บทที่ 454.1 งีบหลับในสถานที่ที่ใจข้าสงบ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

การเดินทางกลับมายังเกาะชิงเสียของเฉินผิงอันครั้งนี้ มาอย่างรีบร้อน แล้วก็จากไปอย่างรีบร้อนเช่นกัน

อันที่จริงกู้ช่านจะอยู่หรือไปล้วนไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินไปของสถานการณ์ใหญ่ อันที่จริงแล้วเฉินผิงอันในเวลานี้ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มาก เรื่องราวบางอย่างที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของซูเกาซานแห่งต้าหลี เหตุการณ์พลิกผันในทะเลสาบซูเจี่ยน หรือแผนการของผู้ฝึกตนบนเกาะกงหลิ่ว ขอแค่เฉินผิงอันยังไม่ยินดีออกไปจากภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป กู้ช่านอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน

แต่การที่กู้ช่านยินดีอยู่ต่อที่เกาะชิงเสีย เฝ้าพิทักษ์จวนชุนถิง ก็คือการเลือกที่ดีที่สุด

เฉินผิงอันถ่อเรือจากไป

ไปขึ้นฝั่งที่นครลวี่ถง ก่อนหน้านี้พายเรือผ่านภูเขาพุดตานที่ศาลบรรพจารย์ถูกรื้อถอนทำลาย ครานั้นมังกรเพลิงปรากฎตัว พลังอำนาจดุดันสะท้านฟ้า ไม่เป็นรองการพลิกมหาสมุทรคว่ำนทีของหนีชิวตัวนั้นเลยแม้แต่น้อย คนมีใจที่ตบะขอบเขตสูงมากพอของทะเลสาบซูเจี่ยนล้วนเข้าใจผิดคิดว่าศัตรูบนมหามรรคาของกู้ช่านปรากฎตัว จะต้องระเบิดศึกแห่งน้ำและไฟครั้งใหญ่ เพียงแต่ใครก็คาดคิดไม่ถึงว่าคนต่างถิ่นที่เล่าลือกันว่าเป็นหน่วยจานกานของต้าหลีกลุ่มนั้นจะเลือกหยุดมือแล้วจากไป

ทว่าภายหลังก็มีเรื่องสนุกให้คนได้ดูชมกันอีกไม่น้อย สตรีชุดเขียวที่เหมือนมีไอเมฆหมอกบดบังจนคนเกิดความกังขา กับเด็กหนุ่มนิสัยประหลาดผู้มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วได้ร่วมมือกันสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าของราชวงศ์จูอิ๋ง ว่ากันว่าไม่เพียงแต่เนื้อหนังมังสาของเขาเท่านั้นที่ตกไปเป็นอาหารของมังกรเพลิง แม้แต่ทารกก่อกำเนิดก็ยังถูกกักขังเอาไว้ นี่หมายความว่า ‘ผู้ฝึกตนเฒ่า’ ที่อยู่ใน ‘รูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มเด็กสาว’ สองคนนี้ ไม่ได้ลงมืออย่างเต็มกำลังในขั้นตอนของการเข่นฆ่า ซึ่งนี่ก็ยิ่งทำให้คนกริ่งเกรงกันมากกว่าเดิม

โจมตีให้เซียนดินคนหนึ่งพ่ายแพ้ กับสังหารเซียนดินคนหนึ่ง คือสองเรื่องที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว

