บทที่ 454.3 งีบหลับในสถานที่ที่ใจข้าสงบ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันเก็บภาพตัวอักษรทุกแผ่นมาแล้วออกจากที่ว่าการ

คนทั้งสามจูงม้าจากมา หม่าตู่อี๋อดไม่ไหวถามขึ้นว่า “ตัวอักษรดี ข้ามองออก แต่มันดีขนาดนั้นจริงๆ หรือ? เหล้าหมักเซียนพวกนี้มีค่าหลายเงินเกล็ดหิมะ หากนำมาคำนวณเป็นเงินก้อนแล้ว ภาพตัวอักษรฉ่าวซูภาพหนึ่งจะมีค่าหลายพันหรือถึงหมื่นตำลึงเงินจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันได้อักษรภาพมาแล้วก็อารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าเป็นตัวเขาเองที่ดื่มเหล้าเข้าไปเยอะอย่างไรอย่างนั้น เขากล่าวอย่างน่าเชื่อถือว่า “พวกเจ้าไม่เชื่อหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็คอยดูเถอะ ในอนาคตวันใดที่พวกเจ้ามาเยือนที่นี่อีกครั้ง ถนนเส้นนี้ต้องมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทิศ ร้อยปีพันปีให้หลัง ต่อให้บัณฑิตคนนั้นจะตายไปแล้ว แต่ตลอดทั้งอำเภอจะต้องได้รับบุญบารมีจากเขา ถูกคนรุ่นหลังจดจำไว้ได้อย่างแม่นยำ”

ม้าทั้งสามตัวออกไปจากอำเภอเล็กแห่งนี้ช้าๆ ในเวลานี้พวกชาวบ้านในอำเภอยังแค่มองเสี้ยนเว่ยบัณฑิตสติฟั่นเฟือนผู้นั้นเป็นตัวตลก แต่กลับไม่รู้เลยว่ายอดฝีมือด้านการเขียนพู่กัน นักประพันธ์จำนวนนับไม่ถ้วนในรุ่นหลังจะอิจฉาแค่ไหนที่พวกเขาโชคดีเคยได้เห็นความสง่างามของคนผู้นั้นกับตาตัวเอง

เทศกาลจงชิวของปีนี้ ครอบครัวที่ถือว่าพอมีพอกินในแคว้นเหมยโย่ว คนในครอบครัวได้กลับมาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

เพียงแต่ว่าทางฝ่ายของแคว้นสือหาวกลับบอกได้ยากแล้ว

เทศกาลจงชิวของปีหน้า ไม่แน่ว่าแคว้นเหมยโย่วอาจมีสภาพอันน่าสังเวชเฉกเช่นแคว้นสือหาวในทุกวันนี้

ในป่าเขามีภูตประหลาดอยู่มากมาย

ฤดูใบไม้ร่วงของปีผ่านไป ฤดูหนาวก็มาเยือนอีกครั้ง

ในขณะที่เฉินผิงอันท่องเที่ยวแคว้นเหมยโย่วจนเกือบครบทุกสถานที่และเตรียมจะต้องกลับทะเลสาบซูเจี่ยน มีวันหนึ่งในป่าลึกที่รกร้างไร้ผู้คน เฉินผิงอันอาศัยสายตาที่ดีกว่าคนทั่วไปมองไปบนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง แล้วเขาก็ได้เห็นวานรเฒ่าเสื้อผ้าขาดวิ่นตนหนึ่งห้อยหัวอยู่บนนั้น ทั่วร่างของมันถูกรัดพันด้วยโซ่เหล็ก น่าจะสัมผัสได้ถึงสายตาของเฉินผิงอัน วานรเฒ่าจึงแสยะยิ้มให้เห็นเขี้ยว แม้ว่าจะไม่ได้แผดเสียงคำราม ทว่าปราณดุร้ายของมันก็น่าตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างยิ่ง

บริเวณใกล้เคียงกับวานรเฒ่ามีช่องโพรงหินที่ถูกขุดเจาะด้วยฝีมือคนอยู่แห่งหนึ่ง ตอนที่เฉินผิงอันมองไป ตรงนั้นมีคนลุกขึ้นยืน มองประสานสายตากับเฉินผิงอัน คือภิกษุหนุ่มที่ใบหน้าแห้งตอบคนหนึ่ง ภิกษุพนมมือทั้งสิบนิ้วขึ้นคารวะเฉินผิงอันเงียบๆ

