หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1041 สุสานสักการะเทพ
บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบตัวเป่า
มู่เฉินพลิ้วตัวลงมา จิ่วโยว มั่วเฟิงและคนอื่นๆ ก็ทะยานเข้ามาด้วยความสงสัยในดวงตา เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงฉับพลันของมู่เฉินเมื่อครู่ มิหนำซ้ำยังมีรอยเลือดไหลลงมาจากกึ่งกลางหน้าผากของเขาอีกด้วย
“พี่มู่พบอะไรเข้าเหรอ?” หานซันถามด้วยสีหน้าอึกอัก เนื่องจากมู่เฉินไม่พบอะไรหลังจากค้นหามาหลายครั้งในช่วงสิบวันที่ผ่านมา ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างอึดอัดใจ ตอนแรกเป็นตัวเขาเองที่มั่นใจบอกว่ามีร่องรอยของวิหคอมตะโบราณในสุสานหมื่นอสูร
มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายจากนั้นพยักหน้าเบาๆ ทำให้หัวใจของจิ่วโยวเต้นรัวเร็ว เพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบวันที่มู่เฉินพยักหน้ารับ
มู่เฉินไม่ได้ปิดบังอะไร เล่าเกี่ยวกับดินแดนลึกลับที่ค้นพบพร้อมกับการปรากฏตัวของเผ่าหงส์ฟ้าให้ทุกคนทราบ
“เผ่าหงส์ฟ้าก็มาที่นี่เหมือนกันเหรอ” สีหน้าของจิ่วโยววูบไหวด้วยอาการตื่นตะลึง จากนั้นก็มุ่นคิ้วแน่น “สายตาของคนเหล่านั้นไม่ธรรมดา ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาเร่งรีบเช่นนี้ ต้องไม่ธรรมดาเหมือนกันแน่”
ขณะที่พูด ดวงตานางก็สั่นสะท้าน วิหคอมตะโบราณเป็นสายพันธุ์ของเผ่าหงส์ฟ้าด้วย ทว่าความหายากนั้นเหนือกว่าหงส์ฟ้าแท้จริงของเผ่าหงส์ฟ้าอีกด้วย ดังนั้นหากเผ่าหงส์ฟ้าได้เบาะแสของวิหคอมตะ ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะต้องรีบไปค้นหา
หากพวกเขาได้รับแก่นโลหิตมรดกของวิหคอมตะโบราณ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับสายเลือดของพวกเขา
แต่ว่าเมื่อเผ่าหงส์ฟ้าเข้ามามีส่วนร่วม เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นปัญหามากขึ้น ด้วยนิสัยที่หยิ่งทะนงของพวกเขาคงไม่ยอมให้คนอื่นมีส่วนร่วมเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ในแง่ของปัญหานี่ยิ่งเกินกว่าเผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำอีก
“ถ้าเผ่าหงส์ฟ้ากำลังมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่พี่มู่ค้นพบจริงละก็ ที่นั่นต้องไม่ธรรมดาแน่นอน” หานซันกล่าวขึ้นเช่นกัน
พูดถึงจุดนี้เขาก็หยุดระลึกถึงบางอย่าง “แต่ถ้าให้พูดจริง พวกข้าก็มีข้อมูลบางอย่างพอดี…”
“หืม?” มู่เฉินมองหานซันด้วยความประหลาดใจ ยังมีข้อมูลที่เขาไม่ได้บอกพวกเขาอีกเหรอ?
เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน หานซันก็ส่ายหัว “ข้าไม่ได้คิดปกปิดนะ นี่เป็นข้อมูลที่ได้ตอนพี่มู่เข้าสู่สมาธิข้าให้พรรคพวกไปตรวจสอบพื้นที่รอบๆ แม้ว่าเราจะไม่พบเบาะแสของวิหคอมตะ แต่ก็พบอย่างอื่นแทนน่ะ”
“เจออะไร?”
“ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา เราพบว่ามีกลุ่มคนเข้ามาในสุสานหมื่นอสูรมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นมีไม่น้อยที่มาจากเผ่าเทพอสูรชั้นสูง” หานซันพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เช่นเผ่าคุนเผิง… เผ่านกยูงเก้าสี… เผ่ากระเรียนเทพสวรรค์… เผ่าวานรทะลุฟ้า…”
ชื่อทุกเผ่าที่หลุดมาจากปากของหานซัน ทำให้คิ้วของมู่เฉินกระตุก นั่นเป็นเพราะเผ่าเหล่านั้นล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ นับเป็นเผ่าที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
เผ่าเทพอสูรเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังและรากฐานแข็งแกร่งจนถึงจุดที่ไม่สามารถประเมินได้
แต่หลังจากความประหลาดใจ ใบหน้าของมู่เฉินก็เคร่งเครียดมากขึ้น ถ้าเป็นเพียงเผ่าเทพอสูรอันดับต้นหนึ่งหรือสองเผ่าที่เข้ามาในสุสานหมื่นอสูรก็อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เมื่อมีหลายเผ่าก็น่าจะมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง
“ต้องมีบางอย่างในสุสานดึงดูดพวกมัน” มั่วเฟิงพูดตรงประเด็น ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นเผ่าเทพอสูรจอมหยิ่งทั้งหลายจะไม่เสี่ยงชีวิตในการเข้าสู่สุสานแน่นอน
จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ สายตาเลื่อนไปมองมู่เฉิน เขาก็รับรู้สึกสายตาของนาง ดวงตาหรี่ลงพูดช้าๆ ว่า “หรือว่าคนทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าสู่ดินแดนลึกลับนั่น?”
