บทที่ 1042 รวมตัว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1042 รวมตัว

ส่วนลึกสุดของสุสานหมื่นอสูร

พื้นที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายที่เข้มข้น สีเทาดำมืดไม่มีสัญญาณของพลังชีวิตแผ่กระจายออกไปจนสุดปลายสายตาของผู้พบเห็น ราวกับว่ามันได้ปิดกั้นพลังงานชีวิตทั้งหมดไว้

ฟิ้ว!

ทันใดนั้นเสียงอากาศฉีกออกจากกันก็ดังขึ้น เงาร่างหลายร่างเหาะเหินข้ามท้องฟ้า พริบตาพวกเขาก็พุ่งผ่านรัศมีความตายมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูร

คนกลุ่มนี้ก็คือพวกมู่เฉินที่ออกจากทะเลสาบตัวเป่ากำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เรียกว่าสุสานสักการะเทพ

“เราน่าจะใกล้ถึงส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูรแล้ว สุสานสักการะเทพคงอยู่ไม่ไกล”

มู่เฉินอยู่ที่ด้านหน้าสุด ริ้วแสงสีดำกะพริบที่กลางหว่างคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้เนตรดับชีวิต แต่ก็ยังสามารถมองผ่านรัศมีความตาย รับรู้ถึงสถานการณ์ในรัศมีหมื่นจั้ง เพื่อหลบเส้นทางของอสูรวิญญาณฝูงใหญ่

ที่ด้านหลังคนอื่นๆ พยักหน้ารับพร้อมเพรียง พวกเขาไม่สงสัยคำพูดของมู่เฉิน ตั้งแต่ออกเดินทางครั้งนี้พวกเขาไม่เจอสิ่งกีดขวางใดๆ ซึ่งทำให้พวกเขาตงิดในใจว่าตอนนี้ยังอยู่ในดินแดนเสินโซ่หรือไม่

แน่นอนว่าพวกเขาต้องขอบคุณต่อการรับรู้ของมู่เฉิน ที่ทำให้การเดินทางราบรื่นมาก หากเขาไม่ได้ตรวจสอบล่วงหน้าและเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดในการเดินทาง พวกเขาอาจได้รับความเดือดร้อนจากการโจมตีของฝูงอสูรวิญญาณไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง

“คงมีบางกลุ่มที่ไปถึงสุสานสักการะเทพแล้ว” จิ่วโยวมองไปที่ฟ้าดินที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายสีเทาอมดำ ไม่รู้ว่ามีสิ่งที่น่ากลัวแค่ไหนซ่อนอยู่ในความมืดและตอนนี้น่าจะมีบางกลุ่มไปถึงแล้ว

มู่เฉินพยักหน้า ตลอดทางแม้ว่าพวกเขาจะแซงกลุ่มคนไปไม่น้อย แต่ก็ไล่ทันแค่พวกที่นำหน้าไป เนื่องจากต้องยอมรับว่ากลุ่มเหล่านั้นมีการจัดเรียงที่ทรงพลังมากเมื่อเทียบกับพวกเขา

นอกจากนี้ผู้นำของกลุ่มเหล่านั้นก็เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงแท้จริง

พวกเขาถือเป็นตัวแทนของจอมยุทธ์สูงสุดในกลุ่มอัจฉริยะที่เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ในครั้งนี้

แม้แต่จิงฉิงเทียนก็กลัวจนหงอ ถ้าต้องเจอพวกจอมยุทธ์ชนชั้นสูงเข้า

ในการเดินทางไปที่สุสานสักการะเทพครั้งนี้ ศัตรูที่พวกเขาต้องเผชิญอาจเป็นจอมยุทธ์สุดยอดในดินแดนนี้ ซึ่งไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะโดดเด่นได้

ทว่าถึงแม้จะยาก แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่ได้มีความกลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเลือดในกายเขากลับเดือดพล่านพร้อมกับไฟแห่งการต่อสู่พวยพุ่งออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ ในเส้นทางของยอดยุทธ์ ผู้ฝึกจะต้องพิชิตยอดเขาที่ยากสำหรับคนธรรมดาจะประสบความสำเร็จได้ ความยากลำบากนี้จะเป็นหินลับมีดสำหรับพวกเขาที่จะส่องประกายและยืนหยัดเพื่อความเป็นหนึ่ง

วาบ!

