บทที่ 454.2 งีบหลับในสถานที่ที่ใจข้าสงบ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

โจรหนุ่มคนนั้นเกือบจะพ่นข้าวคำใหญ่ที่กินเข้าไปออกมา ผลกลับถูกหัวหน้าโจรตบป้าบเข้าที่ศีรษะ “มองอะไร ไม่เคยเห็นวีรบุรุษชายชาตรีในยุทธภพหรือไร?!”

เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิลงบนหินก้อนใหญ่ ยิ้มบางๆ ถามว่า “นักพรตท่านนี้ เหตุใดถึงอยากตาย?”

อันที่จริงนักพรตวัยกลางคนเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา เขาหลับตาลงเอ่ยเบาๆ ว่า “ชะตาชีวิตกำหนดมาให้ต้องตาย มหามรรคาไร้ความหวัง ไม่ตายแล้วยังจะทำอย่างไรได้อีก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านนักพรตรู้หรือไม่ว่า สามลัทธิพุทธเต๋าขงจื๊อต่างก็เลื่อมใสใน ‘คัมภีร์ดั้งเดิม’ เล่มหนึ่งอย่างถึงที่สุด อืม ก็คือตำราโบราณเล่มที่ผู้คนเรียกขานว่าเป็นผู้นำแห่งกลุ่มคัมภีร์นั่นแหละ มีประโยคหนึ่งในนั้นกล่าวไว้ว่า มหามรรคาห้าสิบ ฟ้าดินวิวัฒน์สี่สิบเก้า มนุษย์เร้นซ่อนหนึ่งใน?”

นักพรตวัยกลางคนพยักหน้ารับ “มหามรรคามีทั้งหมดห้าสิบเส้น แต่ใช้ได้จริงแค่สี่สิบเก้าเส้น พวกเราจึงบอกว่าเต๋า (มรรคา) ก่อกำเนิดหนึ่ง หนึ่งก่อกำเนิดสอง ก่อกำเนิดสรรพชีวิต”

เฉินผิงอันกล่าว “เมื่อด่านมารมาถึง ผู้ฝึกตนจะลำบากมากเป็นพิเศษ ต่อให้ในมือได้ครอบครองทหารกล้าล้านนาย ก็ยังยากจะโจมตีให้ศัตรูในใจถอยร่นกลับไปได้”

นักพรตวัยกลางคนลุกขึ้นนั่ง ทอดถอนใจเอ่ยว่า “เหตุผลนั้นข้าเข้าใจดี แต่ข้าก็เป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิตที่พรสวรรค์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าคาดหวังให้มหามรรคามาอยู่กับข้า ข้าหวาดกลัวมากจริงๆ คิดไปคิดมาก็ยังไม่อาจฝ่าด่านในใจไปได้ ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่ชาติหน้าแล้ว”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองโจรบนหลังม้ากลุ่มนั้นแล้วพยักหน้ารับ “ก็จริง ทำลายรังโจรบนภูเขานั้นง่าย ทำลายรังโจรในใจนั้นยาก ล้วนเป็นเหตุผลเดียวกัน”

นักพรตวัยกลางคนฝืนยิ้ม “ความหวังดีของเจ้า ข้ารับไว้แล้ว”

นักพรตวัยกลงคนที่ผอมแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก กับคนหนุ่มที่สีหน้าซีดเซียวอิดโรยได้มาพบกันโดยบังเอิญท่ามกลางสายน้ำและขุนเขา

ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันแต่พอสมควร แล้วจึงจากลากันไป ไม่มีการพูดคุยอะไรที่มากกว่านั้น

โจรกลุ่มนั้นรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก โดยเฉพาะโจรหนุ่มที่รู้สึกว่าตนเพิ่งไปเดินวนหน้าประตูผีมารอบหนึ่ง