หลังจากเฉินผิงอันขึ้นฝั่งแล้วก็ไปรับม้าคืนที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น แล้วก็ไปซื้อซาลาเปาเนื้อที่แป้งบางไส้เยอะจากร้านในตรอกมาอีกสองสามลูก กินอิ่มไปหนึ่งมื้อถึงได้เร่งรุดออกเดินทางไปยังชายแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นสือหาวที่มีอาณาเขตติดต่อกับแคว้นเหมยโย่วต่อ ด่านของที่นั่นมีชื่อว่าหลิวเซี่ย พอจะมีชื่อเสียงเล็กๆ ในประวัติศาสตร์ ผู้คนพูดกันไปหลากหลาย บ้างก็บอกว่าฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของราชวงศ์จูอิ๋งเคยสามารถรั้งตัวกุนซือตระกูลยากจนที่ได้รับการขนานนามว่ามี ‘คุณูปการครึ่งแผ่นดิน’ ได้ที่นี่ แล้วก็มีคำกล่าวบอกว่าผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์จูอิ๋งเกิดความทดท้อหมดอาลัยตายอยาก เมื่ออยู่ที่นี่ก็ยังไม่อาจบรรลุมรรคาได้ สุดท้ายไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน จึงใช้ปราณกระบี่คมกริบสลักตัวอักษรสองคำว่า ‘หลิวเซี่ย’ (อยู่ต่อ/รั้งไว้) ไว้บนหน้าผา สุดท้ายก็จากโลกนี้ไปด้วยความเสียดาย เป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงมือกระบี่ในยุทธภพหลายคนล้วนมองด่านเล็กๆ ของแคว้นใต้อาณัติแห่งนี้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญ จะต้องมาเยือนเพื่อแหงนหน้ามองตัวอักษรสองคำว่า ‘หลิวเซี่ย’ ที่เปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองอันงดงามให้จงได้

ก่อนจะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง เฉินผิงอันที่อิดโรยจากการเดินทางก็เร่งรุดมาถึงด่านหลิวเซี่ย รวมตัวกับเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ที่รอมานานแล้วอีกครั้ง

เห็นเงาร่างหนึ่งคนกับหนึ่งม้าที่คุ้นเคยของท่านเฉิน หม่าตู่อี๋และเจิงเย่ก็ดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด

แรกเริ่มคนทั้งสองไม่มีเฉินผิงอันอยู่ข้างกายยังรู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์กันอยู่มาก อีกทั้งในหีบไม้ไผ่ของเจิงเย่ยังสะพายตำหนักพญายมราชคุกล่างเอาไว้ ในช่วงเวลาวิกฤตเร่งด่วนก็พอจะเชิญภูตผีขอบเขตถ้ำสถิตหลายตนที่เฉินผิงอัน ‘แต่งตั้ง’ ออกมาได้ ท่องอยู่ในยุทธภพแคว้นสือหาว ขอแค่ไม่ทำตัวโอ้อวดเกินไป แค่นี้ก็เพียงพอมากแล้ว ดังนั้นแรกเริ่มคำพูดและการกระทำของเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋จึงไร้ซึ่งความกริ่งเกรง ไร้พันธนาการขีดจำกัด เพียงแต่ว่าเดินไปเดินมา พวกเขาที่แค่ได้ยินเสียงนกหรือเสียงลมก็เริ่มหวาดผวากันแล้ว ต่อให้ได้เจอแค่ทหารลาดตระเวนต้าหลีที่ออกมาเตร็ดเตร่ภายนอกก็ยังต้องกลัดกลุ้ม และตอนนั้นพวกเขาถึงได้รู้ว่าข้างกายมีหรือไม่มีท่านเฉินล้วนแตกต่างกันอย่างมาก

มีท่านเฉินอยู่ แม้ว่าจะต้องทำตัวอยู่ในกฎเกณฑ์ทุกเรื่องก็จริง แต่หนึ่งคนหนึ่งผีก็ยังสบายใจ

ความรู้สึกเช่นนั้นเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ก็เคยพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน ทว่าก็ยังไม่ได้ข้อสรุปอยู่ดี แค่รู้สึกเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่เพราะท่านเฉินมีตบะสูงเท่านั้น

ตอนไปเยือนสถานที่เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของด่านหลิวเซี่ย พวกเขาเงยหน้ามองตัวอักษรใหญ่บนหน้าผาที่เหมือนถูกมีดแกะสลักเอาไว้พร้อมกัน คนทั้งสองต่างก็สัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่า ท่านเฉินเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนเพียงลำพัง พอกลับมาก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งกลัดกลุ้มมากขึ้น