เลือดในกายเดือดปุด แต่เขาก็ไม่ได้ลดความเร็วขณะบินผ่านยอดเขาสีเทาดำในสายแสง เมื่ออสูรวิญญาณบนยอดเขาสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา พวกเขาก็หายวับไปในขอบฟ้าแล้ว

สี่ชั่วโมงต่อมาพวกมู่เฉินก็เริ่มชะลอความเร็วลง พวกเขาพลิ้วตัวลงมาบนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้สีเทาดำ สายตาจ้องมองไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

แผ่นดินบริเวณนั้นไม่ได้เป็นสีเทาดำอีกต่อไป แต่กลับเป็นสีแดงเข้มข้น

สีแดงเลือดหมูนั้นราวกับเลือดย้อมสีแผ่นดินเป็นเวลานับหมื่นปี นอกจากนี้นี่ไม่ใช่เลือดธรรมดาแต่เป็นเลือดที่มาจากสิ่งมีชีวิตทรงพลัง นั่นเป็นเพราะทั้งผืนดินถูกห่อหุ้มด้วยแรงกดดันอันทรงพลัง กระทั่งมู่เฉินที่มีจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงสถิตในร่างก็ยังรู้สึกหายใจลำบาก

มีหุบเหวลึกมากมายบนพื้นซึ่งลึกจนมองไม่เห็นก้น มากจนมิติบริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยรอยแตก นั่นเป็นเพราะการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่เป็นความหายนะใหญ่หลวง แม้ว่าผ่านไปหลายหมื่นปีก็ยังไม่สามารถกู้คืนสภาพได้

รัศมีความตายที่โอบล้อมแผ่นดินนี้ ก็ไม่ใช่สีเทาดำกลับเป็นสีแดงอ่อนผสมกับปณิธานที่หลงเหลือของสิ่งมีชีวิตทรงพลังมากมาย แม้จะตายไปเจตนาเหล่านี้ก็ไม่สามารถถูกลบล้างไปได้

ท่ามกลางรัศมีความตายสีแดง มีหอคอยสูงนับไม่ถ้วนยืนตระหง่านราวกับต้นไม้ยืนต้น พวกมันเหมือนจะก่อเป็นปราการกั้นแยกแผ่นดินบริเวณนี้ออกจากโลกภายนอก รัศมีความตายสีแดงไม่อาจซึมออกมาได้ ในเวลาเดียวกันรัศมีสีเทาดำก็ถูกปิดกั้นไว้ที่ข้างนอกเช่นกัน

มู่เฉินหรี่ตาลง แสงสีดำกะพริบที่หน้าผาก เขามองไปที่หอคอยสูงนับไม่ถ้วน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ด้วยความสามารถของเนตรดับชีวิต เขารับรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่หอคอย แต่เป็นโครงกระดูก

เขาไม่สามารถระบุแหล่งกำเนิดของกระดูกเหล่านั้นได้ แต่สิ่งเดียวที่เขามั่นใจก็คือสิ่งเหล่านั้นไม่ได้มาจากเทพอสูรเพียงร่างเดียว พวกมันถูกสร้างขึ้นจากโครงกระดูกของเทพอสูรจำนวนมากที่โอบล้อมพื้นที่นี้ราวกับสุสานที่ปกปักผู้ที่ละร่างอยู่ภายใน

“นี่คือสุสานสักการะเทพรึ?” จิ่วโยวมองไปที่สุสานตระการตาก็รู้สึกตกตะลึง เมื่อเปรียบเทียบกับสุสานนี้พวกเขามีขนาดเล็กเท่ามด ความตกตะลึงนั้นไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

“น่าจะไม่ผิด”

มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้าก่อนที่จะเอียงศีรษะมองทิศทางอื่นของพื้นที่นี้ เขาสัมผัสได้คลุมเครือถึงความผันผวนของคลื่นหลิงในทิศทางเหล่านั้น ชัดว่ามีกลุ่มอื่นมาที่นี่อยู่เรื่อย

“ดูท่าข้อมูลของสุสานสักการะเทพกระจายไปทั่วแล้ว ตอนนี้เหมือนจะมีกลุ่มทรงพลังจำนวนมากเข้ามา” หานซันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ บางทีเกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่อาจมาที่นี่