เจิงเย่ไม่อาจทำความเข้าใจความคิดของนักพรตวัยกลางคนได้เลย ตอนที่จากมาไกลแล้วจึงถามเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน ใต้หล้านี้ยังมีคนที่ยินดีรอความตายอยู่จริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “บนเส้นทางของการฝึกตนมีความประหลาดอัศจรรย์นับร้อยนับพันรูปแบบ นักพรตคนนั้น หากให้พูดตามคำกล่าวของลัทธิพุทธก็คือ มีเพียงทำความเข้าใจด้วยตัวเองเสียก่อน จึงจะมีโอกาสให้คนอื่นได้ชี้แนะจนกระจ่างแจ้ง ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้าจะเป็นภิกษุสมณะสูงแค่ไหน ชี้แนะเขาไปแล้วก็ยังไม่อาจทำให้เขาบรรลุธรรมได้ มีแต่จะทำให้เขาคร่ำครวญว่าปวดหัวเสียมากกว่า อืม พวกเจ้าสองคนเคยได้ยินคดีทางศาสนาพุทธคดีหนึ่งไหม? มีภิกษุชั้นสูงคนหนึ่งกล่าวว่า จิตใจดุจแก้วกระจกใส ต้องคอยปัดกวาดทำความสะอาด อย่าให้ฝุ่นผงมาสัมผัสโดนมัน อีกท่านหนึ่งกล่าวว่า เดิมทีก็เป็นสิ่งของที่ไม่มีอยู่จริง จะเอาฝุ่นจากไหนมาสัมผัสโดน คำกล่าวสองอย่างนี้ พวกเจ้าคิดว่ามีแบ่งสูงต่ำหรือไม่?”

เจิงเย่ส่ายหน้า “ข้าฟังไม่เข้าใจ”

หม่าตู่อี๋ยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าฝ่ายหลังย่อมสูงส่งกว่า”

เฉินผิงอันพูดอย่างสะท้อนใจ “หากอิงตามความหมายของลัทธิพุทธ บางทีฝ่ายหลังอาจจะสูงส่งกว่า แต่ฝ่ายแรกกลับเป็นเรือข้ามฝากที่ทุกคนซึ่งลุ่มหลงมัวเมาอยู่บนโลกสามารถโดยสารไปได้ เมื่อคนที่ข้ามฝากมาแล้ววางไม้พายในมือลง ลุกขึ้นเดินขึ้นฝั่ง ยามเยื้องย่างก้าวสุดท้ายที่ก้าวลงเรือไปนั้นถึงจะสามารถบอกว่าตัวเองได้ว่าเข้าใจฝ่ายหลังแล้ว การค่อยๆ ตระหนักรู้คือต้นทุนของการตื่นรู้ในฉับพลัน ลำดับขั้นตอนก่อนหลังในเรื่องนี้ อันที่จริงก็ยังต้องมีอยู่ คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก หากกระจกในใจขุ่นมัว ไม่เช็ดถูก็จะสกปรก หม่นหมองไร้ประกาย ใครเล่าที่จะเกิดมาแล้วเป็นผู้บรรลุธรรมได้เดินขึ้นฝั่งไปโดยตรง”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม เอ่ยเสริมขึ้นมาว่า “คำสอนทั้งสองอย่างล้วนดี ล้วนถูกต้อง การที่ข้าพูดคุยเรื่องนี้กับพวกเจ้าก็เพราะก่อนหน้านี้ที่ข้าเดินทางผ่านแคว้นชิงหลวน ระหว่างทางได้ยินปัญญาชนพูดถึงพระธรรม เขาดูแคลนฝ่ายแรกอย่างมาก เอาแต่นับถือเลื่อมใสฝ่ายหลังอย่างเดียว บวกกับหนังสือเบ็ดเตล็ดหลายเล่มที่คล้ายคลึงกับผลงานส่วนตัวของปัญญาชนก็ชอบที่จะแฝงการด้อยค่าฝ่ายแรกเอาไว้ ข้าก็แค่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยดีเท่านั้น”

หม่าตู่อี๋ยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้น้อยครั้งที่จะได้ยินท่านเฉินพูดถึงลัทธิพุทธ ที่แท้ก็มีความสนใจมานานแล้ว ท่านเฉินอ่านหนังสือหลากหลายกว้างขวางอย่างแท้จริง ทำให้ข้านับถือยิ่งนัก…”

หม่าตู่อี๋ทำหน้าทะเล้น “ไม่ไหว แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังพูดต่อไม่ลง”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “นี่หมายความว่าความสามารถในการประจบสอพลอของเจ้ายังไม่มากพอ”

