็นภัยคุกคามต่อพลังกายของเขาอย่างมาก

ขณะที่มู่เฉินกำลังจ้องมอง ชายชุดสีฟ้าก็หยุดชะงักก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในมิติเบื้องหน้าอย่างเย็นชา ราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉิน

“หึ”

เขาเค้นเสียงเย็นเยือก จากนั้นก็กำมือ พัดเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น นี่เป็นพัดสีฟ้าน้ำแข็ง ดูเหมือนทำมาจากขนหงส์ฟ้าโดยมีไฟสีขาวลุกโชนอยู่ เปลวไฟนั้นไม่ได้ร้อน แต่กลับปล่อยไอเย็นที่น่ากลัวอย่างมาก

เขาถือพัดโบกใส่มิติเบื้องหน้า เปลวไฟสีขาวม้วนตัวออกไป ชั้นบรรยากาศบริเวณนั้นกลายเป็นน้ำแข็งแล้วกระจายออกไปเป็นชั้นๆ ทำให้พื้นที่เย็นยะเยือกลงอย่างสิ้นเชิง

ขณะที่มิติแข็งตัว แสงสีดำจากเนตรดับชีวิตของมู่เฉินก็ถูกความหนาวเหน็บกัดกร่อนจนสลายไป

บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบตัวเป่า มู่เฉินลืมตาขึ้น เนตรดับชีวิตบนหน้าผากก็จางลงไปช้าๆ ในม่านตาสีดำแสงแปลกประหลาดกะพริบวาบเมื่อมองไปทางนั้น

ชายชุดสีฟ้าคนนั้นน่าจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้า… แต่ทำไมพวกเขาถึงไปยังดินแดนมืดมิดนั่น?

พัดขนนกขาวน่าจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ มิฉะนั้นเปลวไฟสีขาวคงไม่สามารถตัดการมองของเนตรดับชีวิตได้

“แปลกมาก…”

สายตาของมู่เฉินเปล่งประกาย ขณะที่พึมพำด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับดินแดนลึกลับที่เพิ่มขึ้นในหัวใจ

เผ่าหงส์ฟ้าจะไม่เคลื่อนไหวหากไม่มีผลกำไร นอกจากนี้พวกเขาไว้ตัว สิ่งธรรมดาไม่สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับเดินทางอย่างเร่งรีบ ก็หมายความว่าต้องมีบางสิ่งที่พิเศษในดินแดนนั้นแน่นอน

และสิ่งที่ไม่ธรรมดาอาจมีโอกาสเป็น… วิหคอมตะโบราณ