เฉินผิงอันเองก็พนมมือก้มหน้าคารวะกลับคืนไปเบาๆ เลียนแบบภิกษุ

หม่าตู่อี๋ถามอย่างประหลาดใจ “เป็นอะไรไป?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร

จนกระทั่งเดินออกมาจากเทือกเขาแถบนั้น เฉินผิงอันถึงได้เอ่ยว่า “มีภิกษุชั้นสูงคนหนึ่งใช้ความเด็ดเดี่ยวหนักแน่นของตนกำราบวานรพยศที่จำแลงออกมาจากมารในใจตัวเองได้”

หม่าตู่อี๋จุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “ถึงขั้นจำแลงจิตมารออกมาได้ ภิกษุท่านนี้จะไม่ใช่เซียนดินเลยหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่ง”

ทางฝั่งของช่องโพรงหิน ภิกษุหนุ่มนั่งกลับลงไปบนเบาะนั่ง แล้วก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ก้าวหนึ่งก้าวออกมาจากช่องโพรงหิน ทะยานลมเหยียบลงบนความว่างเปล่า สบตากับวานรเฒ่าที่เริ่มสงบอารมณ์ลงได้เรื่อยๆ ในสายตาของฝ่ายหลังมีทั้งความซับซ้อน กลัดกลุ้ม โกรธแค้น วิงวอน เวทนา เย้ยหยัน มากมายหลากหลายอารมณ์

ภิกษุหันหน้าไปมองคล้ายจะรู้สึกกังขาไม่เข้าใจ

ว่าเหตุใดวานรในใจของตนถึงได้ผิดปกติไปเช่นนี้?

ก่อนหน้านี้เวลามันพบเจอผู้ฝึกตนเซียนดินที่ขี่กระบี่หรือไม่ก็ทะยานลมผ่านทางมาก็ล้วนไม่เคยคิดจะชายตามองแม้แต่ครั้งเดียว

ภิกษุหนุ่มเริ่มกระจ่างแจ้งจึงเผยรอยยิ้มบางๆ ก้มหน้าลงประนมสิบนิ้วท่องภาษาธรรมอีกคำ จากนั้นก็ย้อนกลับเข้าไปในช่องโพรงหิน นั่งทำสมาธิของตัวเองต่ออีกครั้ง

ผู้ฝึกตนอายุมากที่สีหน้าเฉยชา สายตามืดดำคนหนึ่งมาปรากฏตัวในสุสานร้างที่มีกระบี่โบราณปักตรึงป้ายศิลา ใต้ดินของที่แห่งนี้มีปราณหยินพลุ่งพล่านท่วมท้น ต่อให้จะสัมผัสได้ว่าเขาน่าจะเป็นเซียนดินในโลกคนเป็น ทว่าพวกผีร้ายที่หลบซ่อนอยู่ตามรากภูเขาก็ยังยากจะเปลี่ยนสันดาน พวกมันรวบรวมปราณดุร้ายพยายามจะพุ่งออกมาจากพื้นดิน เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ผีร้ายลอยตัวขึ้นมาก็จะต้องมีปราณกระบี่ดุจสายฝนตกลงไปสู่ใต้ดิน เสียงร้องโหยหวนจึงดังเป็นระลอก

แน่นอนว่าผู้ฝึกตนเฒ่าไม่กลัววัตถุหยินเหล่านี้ เขาเพียงแค่ขมวดคิ้ว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “น่าแปลกนัก ไม่กลัวปราณโอสถทองที่ข้าจงใจปล่อยออกไปจากร่าง แต่กลับกลัวคนหนุ่มที่ดูไม่สมประกอบคนหนึ่งน่ะหรือ?”

วันนี้ได้พักแรมในโรงเตี๊ยมของตระกูลเซียนตรงตีนเขาอย่างที่หาได้ยาก

หม่าตู่อี๋ทิ้งตัวนอนลงบนผ้าห่มที่อ่อนนุ่ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม ในเมื่อทนกับความยากลำบากมาแล้วก็ขอเสวยสุขบ้างเถิด

เจิงเย่กลับไม่ได้รู้สึกอะไร เขาเพียงฝึกตนอยู่เพียงลำพังในห้อง

เฉินผิงอันขอรายงานตระกูลเซียนฉบับหนึ่งมาจากโรงเตี๊ยมตระกูลเซียน ในราชสำนักของแคว้นเหมยโย่วก็เริ่มมีการถกเถียงกันแล้ว เพียงแต่ว่าสิ่งที่เถียงกันไม่ใช่ว่าควรจะขัดขวางคนเถื่อนต้าหลีหรือไม่ แต่ควรจะปกป้องพิทักษ์ดินแดนอย่างไร