หลังจากนั้นม้าสามตัวก็ไปเยือนโบราณสถานที่มีชื่อเสียงซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของเซียนแห่งหนึ่ง ที่นั่นคือบ่อลึกไร้เจ้าของ ยามเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงก็มีบรรยากาศหนาวเย็นเหมือนลมหนาวพัดโชยแล้ว บนหน้าผาหินสลักประโยคหนึ่งด้วยชาดสีแดงซึ่งอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่นไม่สามารถตรวจสอบได้ ‘หางฉิวติดทองผนังสียุคโบราณ อวี่เชี่ยวชาญขี่ม้าลงบ่อน้ำใบไม้ร่วง’ คนทั้งสามแหงนหน้ามอง บนผนังมีร่องรอยของการทาสีอยู่จริงๆ ยังพอจะมองเห็นเป็นรูปร่างของเจียวหลงได้เลือนราง และบ่อน้ำสีเขียวมรกตที่อยู่ข้างเท้าก็มองไม่เห็นกุ้งปูปลาใดๆ

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา ยื่นมือจุ่มลงไปในบ่อน้ำ ความเย็นแผ่ซ่านมาเป็นระลอก แล้วจู่ๆ เขาก็นึกถึงร้านตระกูลหร่วนที่ตั้งอยู่ริมลำคลองของบ้านเกิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร้านตระกูลหร่วนหมายตาในโชคชะตาน้ำที่มืดลึกหนักอึ้งของลำคลองหลงซวี บ่อลึกแห่งนี้อันที่จริงก็เหมาะจะใช้หลอมกระบี่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่มีผู้ฝึกกระบี่ตระกูลเซียนมาสร้างกระท่อมอยู่ที่นี่ เฉินผิงอันพลันหดมือกลับมากะทันหัน ที่แท้ไอเย็นในน้ำไม่ได้บริสุทธิ์ แต่เจือปนไปด้วยปราณสกปกรกที่ชั่วร้ายอึมครึมมากมาย เหมือนเชือกขมวดเป็นปมยุ่งเหยิงก้อนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นทำร้ายให้ร่างกายและจิตใจของคนได้รับความเสียหายในทันที แต่ก็อยู่ห่างจากคำว่า ‘บริสุทธิ์’ ค่อนข้างไกล ก็ไม่น่าแปลก เพราะนี่คือข้อห้ามใหญ่หลวงในการหลอมกระบี่ของผู้ฝึกตน

คิดดูแล้วในอดีตที่นี่คงจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น

น่าจะคล้ายคลึงกับป้อมอินทรีบินและหอขึ้นดาดฟ้าของใบถงทวีป

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มท่องอยู่ในแคว้นเหมยโย่ว เดินทางผ่านผืนป่าและเมืองต่างๆ มากมาย เคยเจอพวกเด็กๆ ที่ไม่เคยเห็นม้าตัวใหญ่จึงวิ่งไปหลบอยู่ในพงดอกไม้ และบางครั้งก็เจอกับผู้ฝึกตนอิสระที่ออกท่องเที่ยวซึ่งมองดูคล้ายจะธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ รวมไปถึงขบวนสู่ขอเจ้าสาวบนถนนในอำเภอที่ตีฆ้องร้องป่าวประโคมดนตรีบรรเลงกันอย่างครึกครื้น หนทางยาวไกลนับพันลี้ ขึ้นเขาลงห้วย พวกเฉินผิงอันยังพบเจอกับหลุมศพรกร้างที่มีกอหญ้าขึ้นเต็มแห่งหนึ่ง พบว่าด้านในนั้นมีกระบี่โบราณที่ปักตรึงเข้าไปในป้ายศิลาหน้าหลุมศพ มองเห็นแค่ด้ามกระบี่ ไม่รู้ว่าผ่านมากี่ร้อยกี่พันปีแล้ว ปราณกระบี่ก็ยังอึมครึมดุดัน แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นอาวุธวิเศษที่ไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่ง เพียงแค่ผ่านกาลเวลามาค่อนข้างยาวนาน ไม่เคยได้รับการหล่อเลี้ยงบำรุงด้วยความอบอุ่น บริเวณริมขอบจึงเริ่มปริแตกแล้ว หม่าตู่อี๋คิดอยากจะเอากลับไปด้วย ถึงอย่างไรก็เป็นวัตถุที่ไร้เจ้าของ นำไปซ่อมแซมขัดเกลาสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะขายได้ราคาไม่เลว เพียงแต่เฉินผิงอันไม่ยอม บอกว่านี่เป็นวัตถุอาคมที่นักพรตใช้สยบฮวงจุ้ยของสถานที่แห่งนี้ นี่ถึงทำให้ระงับปราณชั่วร้ายเสนียดจัญไรทั้งหลายเอาไว้ได้ ไม่ให้พวกมันกระจัดกระจายไปสี่ทิศ กลายเป็นพิบัติภัย