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น แต่ในเมื่อดึงดูดความสนใจของเผ่าหงส์ฟ้าได้ ก็ต้องมีความพิเศษบางอย่างแน่นอน กรณีแบบนี้ก็เป็นไปได้ว่าที่กลุ่มอื่นๆ จะถูกดึงดูดเช่นกัน
หานซันพยักหน้า จะต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างเกี่ยวกับทั้งสองเรื่องนี้แน่
“เจ้าวางแผนจะทำยังไง?” มั่วเฟิงถามขณะที่หันไปมองมู่เฉิน
จิ่วโยวก็ยังจดจ้องอยู่ที่มู่เฉิน ตลอดการเดินทางมู่เฉินได้แสดงพลังที่แข็งแกร่ง โดยไม่รู้ตัวเขาได้เปลี่ยนตำแหน่งกับนางในฐานะผู้นำ กลายเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจของกลุ่มไปแล้ว
มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ แม้ว่าเขาจะยังไม่ทราบว่ามีอะไรในดินแดนลึกลับ แต่ก็สัมผัสได้ถึงอันตรายคลุมเครือเกินกว่าที่นี่มาก
ยิ่งไปกว่านั้นถ้ากลุ่มเทพอสูรระดับต้นถูกดึงดูดไปที่นั่น ก็จะต้องโหดหินแน่หากเกิดการต่อสู้แตกหัก ผู้ที่อ่อนแออาจถูกกินจนไม่เหลือซาก
สถานที่เลวร้ายเช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วควรหลีกเลี่ยงเป็นดีที่สุด
แต่…ถ้าที่นั่นมีร่องรอยของวิหคอมตะโบราณล่ะ? แม้ว่าการเก็บเกี่ยวของพวกเขาในการเดินทางมายังดินแดนเสินโซ่ครั้งนี้จะยอดเยี่ยมมากแล้ว แต่เป้าหมายสำคัญที่สุดยังไม่บรรลุ ซึ่งก็คือช่วยจิ่วโยวให้ได้รับแก่นโลหิตวิหคอมตะโบราณเพื่อที่จะทำให้สายเลือดของนางสมบูรณ์แบบที่สุด
ถ้าเรื่องนี้ไม่สำเร็จ มู่เฉินจะต้องรู้สึกหม่นหมองในหัวใจไม่ว่าจะได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์กี่ชิ้นก็ตาม
ดังนั้นแม้ว่าที่นั่นจะเต็มไปด้วยอันตราย คนอย่างเขาก็ขอลองเสี่ยงสักตั้ง
“ไม่ว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น แต่ผิดดีกว่าพลาด ตราบใดที่มีเบาะแสเกี่ยวกับวิหคอมตะ ข้าก็ต้องลองดู” มู่เฉินกวาดมองทุกคน น้ำเสียงนุ่มนวลแต่มุ่งมั่นอย่างยิ่ง
ดวงตาของจิ่วโยวเต็มไปด้วยระลอกอารมณ์ แม้นางไม่ได้พูดอะไร แต่กลับรู้สึกอบอุ่นในใจ
มั่วเฟิงก็พยักหน้า ขณะที่มั่วหลิงคิดว่าไปไหนไปกัน
เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่เฉินก็มองไปที่หานซัน “พี่หาน ถ้าพวกเจ้ามีธุระอย่างอื่น เราสามารถแยกกันได้ที่นี่นะ”
เขาไม่ได้ขอให้กลุ่มของหานซันไปด้วยกัน เพราะศัตรูที่ต้องปะทะก็คือเผ่าเทพอสูรระดับต้นซึ่งแข็งแกร่งกว่ากลุ่มจิงฉิงเทียนเสียอีก
เมื่อหานซันได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าก็จริงจังขึ้น “พี่มู่ เจ้าพูดเช่นนี้คือไม่เห็นข้าเป็นเพื่อนนะ ถ้าไม่ใช่พวกเจ้า พวกเราคงไม่มีโอกาสได้เข้ามาในทะเลสาบตัวเป่าด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการได้รับสมบัติเลย ตอนนี้ในเมื่อพวกเจ้ามีภารกิจต้องทำ เราก็จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะประสานมือคารวะ “งั้นขอบคุณมาก”
หานซันเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดบวกกับความช่วยเหลือจากพลองสะท้านฟ้า เขาก็ไม่ต้องกลัวแม้ว่าจะต้องเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดแบบจิงฉิงเทียน ด้วยความช่วยเหลือนี้ การรวมตัวของพวกเขาในการเดินทางครั้งนี้ก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