เฉินผิงอันเองก็สัมผัสได้ถึงจุดนี้ หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็ดึงสายตากลับมา บอกกับพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก่อนจะมาที่นี่ ข้ามอบแผ่นหยกออกไปสองแผ่น คิดจะพบซูเกาซานแห่งต้าหลีสักหน่อย แต่ว่าไม่ได้พบเขา”

เจิงเย่ไม่ได้คิดลึก เพียงแค่รู้สึกผิดหวังแทนท่านเฉินเท่านั้น

แต่หม่าตู่อี๋กลับรู้ดีว่าท่ามกลางคลื่นมรสุมครั้งนี้จะต้องแฝงอันตรายอย่างใหญ่หลวงไว้แน่นอน

เฉินผิงอันคลี่ยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ดูผ่อนคลายมากที่สุด “เรื่องราวหลายอย่าง วางมันไว้ตรงนั้นไม่ไปแตะต้อง ก็จะไม่มีทางได้รู้คำตอบ แต่หากมีการเลือก ก็จะต้องมีดีและร้าย ตอนนี้ก็คือผลลัพธ์ที่เลวร้ายนั่น ไม่เพียงแต่ไม่ได้พบซูเกาซาน แม้จะพูดไม่ได้ว่าเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ก็ต้องถูกแม่ทัพหลักต้าหลีผู้นี้หมายหัวเอาไว้แล้ว ดังนั้นหลังจากนี้พวกเราจะต้องยิ่งระวังตัวให้มาก หากระหว่างการเดินทางอยู่ในแคว้นเหมยโย่วครั้งนี้ พวกเจ้าสังเกตเห็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีโดยบังเอิญก็ให้แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วกัน วางใจเถอะ พวกเรายังไม่ถึงขั้นมีอันตรายถึงชีวิต”

แม้ว่าเจิงเย่จะพยักหน้ารับ แต่ก็ยังอดกังวลใจไม่ได้

หม่าตู่อี๋กลับเป็นคนที่ใจกว้างดุจผืนฟ้า นางพูดกลั้วหัวเราะคิกคัก “ขอแค่ไม่ถูกกองทัพม้าเหล็กต้าหลีไล่ล่า ข้าก็ไม่สนใจหรอก อยากจะมองก็มองไปเถอะ เงินเหรียญทองแดงบนร่างของพวกเราไม่ได้หายไปสักหน่อย”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “หากนิสัยของพวกเจ้าสองคนช่วยชดเชยกันและกันได้ก็คงดี”

หม่าตู่อี๋ถลึงตา “ท่านเฉินอย่าได้จับคู่ให้คนอื่นส่งเดช เจิงเย่ไม่เข้าตาข้าหรอก”

เจิงเย่หัวเราะอย่างซื่อๆ เขาก็แค่ไม่กล้าพูดว่าหม่าตู่อี๋ก็ไม่เข้าตาตนเท่านั้น

เบื้องล่างหน้าผามีคนประปราย ส่วนใหญ่เป็นพวกพ่อค้าที่จำเป็นต้องผ่านด่านของแคว้นสือหาวและแคว้นเหมยโย่ว อีกทั้งยังอายุไม่มาก พวกเขาต่างก็หวังว่าเมื่อได้กลับคืนสู่บ้านเกิดแล้ว นี่จะกลายเป็นเงินทุนในการโอ้อวดตน ส่วนพวกพ่อค้าอายุมากและคนเก่าแก่ในยุทธภพ พวกเขาเห็นสองคำว่า ‘หลิวเซี่ย’ บนหน้าผานี้มาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว จึงรั้งพวกเขาไว้ไม่ได้จริงๆ

ในขณะที่ม้าสามตัวของเฉินผิงอันเพิ่งจะหันหัวกลับก็มีมือกระบี่ในยุทธภพกลุ่มหนึ่งควบม้ามาถึงพอดี พวกเขาพากันลงจากหลังม้า ปลดกระบี่ที่พกลง แล้วหันไปโค้งกายคำนับสองตัวอักษรบนหน้าผาอย่างนอบน้อม