ในฐานะวัตถุหยิน หม่าตู่อี๋มีหรือจะมองไม่ออก เพียงแต่นางไม่สนใจก็เท่านั้น จึงยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ชักกระบี่โบราณออกมา หากสุสานร้างแห่งนี้มีภูตผีปีศาจปรากฏตัวออกอาละวาดจริงๆ พวกเราก็ถือโอกาสกำจัดปีศาจปราบมารเสียเลย ได้ทั้งวัตถุวิเศษ ได้ทั้งสะสมบุญ นี่ไม่เรียกว่ามีแต่ได้กับได้หรอกหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “บัญชีเก่าแก่นานปี ปะปนกันจนแยกแยะไม่ชัดเจน จะรู้ได้อย่างไรว่าในเหตุการณ์นี้ไม่มีความยากลำบากและอุปสรรคซุกซ่อนอยู่”

หม่าตู่อี๋ไม่ใคร่จะพอใจนัก “ท่านเฉินอะไรก็ดีไปหมด ก็แค่ทำอะไรไม่คล่องแคล่วว่องไวเท่านั้น”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต่อให้เป็นเด็กที่ไม่มีเรี่ยวแรงแค่ไหนก็ยังสามารถทุบทำลายชามข้าวเครื่องกระเบื้องให้แตกได้ นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่คล่องแคล่วฉับไวอย่างหนึ่ง เจิงเย่ก็ทำได้ กับโจรกลุ่มนั้น หากเจิงเย่คิดจะฆ่าก็ฆ่าได้เหมือนกัน เจ้าก็ได้ ส่วนข้าก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่”

เฉินผิงอันพูดอย่างปลงอนิจจัง “การรวมกันของจิตใจคนเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากเรื่องหนึ่ง วัดโบราณเปลี่ยวร้าง คนคนหนึ่งเดินเข้าไปข้างใน จุดธูปไหว้พระ จะรู้สึกเคารพยำเกรง แต่หากเป็นสถานที่ที่ผู้คนเบียดเสียดกันจอแจก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหวาดกลัว หรือจะพูดเรื่องที่สุดโต่งไปอีกสักหน่อย อย่างเช่นเรื่องขูดทองบนร่างของพระพุทธรูป หากมีคนนำก็ไม่แน่ว่าคนอื่นจะไม่เอาตามด้วย”

ขี่ม้าผ่านสุสานรกร้างระเกะระกะ เฉินผิงอันพลันหันกลับไปมอง รอบด้านไร้ผู้คน แล้วก็ไม่มีผีสักตน

มีครั้งหนึ่งที่หยุดม้าพักริมทะเลสาบในภูเขาลึก เจิงเย่หยิบก้อนหินมาขว้างไปบนผิวน้ำ ส่วนหม่าตู่อี๋เลือกตำแหน่งเงียบสงบ ถอดรองเท้าหุ้มแข้งออก ยื่นเท้าจุ่มลงไปในน้ำที่เย็นสบาย ยืดแขนบิดขี้เกียจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มีผีเสื้อตัวหนึ่งบินมาวนเวียนอยู่บนปิ่นหยกเหนือศีรษะนางพอดี

หม่าตู่อี๋หยุดนิ่ง หวังจะให้มันหยุดอยู่นานอีกสักหน่อย

ห่างออกไปไกลมีหนุ่มน้อยคนตัดไม้ที่บนบ่าแบกไม้มัดหนึ่งผ่านทางมาโดยบังเอิญ เขาพลันหยุดฝีเท้า มองมาทางนางอย่างเหม่อลอย เข้าใจผิดคิดว่านางคือเทพธิดาตนหนึ่ง ในใจของเด็กหนุ่มเกิดความชื่นชอบเลื่อมใส แต่กลับรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้