“เรื่องแบบนี้ปิดไม่มิดหรอก” มู่เฉินไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ แม้ว่าเผ่าเทพอสูรระดับต้นจะมีเครือข่ายข้อมูลที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ต้นไม้ขนาดใหญ่ก็ไม่สามารถบังพายุได้ ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกจับตามองอยู่ตลอด ยิ่งก่อนหน้านี้เผ่าต่างๆ ได้เข้ามาในสุสานหมื่นอสูร คนอื่นๆ จะไม่เกิดการคาดดาได้อย่างไร

ทว่ามู่เฉินก็รู้ดีว่ากลุ่มเทพอสูรระดับต้นไม่คิดปกปิดข้อมูล เพราะหากคิดจะเก็บเกี่ยวในดินแดนน่ากลัวนี้ คนที่ไม่มีกำลังก็จะส่งตัวเองไปสู่ปากเหวความตายเท่านั้น

ในเมื่อคนอื่นโลภมากต้องการลงสู่ประตูนรก เผ่าเทพอสอูรระดับต้นก็พร้อมที่จะรับชมจากด้านข้างอย่างเลือดเย็น

“ไปที่นั่น”

ทันใดนั้นสายตาของมู่เฉินก็มองไปที่ส่วนนอกสุสานสักการะเทพ ที่มีกองหินใหญ่วางนิ่งพร้อมกับความผันผวนของคลื่นพลังเปล่งออกมาจากมัน เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่รวมตัวของคนทั้งหมด

แม้ว่าพวกเขาจะมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสุสานสักการะเทพ แต่ก็ยังไม่เข้าใจมากนัก ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเขาจะระมัดระวังและติดตามหลังกลุ่มคนส่วนใหญ่ไป

คนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วยเกี่ยวกับเรื่องนี้

มู่เฉินทะยานเป็นผู้นำออกไป มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งนั้น ไม่กี่นาทีต่อมาร่างของเขาก็พลิ้วลงบนก้อนหินใหญ่โดยมีพรรคพวกตามมาติดๆ

เมื่อมาถึงพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นจำนวนกลุ่มคนมากมายที่นี่

หินทุกก้อนมีกลุ่มคนแยกออกเป็นมากบ้างน้อยบ้าง นอกจากนี้จำนวนกลุ่มคนก็มีมากอย่างน่าตกใจ ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้มู่เฉินประหลาดใจที่สุดก็คือการรวมตัวของกลุ่มเหล่านั้นทรงพลังมากจนไม่อาจประมาทได้

พวกเขาสามารถมาถึงสุสานสักการะเทพเป็นชุดแรก ชัดว่าต่างต้องมีฝีมือไม่ธรรมดา

สายตาของมู่เฉินกวาดไปทั่วจากนั้นจิตก็เคลื่อนไหว เขามองไปที่จุดลึกที่สุดก็เห็นว่าบนก้อนหินใหญ่ราวลานหินหลายก้อน ต่างมีร่างหลายร่างนั่งอยู่อย่างเงียบๆ

เขาอดหดดวงตาไม่ได้เมื่อกวาดมองร่างคนเหล่านี้ ร่างกายก็เกร็งเครียดขึ้น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เขารู้สึกถึงการคุกคาม

“ทั้งหมดนั่นเป็นเผ่าเทพอสูรระดับต้นของโลกสัตว์อสูร” จิ่วโยวเอ่ยเสียงต่ำ ใบหน้านางอัดแน่นไปด้วยความเคร่งเครียด เห็นได้ชัดว่านางค่อนข้างครั่นครามกับเผ่าเทพอสูรระดับต้นเหล่านี้ หากแก่นโลหิตมรดกของวิหคอมตะโบราณมีอยู่จริง คนเหล่านี้ก็จะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของนาง

มู่เฉินพยักหน้าโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน สายตาของเขาถูกดึงดูดไปยังกลุ่มกลุ่มหนึ่งเนื่องจากคนเหล่านั้นค่อนข้างแปลก ดวงตาของพวกเขามีหลายสี แสงระยิบระยับโอบล้อมพวกเขาขณะเปล่งพลังงานลึกลับออกมา

ผู้นำของกลุ่มนั้นเป็นหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดา นางแต่งกายด้วยชุดยาวสีฟ้าอมเขียว เรียวคิ้วเข้ารูป เปล่งประกายรัศมีสง่างามและสูงส่งทำให้นางดูเหมือนกับเซียนผู้หลุดพ้น