ต้องรู้ว่านี่ยังเป็นการตัดสินใจระหว่างกษัตริย์และขุนนางของแคว้นเหมยโย่วโดยอยู่ภายใต้สถานการณ์อันตรายที่เมืองหลวงแคว้นสือหาวถูกตีแตกมานานแล้วด้วย

ส่วนราชสำนักแคว้นสือหาวที่เวลานี้วุ่นวายไร้ระเบียบ ในที่สุดก็ได้มีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เขาก็คือหันจิ้งหลิงอ๋องเจ้าเมืองผู้ได้รับชื่อเสียงดีงามว่า ‘เสียนอ๋อง’ (อ๋องผู้ทรงคุณธรรม) บิดาของหวงเฮ้อ แม่ทัพใหญ่ชายแดนที่ไม่สูญเสียทหารบนสมรภูมิรบไปเลยแม้แต่คนเดียวก็กลายมาเป็นผู้นำแห่งแม่ทัพบู๊ของแคว้นสือหาวในคราวเดียว ในฐานะสหายที่ร่วมทุกข์ร่วมยากมากับหันจิ้งหลิงฮ่องเต้องค์ใหม่ หวงเฮ้อเองก็ได้รับการแต่งตั้ง กระโดดกลายไปเป็นรองเจ้ากรมพิธีการในก้าวเดียว บิดาและบุตรชายอยู่ในราชสำนักเดียวกัน อีกทั้งยังมีลูกหลานสกุลหวงอีกกลุ่มใหญ่ ไก่และหมาจึงพลอยได้ขึ้นสวรรค์ พวกเขาร่วมกันยึดครองราชย์สำนัก มีหน้ามีตาอย่างไร้ขีดกำจัด

ตั้งแต่เมื่อหลวงไปจนถึงท้องถิ่นของแคว้นสือหาว ขุนนางบุ๋นบู๊ที่พร้อมใจกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญมีปรากฏไม่ขาดสาย ต่อให้เป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการติดภาพเทพทวารบาลของแคว้นอื่นไว้ที่หน้าประตูบ้านตัวเองก็ยังไม่ยินดีทำ

ในบรรดานั้นมีลูกหลานของตระกูลที่ไม่อยากถูกเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลทำร้ายจนตาย จึงแอบนำภาพเหมือนของเทพทวารบาลผู้เป็นบรรพบุรุษของสองแซ่สกุลเฉาหยวนแห่งต้าหลีไปติดไว้ และยังมีบางคนที่ใจเด็ดหน่อยก็ถึงขั้นจับเจ้าประมุขตระกูลมัดเอาไว้เสียเลย หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาวิ่งไปฉีกภาพเทพทวารบาลทิ้งแล้วยังต้องมาด่าพวกเขาว่าเป็นลูกหลานที่ไร้คุณธรรม ทำผิดต่อบรรพบุรุษ

ผู้คนมีสารพัดรูปแบบ หวานขมล้วนรู้อยู่กับตัวเอง

ในรายงานตระกูลเซียนที่เขียนบรรยายได้อย่างสมจริงฉบับนี้ เรื่องเล็กยิบย่อยที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิงหลังมื้ออาหารทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อไปปรากฎอยู่ในครอบครัวของพวกชาวบ้านกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ตัดสินความเป็นความตาย เป็นโศกนาฎกรรมที่ครอบครัวหนึ่งต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ผู้คนพลัดพรากจากลา

เมื่อเทียบกับแคว้นสือหาวที่ไม่ค่อยสะดุดตาแล้ว ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยิ่งเหมือนถูกพลิกฟ้าคว่ำดิน ยิ่งทำให้คนอกสั่นขวัญผวา

ทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีเกาะลี่ซู่ เกาะหวงหลี เกาะชิงจ่ง เทียนหมู่ ฯลฯ เป็นผู้นำ พากันสวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่งต้าหลี ยินดีมอบสมบัติครึ่งหนึ่ง รวมไปถึงทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์ที่มีความหมายสำคัญอย่างใหญ่หลวงเล่มนั้นไปให้

ซูเกาซานที่อยู่ในจวนสกุลฟ่านนครน้ำบ่อจัดงานเลี้ยงฉลอง เพียงแต่ว่างานเลี้ยงนี้แค่ถูกจัดขึ้นในนามของเขาเท่านั้น เพราะวันงานจริงเขาส่งแค่แม่ทัพบู๊ใต้บังคับบัญชาที่เป็นแค่ระดับสามชั้นโท และผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอีกไม่กี่คนที่ดึงออกมาจากขบวนทัพเวลานั้นให้รับผิดชอบคอยรับรองเหล่าผู้กล้าทั้งหลาย