หม่าตู่อี๋ยื่นมือไปปัดไล่ผีเสื้อตัวนั้น นางหันหน้ากลับมา ยื่นมือมาจับหนังจิ้งจอกตรงจอนผม คิดจะฉีกหน้ากากออกให้เด็กหนุ่มบ้านป่าที่มองนางด้วยสายตาทึ่มทื่อตกใจกลัว

ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันดีดหินก้อนเล็กๆ มาปัดนิ้วนางทิ้ง

หม่าตู่อี๋หันตัวกลับอย่างขุ่นเคือง สองเท้าแกว่งน้ำจนเกิดสะเก็ดน้ำกระจายนับไม่ถ้วน

เด็กหนุ่มรีบวิ่งหนีไปทันที

เขาไม่คิดจะเอาไปบอกคนวัยเดียวกันในหมู่บ้านว่าตนได้พบเห็นพี่สาวเทพธิดาที่งดงามตรงริมทะเลสาบ เขาแค่จดจำไว้ในใจตัวเองก็พอแล้ว

ในอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง แม้แต่เฉินผิงอันที่พบเจอโลกกว้างเห็นอะไรมาจนชินชาแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหม่

ที่นั่นมีบัณฑิตเมามายวิ่งพล่านไปทั่วเมือง อาภรณ์ที่สวมใส่ไม่ปกปิดร่างกาย เปลือยหน้าอกเปิดโล่ง ฝีเท้าโซซัดโซเซ เปี่ยมไปด้วยความมาดมั่น เขาบอกให้เด็กรับใช้หิ้วถังน้ำที่บรรจุน้ำหมึกจนเต็ม ส่วนบัณฑิตก็ใช้หัวตัวเองต่างพู่กัน แล้ว ‘เขียนตัวอักษร’ ลงไปบนถนน

ตรงช่วงหัวถนนและปลายถนนยังมีข้ารับใช้รออยู่ ข้างกายของพวกเขาวางถังน้ำที่บรรจุน้ำในบ่อไว้จนเต็ม รอแค่เจ้านายตัวเองคลุ้มคลั่งเสร็จ พวกเขาก็จะได้เก็บกวาดเศษซากวุ่นวาย ทำความสะอาดถนนให้เอี่ยมอ่อง

นี่ไม่ถือว่าเป็นงานที่เหนื่อยยากอะไร เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ถูกคนอื่นมองมาอย่างดูแคลน พวกเขาก็อดจะถลึงตามองนายท่านที่เป็นคนบ้าตำราผู้นั้นอย่างขุ่นเคืองไม่ได้จริงๆ แต่กระนั้นก็ไม่กล้าตำหนิอะไร

เมื่อถามจากชาวบ้านถึงได้รู้ว่าเขาเป็นถึงเสี้ยนเว่ย (ตำแหน่งขุนนางใต้บังคับบัญชานายอำเภอ คอยดูแลเรื่องความสงบปลอดภัยในอำเภอ) ที่มีทั้งคุณความชอบและตำแหน่งขุนนางติดตัว

เฉินผิงอันจูงม้ามาหยุดอยู่ข้างถนน เห็นเพียงว่าเสี้ยนเว่ยผู้นั้นทรุดนั่งอยู่บนถนนอย่างหมดเรี่ยวแรง เขาหันหน้ามามอง คนหนุ่มที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา และยังเปรอะเปื้อนไปทั้งคราบสุราและคราบน้ำหมึก กลิ่นตัวของเขาจึงประหลาดอย่างถึงที่สุด เห็นเพียงว่าเขาใช้ฝ่ามือตบลงบนพื้นถนนอย่างแรงและพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “ข้าใช้การเขียนพู่กันถวายความเคารพแก่องค์ทวยเทพ ขอถามท่านเทพว่ามีความกล้ามากพอจะชี้แนะข้าหรือไม่? อริยะปราชญ์บรรพกาลพันปีอยู่ที่ใด มาๆๆ มาร่วมร่ำสุรากับข้าสักมื้อ…”

แล้วจู่ๆ คนหนุ่มก็ร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมา “ข้าเคยเห็นองค์หญิงแย่งทางกับคนแบกหาบเร่ในเมืองหลวง จึงบรรลุสัจธรรมแห่งการเขียนพู่กันมาโดยบังเอิญ แล้วก็เคยเห็นองค์หญิงเด็ดบุปผาในวัด จึงได้บรรลุความหมายแห่งการเขียนพู่กันมาอีก องค์หญิง ท่านลองดูตัวอักษรที่ข้าเขียนให้ท่านสักหน่อยสิ”