คนแก่หนึ่งในนั้นช่วยเล่าประวัติความเป็นมาของโบราณสถานแห่งนี้ให้แก่ลูกศิษย์อายุน้อยในกลุ่มฟังด้วยเสียงอันดัง เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมทรงพลัง แน่นอนว่าก็อดเอ่ยชมเชยคนที่ใช้กระบี่อย่างพวกเขาสองสามคำไม่ได้ เหล่าชายหญิงที่ได้ฟัง แต่ละคนมีสีหน้าเบิกบานมีชีวิตชีวา อารมณ์พลุ่งพล่านตื่นเต้น

ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนในสำนักยุทธภพที่ออกจากสำนักมาหาประสบการณ์ข้างนอก

เฉินผิงอันย่อมมองความตื้นลึกของผู้เฒ่าคนนั้นออก รู้ว่าเขาคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าที่รากฐานนับว่าไม่เลว ในแคว้นใต้อาณัติที่อาณาบริเวณไม่กว้างขวางอย่างแคว้นเหมยโย่วนี้ น่าจะถือว่าเป็นคนมีชื่อเสียงคนหนึ่งในยุทธภพแล้ว เพียงแต่นอกจากมือกระบี่ผู้เฒ่าจะเจอกับโชควาสนาใหญ่ที่มหัศจรรย์แล้ว ชีวิตนี้เขาก็คงไม่มีหวังจะได้เลื่อนเป็นขอบเขตหก เพราะเลือดลมแห้งขอด ดูเหมือนว่าจะยังทิ้งต้นตอของโรคไว้อีกไม่น้อย จิตวิญญาณแกว่งไกว เป็นเหตุให้คอขวดของขอบเขตห้ายิ่งแข็งแกร่งมิอาจทำลาย ขอแค่เจอกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันที่อายุน้อยกว่า เกรงว่าก็คงหนีไม่พ้นคำโบร่ำโบราณที่กล่าวว่า ‘หมัดกลัวคนหนุ่มมีกำลังวังชา’

การพบเจอกันในยุทธภพ ส่วนใหญ่แค่เดินสวนไหล่ผ่านกันไป ม้าทั้งสามจากมาไกล

ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมามองแผ่นหลังของม้าทั้งสามตัว เด็กสาวเรือนร่างบอบบางซึ่งมีคิ้วตาค่อนข้างเรียวยาวคนหนึ่งเอ่ยถาม “อาจารย์ คนที่สวมชุดสีเขียวผู้นั้น พกทั้งดาบทั้งกระบี่ แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนในยุทธภพของพวกเรา เขาคือยอดฝีมือที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำคนหนึ่งหรือ?”

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ไม่ใช่ว่าสวมชุดเขียวพกกระบี่แล้วจะต้องเป็นเซียนกระบี่เสมอไป”

พวกเขาพากันขึ้นหลังม้าเดินทางผ่านด่านต่อไปอีกครั้ง

แคว้นเหมยโย่วนับว่ายังค่อนข้างสงบ ทว่าแคว้นสือหาวที่เป็นเพื่อนบ้านกลับเละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่ง ก่อนหน้านี้มีขุนนางกระดูกแข็งคนหนึ่งของแคว้นสือหาวที่มีมิตรภาพอันดีกับสำนักของตนมาหลายยุคหลายสมัยได้ส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งมา บอกว่าขุนนางที่กุมอำนาจท่านหนึ่งของแคว้นสือหาวคิดจะถอนรากถอนโคนตน ทำให้คนบริสุทธิ์ต้องเดือดร้อนไปด้วย ขุนนางตงฉินผู้ขาวสะอาดที่มีชื่อเสียงว่าเป็น ‘ผู้ตรวจการจิตแห่งบุ๋น’ ของราชสำนักแคว้นสือหาวผู้นั้นบอกในจดหมายอย่างตรงไปตรงมาว่า เขายินดีจะอยู่ต่อในเมื่อหลวง สละชีวิตเพื่อบ้านเมือง จะได้สอนให้คนเถื่อนต้าหลีรู้ว่าแคว้นสือหาวยังมีบัณฑิตที่ไม่กลัวตายอยู่อีกหลายคน แต่หวังว่าสหายในยุทธภพอย่างพวกเขาจะช่วยปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัวของเขาที่อยู่ในพื้นที่ไปส่งยังแคว้นเหมยโย่วเพื่อหลบภัย ถ้าอย่างนั้นเขาก็สามารถจากไปอย่างสงบได้แล้ว