“นั่นคือเผ่านกยูงเก้าสีที่มีสายเลือดสูงส่งในบรรดาเทพอสูรกลางหาวซึ่งไม่ด้อยไปกว่าเผ่าหงส์ฟ้าเลย” จิ่วโยวอธิบายเพิ่มเติม

มู่เฉินพยักหน้า สายเลือดนกยูงเก้าสีทรงพลังและไม่ด้อยไปกว่าเผ่าหงส์ฟ้าเลย เพียงแต่ว่าชื่อเสียงของพวกเขาน้อยกว่าเผ่าหงส์ฟ้าอยู่เล็กน้อย

“กลุ่มฝั่งนู้นน่าจะเป็นเผ่าวานรทะลุฟ้า” มู่เฉินมองไปอีกทางหนึ่ง ก็เห็นร่างเงาสามร่างบนก้อนหิน ทั้งสามคนมีรูปร่างผอมบาง แต่ละคนถือไม้พลอง ดูธรรมดาอย่างยิ่ง แต่มู่เฉินกลับรู้สึกถึงรัศมีคุกคามที่มาจากพวกเขา

เผ่าวานรทะลุฟ้าก็เป็นเผ่าเทพอสูรที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกสัตว์อสูร

“ยังมี…เผ่าคุนเผิง”

สายตาของมู่เฉินเลื่อนไปทางขวาก็เห็นร่างหลายร่าง พวกเขามีท่าทางขี้เกียจ แต่เมื่อสายตากวาดผ่านคนอื่นๆ ก็สามารถรู้สึกถึงความคมชัดที่น่ากลัวภายใต้ท่าทางขี้เกียจนั้น

เผ่าคุนเผิงก็เป็นเผ่าเทพอสูรระดับตันที่มีสายเลือดทรงพลัง ความเร็วของพวกเขาคือสิ่งที่ไม่มีใครเทียบได้

ท่ามกลางสมาชิกเผ่าคุนเผิง สายตามู่เฉินหยุดอยู่ที่ด้านหน้าสุด ซึ่งมีผู้ชายหลับตานั่งอยู่ เขามีผมสีเงินยวง เมื่อเทียบกับพรรคพวกเหมือนขาดความเฉียบคมไปเล็กน้อย แต่จากประสาทสัมผัสยอดเยี่ยมที่มี มู่เฉินรู้สึกได้ว่าคนคนนี้ยากหยั่งถึงมากที่สุดในกลุ่มของเผ่าคุนเผิง

“ส่วนตรงนั้นเป็นเผ่ากระเรียนฟ้า…”

“…”

มู่เฉินกวาดสายตาไป สีหน้าก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น สุดท้ายก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ พวกเขาเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานอย่างแท้จริง มีความได้เปรียบทรงพลังตั้งแต่เกิด

ในบรรดากลุ่มทรงพลัง พวกเขาครอบครองตำแหน่งที่ดีที่สุด ดูเหมือนจะไม่อยากแข่งขัน แต่รัศมีครอบงำนั้นก็คุกคามคนอื่นนัก

หลังจากที่มู่เฉินถอนหายใจ ก็เลื่อนสายตาไปที่ลานหินด้านหน้าสุด แต่คราวนี้ก่อนที่สายตาจะกวาดมองไป เขาก็สังเกตได้ถึงสายตาเย็นเยือกที่ทะลุมิติยิงเข้าใส่ ทำให้บรรยากาศรอบตัวเขาเย็นลงทันที

มู่เฉินขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองที่ไกลก็เห็นกลุ่มของเผ่าหงส์ฟ้า ชายชุดสีฟ้ากำลังจ้องมองมาด้วยสายตาที่ราวกับใบมีด ความคมชัดในสายตาดูเหมือนต้องการมองทะลุให้ถึงแก่น

ชายสวมชุดสีฟ้าโบกพัดขนนกสีฟ้าน้ำแข็งในมือเบาๆ อากาศเย็นล้อมรอบตัวเขา ขณะที่พูดอย่างไม่แยแส ก็ทำให้อากาศเย็นเยือกกระจายออกไปทั่วบริเวณ

“แกคือคนที่สอดแนมข้าก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”