เจิงเย่กล่าวอย่างตกตะลึง “ท่านเฉิน เจ้าหมอนี่เขียนอะไร ทำไมข้าถึงไม่รู้จักสักตัวอักษรเดียว”

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม ชี้ไปที่พื้นแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เขียนตัวอักษรฉ่าวซู (ตัวอักษรแบบหวัดชนิดหนึ่ง) เป็นบทกลอนตัดพ้อของสตรี ส่วนเนื้อหานั้น ประโยคที่เพิ่งเขียนเสร็จไปก็คือ แสงจันทร์ส่องทะลุหน้าต่างโปร่งบาง แสงสะท้อนบนผิวน้ำงดงามพร่างตา ร่ำสุราร่วมกับท่าน อืม น่าจะจินตนาการว่าใช้น้ำเสียงของสตรีที่มีความรักเขียนกวีรักเพื่อตัวเขาเองกระมัง แต่ตัวอักษรเหล่านี้เขียนได้ดีจริงๆ ดีจนดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นตัวอักษรฉ่าวซูที่สวยขนาดนี้มาก่อน ตัวอักษรข่ายซูสิงซู ข้าเคยเห็นยอดฝีมือเขียนมาแล้ว ทว่าตัวอักษรฉ่าวซูที่เขียนได้ถึงระดับนี้กลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”

กล่าวมาถึงท้ายที่สุด เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “อย่าคิดว่าเสี้ยนเว่ยผู้นั้นกำลังพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อน ตัวอักษรของเขามีความหมายที่อัศจรรย์อย่างแท้จริง แล้วก็เพราะปราณวิญญาณของที่แห่งนี้เบาบาง ทำให้ทั้งเทพทวารบาลและพวกภูตผีไม่อาจดำรงอยู่ได้นาน ไม่อย่างนั้นคงจะต้องเผยตัวออกมาก้มหัวกราบกรานเขาแล้ว”

เฉินผิงอันพลันหัวเราะ จูงม้าก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า เดินตรงไปหาคนบ้าตำรา คนลุ่มหลงในรักที่เมามายล้มพับอยู่บนถนนด้วยน้ำตากลบใบหน้าผู้นั้น “ไป ไปซื้อภาพวาดตัวอักษรจากเขากัน ซื้อได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น! การค้าครั้งนี้มีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน! ดีกว่าของเก่าที่พวกเจ้าไปเก็บกันมาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า! แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้นพวกเราต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้หนึ่งร้อยปีหรือหลายร้อยปีซะก่อนล่ะ”

เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋มองหน้ากัน รู้สึกว่าท่านเฉินน่าจะเสียสติไปแล้ว

เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างกายบัณฑิตที่นอนหงายอยู่บนพื้น ยิ้มถามว่า “ข้ามีสุราเลิศรสที่ไม่เป็นรองเหล้าหมักของเซียนอยู่ อยากรู้ว่าจะขอซื้อตัวอักษรจากเจ้าได้บ้างหรือไม่?”

คนผู้นั้นเมาจนดวงตาปรือปรอย เขาโคลงศีรษะไปมา “ขอร้องข้าหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ขอร้องเจ้า”

คนผู้นั้นพลันแผดเสียงร้องไห้อย่างเสียใจ “เจ้าไม่ใช่องค์หญิงสักหน่อย จะมาขอร้องข้าทำไม? ข้าจะต้องการให้เจ้าขอร้องข้าไปทำไม? ไปๆๆ ข้าไม่ขายตัวอักษรให้เจ้า ไม่ขายแม้แต่ตัวเดียว”

เฉินผิงอันหันไปมองทางหม่าตู่อี๋ ในขณะที่สายตาของทุกคนย้ายตามเขาไปด้วย เขาก็สะบัดข้อมือ หยิบเอาเหล้าหมักเซียนน้ำบ่อที่ซื้อมาจากตรอกหางผึ้งออกมาหนึ่งกา คลายมือที่จับเชือกจูงม้าออก เปิดผนึกดิน ทรุดตัวลงนั่ง ยื่นเหล้ากานั้นส่งไปให้บัณฑิต “ขายไม่ขาย ลองดื่มเหล้าของข้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากดื่มแล้วยังไม่เต็มใจจะขาย ก็ถือซะว่าเหล้านี้เป็นการที่ข้าแสดงความนับถือต่อตัวอักษรฉ่าวซูบนถนนของเจ้าก็แล้วกัน”