ผ่านด่านหลิวเซี่ยมา สถานที่ที่กีบเท้าม้าย่ำไปก็คืออาณาเขตของแคว้นสือหาวแล้ว

ในจดหมายของขุนนางผู้นั้นมีประโยคหนึ่งที่ลงน้ำหนักพู่กันเข้มอย่างถึงที่สุด ทำให้ตอนที่ผู้ฝึกยุทธผู้เฒ่าและเหล่าพี่น้องได้อ่านจดหมายฉบับนี้ต่างก็รู้สึกสะทกสะท้อนใจ ดังนั้นครั้งนี้เขาถึงได้พาเหล่าลูกศิษย์มาเสี่ยงอันตราย ควบม้าท่องอยู่ในยุทธภพ บุกรุดหน้าไปเพื่อคุณธรรมอย่างกล้าหาญไร้ซึ่งความลังเลใจ

‘สกุลหันเป็นคนซื่อสัตย์ โอรสสวรรค์หลายรุ่นล้วนให้ความสำคัญกับการประพันธ์ ปกป้องแว่นแคว้นมานานสองร้อยปี ไม่เคยปฏิบัติเลวร้ายต่อบัณฑิต และบัณฑิตอย่างข้าก็ไม่อาจทำผิดต่อคนสกุลหันได้’

ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนหลังม้าทอดถอนใจอยู่ในใจ ตอนนี้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็มาบุกชายแดนคุมเชิงกับกองทัพใหญ่ของแคว้นเหมยโย่วเช่นกัน ฟ้าดินกว้างใหญ่ แต่แค่จะหาสถานที่สักแห่งให้ชาวบ้านได้อยู่อย่างสงบ ให้บัณฑิตได้อยู่อย่างสบายใจ กลับยากขนาดนี้เชียวหรือ?

ส่วนลึกในใจของคนเก่าแก่ในยุทธภพที่เห็นลมคาวฝนเลือด เห็นความผันผวนขึ้นลงมาจนชินชาผู้นี้มีความคิดหนึ่งที่ไม่อาจบอกใครได้ หากคนเถื่อนต้าหลียึดครองราชวงศ์จูอิ๋งไปได้โดยเร็วก็ดีน่ะสิ หลังจากความวุ่นวายครั้งใหญ่ผ่านพ้นไป ไม่แน่ว่าอาจมีโอกาสให้บูรณปฏิสังขรณ์โลกใบนี้เสียใหม่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็คงดีกว่าให้กองทัพม้าเหล็กจ้วงแทงมีดให้เกิดบาดแผลบนแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งหลายแห่ง การที่ใช้มีดทื่อหันเนื้อเช่นนั้น หั่นไปหั่นมา คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานก็ไม่ใช่ชาวบ้านหรอกหรือ? ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น สิ่งที่คนเถื่อนต้าหลีปฏิบัติต่อแต่ละแคว้นที่กีบเท้าม้าย่ำไปถึง บนสนามรบไร้ความปราณี การเข่นฆ่าล้วนเน้นในเรื่องความไว แต่หากย้ายสายตาไปมองทางเหนือ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปที่ควันดินปืนเริ่มสลายหายไป ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลี้ภัยก็ได้เริ่มทยอยกันกลับคืนสู่ภูมิลำเนา กลับคืนไปยังบ้านเกิด ขุนนางบุ๋นต้าหลีที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในสถานที่ต่างๆ ก็เริ่มทำความดีหลายเรื่องที่มนุษย์สมควรกระทำ