แม้แต่หน้าตาเพียงเล็กน้อยแค่นี้ซูเกาซานก็ยังไม่ยินดีมอบให้แก่เหล่างูเจ้าถิ่นแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่ยินยอมคล้อยตามเขาแต่โดยดี

สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย

ก่อนหน้านั้นเขามอบ ‘นามบัตร’ ให้แก่กองทัพเหล็กต้าหลีโดยใช้ป้ายผู้ถวายงานเกาะชิงเสียและป้ายสงบสุขปลอดภัย บอกว่าอยากจะขอพบแม่ทัพหลักท่านนั้น สุดท้ายคำตอบที่ซูเกาซานมอบมาให้ก็เรียบง่ายและรวดเร็วมาก แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นคำพูดที่ออกจากปากของแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ด้วยตัวเอง แค่สามคำเท่านั้น ‘ไสหัวไป’

เฉินผิงอันไม่ถึงขั้นรู้สึกขุ่นเคืองหรืออัดอั้นตันใจ ก็แค่รู้สึกจนใจเล็กน้อยเท่านั้น

ส่วนเกาะชิงเสียที่สูญเสียการเฝ้าพิทักษ์จากหลิวจื้อเม่าก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เพราะมีกองกำลังที่เป็นผู้นำอย่างเถียนหูจวินแห่งเกาะซู่หลิน อวี๋กุ้ยโอสถทอง และผู้ฝึกตนโอสถทองที่พอจะเรียกลมเรียกฝนในทะเลสาบซูเจี่ยนอีกสองสามคนมาปรากฎตัวในงานเลี้ยงจวนสกุลฟ่านนครน้ำบ่อ เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่นั่งของพวกเขาไม่ได้อยู่หน้าสุด ถึงขั้นสู้เกาะเทียนหมู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ

นี่ก็คือผู้ฝึกตนอิสระแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน

กล้าสู้สุดชีวิต แล้วก็ยอมรับได้ว่าตัวเองขี้ขลาด เมื่ออยู่ในสถานการณ์ยิ่งใหญ่ที่ดีงามก็เป็นบรรพบุรุษ แต่หากท่าไม่ดีก็พร้อมจะเป็นหลาน

เฉินผิงอันคาดเดาว่าต้องมีผู้ฝึกตนบนเกาะส่วนหนึ่งที่ไม่ยินดีประคองสองมือส่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งไปให้อีกฝ่ายทั้งอย่างนี้ แต่คงไม่จำเป็นต้องให้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีและผู้ฝึกตนติดตามกองทัพลงมือ กองกำลังที่มีถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่ และคู่รักโอสถทองบนเกาะหวงหลีเป็นหนึ่งในนั้นก็น่าจะช่วยซูเกาซานจัดการ ‘ปัญหาเล็กน้อย’ พวกนี้ให้เรียบร้อยแล้ว ไหนเลยยังต้องให้แม่ทัพใหญ่ซูวุ่นวายใจ พวกเขาย่อมยินดีที่จะนำศีรษะและทรัพย์สมบัติของคนบนเกาะเหล่านั้นมามอบให้เป็นของขวัญแก่ซูเกาซาน

แต่ประเด็นสำคัญที่สุดที่ซูเกาซานสามารถใช้มีดหั่นก้อนเต้าหู้ (เปรียบเปรยว่าทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย คล้ายสำนวนปอกกล้วยเข้าปากของไทย) ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนนี้ นอกจากที่ตัวเขาเองจะมีคุณความชอบทางการทหารในกองทัพม้าเหล็กอย่างโดดเด่น รวมไปถึงนิสัยภายนอกเหมือนปรองดองภายในแตกแยก เชี่ยวชาญการบังคับเรือตามกระแสลมของผู้ฝึกตนอิสระในทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว อันที่จริงการที่เฉาผิงแม่ทัพหลักต้าหลีของอีกกองทัพหนึ่งบุกไปที่ไหนที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลอง ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญมากเช่นกัน แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นข่าวลือที่บอกว่าซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีจะเดินทางมาพร้อมองค์ชายสกุลซ่งท่านหนึ่งเพื่อตรวจสอบแนวเส้นชายแดนที่กองทัพม้าเหล็กใต้บังคับบัญชาของเฉาผิงคุมเชิงอยู่กับราชวงศ์จูอิ๋งด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันวางรายงานข่าวลง

สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ จมสู่ภวังค์ความคิด

หลิวจื้อเม่าเป็นหรือตาย ตอนนี้ยังไม่มีข่าวที่แน่ชัด

หากอิงตามหลักการทั่วไปแล้ว สำหรับผู้ฝึกตนใหญ่ที่รู้จักพิจารณาและประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างหลิวจื้อเม่า มีความเป็นไปได้มากกว่าที่ซูเกาซานจะซื้อใจเขามาเป็นพรรคพวก แล้วนับประสาอะไรกับที่หลิวจื้อเม่ายังถือเป็นคนกันเองครึ่งตัวที่สวามิภักดิ์ต่อต้าหลีก่อนผู้ใด

ปัญหานั้นอยู่ที่ผู้ฝึกตนต่างถิ่นบนเกาะกงหลิ่วที่หลิวเหล่าเฉิงบอกว่า ‘ไม่ชอบขี้หน้า’ นั่นต่างหาก เพราะสถานะตัวตนของพวกเขายังไม่ปรากฏอย่างชัดเจน

ดูท่าแล้วกลุ่มคนที่สามารถตัดสินความเป็นความตาย เกียรติยศและอัปยศของหลิวจื้อเม่า แม้กระทั่งหลิวเหล่าเฉิงก็ยังต้องกลั้นใจยอมรับ หรือแม้แต่ซูเกาซานก็ยังไม่สามารถปักบุปผาบนผ้าแพรให้กับสมุดบันทึกคุณความชอบของตน ช่วงชิงผู้ถวายงานก่อกำเนิดท่านหนึ่งที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาให้กับต้าหลีได้กลุ่มนี้

น่าจะมีภูมิหลังที่ใหญ่มาก

เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว

หรือจะเป็นสำนักใบถงที่พลังต้นกำเนิดเสียหายอย่างหนัก? พวกเขากัดฟันตัดสินใจเด็ดเดี่ยวย้ายมาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน?

แต่นี่ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่มากมหาศาลอย่างยิ่ง ผู้ฝึกตนสามารถจัดขบวนยิ่งใหญ่ย้ายมาอยู่ทวีปอื่นได้อย่างเกรียงไกร ทว่าโชคชะตาแม่น้ำภูเขาในอาณาเขตที่สำนักใบถงสะสมรวบรวมมาหลายพันปีไม่สามารถเอามาด้วยได้

เมื่อเกี่ยวพันกับการย้ายถิ่นครั้งใหญ่ข้ามสองทวีป นอกจากปราณวิญญาณในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่พอจะรักษาไว้ได้แล้ว เรื่องอื่นก็อย่าได้หวัง

อีกทั้งความเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เดิมทีจิตใจคนของสำนักใบถงก็คลอนแคลน ระหว่างการย้ายถิ่นฐานต้องถูกเสือและหมาป่าที่จับจ้องอยู่รอบด้านกระโจนเข้ามากัดกินเนื้อติดมันชิ้นนี้อย่างแน่นอน เมื่อเกี่ยวพันกับมหามรรคา ต่อให้เป็นสำนักที่ไม่ขาดปราณแห่งความเที่ยงธรรมอย่างภูเขาไท่ผิง สำนักฝูจี ขอแค่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วก็ไม่มีทางใจอ่อนออมมือเช่นกัน

นอกจากนี้ผู้ฝึกตนสำนักใบถงก็สายตามองสูงจนไม่เห็นหัวใคร เป็นผู้นำตระกูลเซียนในทวีปใหญ่มาจนเคยชินแล้ว จะยอมวิ่งมาลงหลักปักฐานอยู่ในทวีปเล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งยังต้องอาศัยอยู่ใต้ชายคาของสกุลซ่งต้าหลีที่เป็นเพียงราชวงศ์ในโลกมนุษย์ราชวงศ์หนึ่งอย่างนั้นหรือ?