คนผู้นั้นลุกขึ้นนั่ง รับกาเหล้ามา แหงนเหล้ากรอกเข้าปากดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นก็โยนกาเหล้าที่วางเปล่าทิ้ง โงนเงนลุกขึ้นยืน ยื่นมือหนึ่งมาคว้าแขนเฉินผิงอัน “ยังมีเหล้าอีกหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยังมี แต่เหลืออีกไม่มาก”

คนผู้นั้นเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ไป ไปที่ที่ว่าการผุพังนั่นกัน ข้าจะเขียนตัวอักษรให้เจ้า เจ้าต้องการแค่ไหนก็มีให้เท่านั้น ขอแค่มีเหล้ามากพอก็พอ!”

หม่าตู่อี๋เหลือกตามองบน

มาดของบัณฑิตยังมีอยู่บ้างไหม?

เจิงเย่กลับรู้สึกดีใจนิดๆ เพราะยากนักกว่าจะได้เห็นท่านเฉินอารมณ์ผ่อนคลายเช่นนี้

พอมาถึงที่ว่าการ บัณฑิตก็ผลักกองหนังสือที่วางกองระเกะระกะบนโต๊ะออก บอกให้เด็กรับใช้หยิบกระดาษเสวียนจื่อออกมากาง และให้ช่วยฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ส่วนเฉินผิงอันก็วางเหล้ากาหนึ่งไว้ข้างมือของบัณฑิต

บนผนังมีแต่ตัวอักษรฉ่าวซูที่เขียนอย่างสะเปะสะปะซึ่งแม้แต่ตัวบัณฑิตเองที่พอสร่างเมาก็ยังจำตัวอักษรของตัวเองไม่ได้

บัณฑิตดื่มเหล้าไปแล้วก็เรอดังเอิ้ก เอ่ยถามว่า “ว่ามาเถอะ ต้องการให้คนบ้าอย่างข้าเขียนอะไร? นำไปมอบให้แก่อัครเสนาบดีหรือขุนนางที่ตามีแววคนใด? ช่างเถิด ข้าไม่อยากรู้ เจ้าอยากเขียนอะไรก็เรื่องของเจ้า แต่ข้าอยากเขียนอะไรก็จะเขียนอย่างนั้น”

จรดกระดาษก่อเกิดไอเมฆ ลมฝนพัดกระหน่ำเต็มห้องโถง

บัณฑิตคิดอยากจะเขียนอะไรก็เขียนอย่างนั้นจริงๆ และส่วนใหญ่แล้วเวลาจรดพู่กันเขียนทีก็จะเขียนตัวอักษรนับไม่ถ้วนจนเจิงเย่ที่มองดูอยู่รู้สึกว่าการค้าครั้งนี้ ขาดทุนแน่แล้ว

สุดท้ายบัณฑิตที่คอแข็งไม่น้อย ทว่าสภาพหลังดื่มเหล้าไม่ดีเท่าไหร่ก็เขียนตัวอักษรภาพขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันจำนวนสิบกว่าแผ่น แล้วเขาก็เมาหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีก

เฉินผิงอันต้องจ่ายไปด้วยเหล้าเซียนบ่อน้ำ เหล้าหมักกุ้ยฮวานครมังกรเฒ่าและเหล้าอีกาครวญของทะเลสาบซูเจี่ยนทั้งหมดห้ากา

การที่เขาสามารถดื่มได้มากขนาดนี้ไม่ใช่เพราะบัณฑิตคอแข็งดื่มเก่งจริงๆ แต่เขาดื่มไปได้แค่เกือบครึ่งของกาเหล้า ส่วนที่เหลือเกินครึ่งกาล้วนหกเรี่ยราด เมื่อภาพนี้ปรากฏในสายตาของหม่าตู่อี๋ที่เสียดายอย่างสุดซึ้งก็ให้รู้สึกว่าช่างย่ำยีวัตถุสวรรค์จริงๆ

—–