เพียงแต่คำพูดเหลวไหลที่หลุดออกจากปากไปก็ต้องผิดแน่นอนพวกนี้ ผู้เฒ่าทำได้แค่ใช้สุราคำแล้วคำเล่าราดรดมันลงไปเท่านั้น

ทางฝั่งนั้น ม้าสามตัวควบทะยาน

ยังคงช่วยทำตามความปรารถนานับร้อยนับพันรูปแบบของเหล่าภูตผีวัตถุหยินให้สำเร็จ จากนั้นก็เป็นการตั้งโรงทานแจกโจ๊กและตั้งร้านยาที่เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋เป็นผู้รับผิดชอบ เพียงแต่ว่าแคว้นเหมยโย่วนับว่าค่อนข้างจะสงบสุข จึงไม่ได้ทำมากนัก

ใต้หล้าเกิดกลียุควุ่นวาย วิถีทางโลกไม่ดี พวกชาวบ้านสับสนมึนงง หวาดผวาเกรงกลัว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

พวกเฉินผิงอันเจอกับเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งที่ริมลำธารของผืนป่าที่เงียบสงัด ผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งที่ตกอับจนต้องกลายมาเป็นโจรดักปล้นกลางทางกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดมองนักพรตวัยกลางคนที่นอนอยู่บนหินยักษ์กลางน้ำ

นักพรตวัยกลางคนที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกมีชาติกำเนิดมาจากลัทธิเต๋าสายนอกของราชวงศ์จูอิ๋ง ตอนนี้มีตบะเป็นขอบเขตถ้ำสถิต เดิมทีเขาคิดว่าวิถีทางโลกวุ่นวายแล้ว ในฐานะนักพรตก็ควรลงจากภูเขามาช่วยเหลือปวงประชา คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับนักไสยเวทสวมชุดผ้าป่านที่เชี่ยวชาญวิชาการมองคนจากรูปลักษณ์ผู้หนึ่ง เขาเป็นยอดฝีมือจริงๆ และพอเขาเห็นนักพรตวัยกลางคนก็บอกว่าเขาคือคนน่าสงสารที่จะต้องหิวโหยและเหน็บหนาวตายไปก่อนวัยอันควร นักพรตวัยกลางคนเศร้าใจอย่างถึงที่สุด ก็เลยเริ่มรอความตาย

โจรบนหลังม้าที่หนีจากแคว้นสือหาวเข้ามาที่นี่เพิ่งจะทำการค้าครั้งหนึ่งมาได้ ได้เงินมาไม่น้อย จึงมาหยุดม้าที่ริมลำธาร เห็นคนประหลาดที่จะตายก็ไม่ตายคนนี้ก็เกือบจะใช้มีดฟันให้นักพรตวัยกลางคนตายๆ ไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว คิดไม่ถึงว่านักพรตกลับอารมณ์ดีขึ้นมา ขอร้องให้คนผู้นั้นออกมีดให้ไวสักหน่อย กลายเป็นว่าโจรหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจ ไม่กล้าสังหารอีกฝ่ายแล้ว นักพรตคิดแต่จะตายอย่างเดียว เลยเริ่มอบรมสั่งสอนผู้แข็งแกร่งที่ฉกชิงปล้นสะดมคนอื่นมาจนชินกลุ่มนั้น พูดถึงเรื่องราวบางอย่างที่โชคดีมาพร้อมกับโชคร้าย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงเทพเซียนห้าขอบเขตกลางในสายตาชาวบ้านล่างภูเขา อีกทั้งยังเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ความรู้และคารมคมคายจึงยังมีอยู่บ้าง แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจทำให้คนชั่วเกิดความกล้าหาญ กลับกันยังทำให้พวกโจรบนหลังม้าที่นับตั้งแต่ตัวหัวหน้าไปจนถึงลูกสมุนตกอกตกใจ หันมามองหน้ากันเอง แล้วก็กลับกลายมาเป็นฝ่ายพูดเกลี้ยกล่อมนักพรตวัยกลางคนว่าอย่าไม่เห็นค่าชีวิตของตัวเอง