แต่การไปด้วยกัน พวกเขาอาจสร้างความขัดแย้งกับเทพอสูรระดับต้นกลุ่มต่างๆ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันอย่างมากให้กับพวกหานซัน ดังนั้นมู่เฉินจึงค่อนข้างคาดไม่ถึงสำหรับการตัดสินใจของหานซันครั้งนี้
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราก็มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูรกัน นอกจากนี้หากเราพบกลุ่มอื่นๆ ระหว่างทางก็จะได้ถามข้อมูล หากแน่ใจว่ามีเบาะแสของวิหคอมตะอยู่ที่นั่น เราก็จะมุ่งหน้าไปที่นั่นทันที แต่ถ้าไม่เกี่ยวข้อง เราก็จะยอมแพ้มองหาเบาะแสอื่นๆ” มู่เฉินยิ้ม
ไม่ว่าในพื้นที่นั้นจะมีสมบัติอะไร แต่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับมู่เฉินตอนนี้ก็คือการช่วยจิ่วโยวให้ได้รับสายเลือดสมบูรณ์แบบที่สุด สำหรับเรื่องอื่นเขาเก็บไว้ก่อน
หานซันพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน หากพวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการปะทะกับชนชั้นสูงของเผ่าเทพอสูรได้นั่นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะคนเหล่านั้นไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ง่ายดาย แม้แต่คนอย่างจิงฉิงเทียนก็ยังหวาดกลัว ถ้าได้พบกับจอมยุทธ์ชั้นสูงแห่งเผ่าเทพอสูร
เมื่อมู่เฉินเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ไม่ชักช้าอีกต่อไป สายตามองลึกลงไปในสุสานก่อนที่จะโบกมือ จากนั้นเงาร่างก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป
คนอื่นๆ ก็ติดตามอย่างใกล้ชิด ทิ้งภาพทะเลสาบเงียบสงบไว้เบื้องหลัง
ออกจากทะเลสาบตัวเป่า
ทุกคนก็มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกภายใต้การนำของมู่เฉิน
มู่เฉินได้ทำการสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนเกี่ยวกับดินแดนนี้ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา ดังนั้นภายใต้การนำของเขาการเดินทางจึงราบรื่นมาก ระหว่างทางพวกเขาไม่ได้ปะทะกับฝูงอสูรวิญญาณเลย
ดังนั้นในเวลาไม่ถึงสองวัน พวกเขาก็เข้าใกล้ส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูรแล้ว
นอกจากนี้ในวันที่สองพวกเขายังได้พบกับกลุ่มหนึ่งที่เป้าหมายเดียวกันด้วย
พวกเขาได้รับข้อมูลบางอย่างจากคนกลุ่มนี้ โดยใช้ความรุนแรงไปเล็กๆ น้อยๆ
ในดินแดนเสินโซ่ ทุกอย่างพูดด้วยกำปั้น ตราบใดที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งเพียงพอแม้แต่ชั้นสูงของเผ่าเทพอสูรก็ยังต้องมีมารยาทให้
จากข้อมูลที่ได้รับ ในที่สุดมู่เฉินก็รู้ถึงต้นกำเนิดของดินแดนลึกลับนั่น
เล่าขานกันว่าในสมัยโบราณเมื่อดินแดนเสินโซ่แตกเป็นเสี่ยงๆ จอมยุทธ์ในทวีปแห่งนี้ได้เข้าต่อสู้กับเผ่าปีศาจต่างมิติ พวกเขาส่วนใหญ่ละทิ้งร่างไว้ในส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูร
เมื่อจอมยุทธ์เผ่าปีศาจตายลง รัศมีปีศาจชั่วร้ายจากพวกมันก็พยายามทำให้ซากศพเทพอสูรที่ทรงพลังปนเปื้อน ดังนั้นปณิธานของมหาเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นจึงรวมเข้าด้วยกัน สถิตอยู่ในส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูร คอยปกป้องซากร่างของพรรคพวกและปราบปรามเหล่านักรบเผ่าปีศาจในเวลาเดียวกัน
ดังนั้นดินแดนที่มีมหาเทพอสูรละทิ้งร่างไว้จึงถูกเรียกว่า… สุสานสักการะเทพ