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้มาเจอกับภาพเหตุการณ์นี้พอดี

เวลานี้พวกโจรไม่มีกะจิตกะใจจะฆ่าคนชิงทรัพย์อีกแล้ว อีกอย่างพวกเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าม้าสามตัวมีอะไรให้น่ารังแก จึงจงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นพวกเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพียงหยุดม้าวักน้ำล้างหน้าล้างตา แล้วเริ่มก่อไฟหุงหาอาหาร อะไรที่ควรทำก็ทำไป

นักพรตวัยกลางคนเห็นว่าพวกโจรจะฆ่าหรือไม่ฆ่าตน ด้วยสภาพร่างกายและจิตใจที่เป็นขอบเขตถ้ำสถิตของตนก็คงไม่ตายในเร็วๆ นี้ ก็เลยเอาแต่นอนรอความตายอยู่บนก้อนหิน

หากพวกโจรเห็นคนทั้งสามแล้วคิดจะปล้นพวกเขา นักพรตวัยกลางคนย่อมต้องขัดขวาง คิดเสียว่าเป็นการสั่งสมบุญเล็กๆ น้อยๆ ก่อนตัวเองตายก็แล้วกัน ชาติหน้าจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี อย่างน้อยก็มีอายุยืนยาวสักหน่อย จะได้ฝึกตนต่ออีกครั้ง

เฉินผิงอันถือถ้วยข้าวนั่งยองอยู่ริมลำธาร อีกฝั่งหนึ่งก็เริ่มก่อไฟกินอาหารแล้วเช่นกัน

โจรหนุ่มนิสัยใจร้อนคนหนึ่งเหลือบมาเห็นสายตาของเฉินผิงอันก็ถลึงตาใส่เขา “มองอะไร ไม่เคยเห็นวีรบุรุษชายชาตรีกินข้าวหรือไร?!”

หัวหน้าโจรเอาข้าวถ้วยหนึ่งไปให้นักพรตวัยกลางคนที่อยู่บนก้อนหิน บอกว่ารอความตายอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องสมควร ไม่สู้กินให้อิ่มเสียก่อน หากมีฟ้าผ่าลงมาก็ลองไปอยู่บนยอดเขาหรือใต้ต้นไม้ดู ดูสิว่าจะมีโอกาสถูกฟ้าผ่าหรือไม่ แบบนั้นถึงจะถือว่าสิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป นักพรตวัยกลางคนได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าคล้ายจะมีเหตุผล จึงใคร่ครวญว่าควรจะไปซื้อโซ่เหล็กเส้นใหญ่ๆ จากตลาดมาดีหรือไม่ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ได้รับถ้วยข้าวไป บอกว่าไม่หิว แล้วก็เริ่มพูดโน้มน้าวโจรอีกครั้ง บอกว่ามีจิตใจเมตตาเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ทำตัวเป็นคนดี อย่าเป็นโจรอีกเลย ตอนนี้ล่างภูเขาวุ่นวาย ไปเป็นผู้คุมกันจะไม่ยิ่งดีกว่าหรอกหรือ

หัวหน้าโจรเริ่มหวั่นไหว เขาถือถ้วยข้าวเดินออกมาจากหินยักษ์กลางลำธาร กลับไปปรึกษาหารือกับเหล่าพี่น้องของตัวเอง

เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก

เฉินผิงอันกินข้าวในถ้วยหมดก็ดีดปลายเท้าเบาๆ หนึ่งที ทะยานร่างไปยังหินยักษ์ เรือนกายชุดเขียว ชายแขนเสื้อโบกสะบัด แล้วจึงพลิ้วกายลงข้างกายนักพรตวัยกลางคนอย่างสง่างาม

—–