หากเป็นสำนักฝูจีกลับเหมือนจะสมเหตุสมผลมากกว่า

แต่การลงมือที่ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นมีต่อหลิวจื้อเม่า โดยเฉพาะ ‘อุบายเล็กน้อย’ แฝงเจตนาชั่วร้ายที่มีต่อตนกลับดูไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินมาที่หน้าต่าง โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำใหญ่ การมองเห็นจึงเปิดกว้าง ทัศนียภาพนอกหน้าต่างคือสายน้ำไหลซัดสาด เรือสัญจรล่องไปมา เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาเรือเหล่านี้ก็มีขนาดเล็กเท่าเมล็ดงาเท่านั้น

สายน้ำของแคว้นเหมยโย่วตัดสลับซับซ้อน แม่น้ำลำคลองกระจายตัวเป็นวงกว้าง นี่น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทางราชสำนักกล้าร่วมศึกตาย

บนผิวน้ำมีเรือรบลอยลำทวนกระแสน้ำขึ้นไปช้าๆ เพียงแต่ว่าเนื่องจากผิวน้ำของแม่น้ำกว้างขวาง ต่อให้มีคนบนเรือนับหมื่น แต่กระนั้นเรือลำใหญ่โตมโหฬารเหล่านี้ก็ยังเบาบางดุจขนนก

เฉินผิงอันฟุบตัวนอนอยู่บนกรอบหน้าต่าง

เจิงเย่และหม่าตู่อี๋พร้อมใจกันมาหา บอกว่าอยากจะไปเที่ยวชมศาลเทพวารีของแม่น้ำชุนฮวาแห่งนี้สักหน่อย ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์มากเป็นพิเศษ เจ้าพ่อเทพวารีผู้นั้นชอบหยอกเย้ามนุษย์ธรรมดาอย่างมาก

เฉินผิงอันไม่มีความสนใจนี้ จึงบอกให้พวกเขาไปเที่ยวกันเอง แต่เตือนหม่าตู่อี๋ว่าหลังจากเข้าไปในอาณาเขตของศาลแล้ว ถึงอย่างไรนางก็เป็นภูตผีที่สิงอยู่ในยันต์หนังจิ้งจอก ยังต้องเอ่ยขออภัยก่อนสักคำ บอกจุดประสงค์การมาเยือนให้เจ้าพ่อเทพวารีรู้อย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นการล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำ หากเกิดปัญหาขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรพวกเจ้าก็ไม่ใช่ฝ่ายที่มีเหตุผล ถึงเวลานั้นเขาก็คงได้แต่เอ่ยขออภัย จ่ายเงินฟาดเคราะห์เท่านั้น แต่ถึงอย่างไรเงินเทพเซียนก้อนนั้น หม่าตู่อี๋กับเจิงเย่ก็ต้องออกเอง ห้ามเอามาคิดกับเขาเฉินผิงอัน หม่าตู่อี๋ยิ้มกล่าวว่าทราบแล้ว ท่องอยู่ในยุทธภพมาไกลขนาดนี้ กฎเกณฑ์แค่นี้ไม่ต้องให้ท่านเฉินคอยพร่ำบอก

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ท่องอยู่ในยุทธภพมาไกลขนาดนี้? เจ้ากับเจิงเย่ ตอนนี้แค่เดินทางผ่านอาณาเขตของแคว้นใต้อาณัติสองแคว้นเท่านั้น

แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้พูดออกไป เพียงโบกมือบอกเป็นนัยให้พวกเขาออกไปเที่ยว ไม่อย่างนั้นอาจต้องฟังคำพูดเหน็บแนมจากหม่าตู่อี๋อีกหลายคำ

เพียงแต่ว่าตอนที่เจิงเย่จะปิดประตูลง เฉินผิงอันก็ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา โยนไปให้เจิงเย่ บอกว่ากันไว้ก่อน

เจิงเย่ย่อมปิติยินดีอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าพอปิดประตูลง กลับโดนหม่าตู่อี๋แย่งไปผูกไว้ตรงเอวของนางเอง

เจิงเย่จนปัญญา

เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ

บุรุษยอมให้สตรีสักเล็กน้อย ผู้แข็งแกร่งยอมให้ผู้อ่อนแอสักหน่อย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีท่าทีเหมือนคนที่อยู่สูงกว่าทำทานให้คนต่ำต้อย นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักฟ้าดินหรอกหรือ?

วิถีทางโลกที่เป็นเช่นนี้ถึงจะเริ่มมีความผิดพลาดน้อยลง เริ่มดีมากขึ้นอย่างช้าๆ

หลักการความรู้นับหมื่นอย่างล้วนจำเป็นต้องเรียงไปตามลำดับขั้นตอน

เดินให้มากหน่อย ก็จะเดินไปได้ไกลถึงเพียงนั้น

คิดให้มากหน่อย ก็จะคิดได้มากถึงเพียงนั้น

เฉินผิงอันที่เหนื่อยล้าแต่ก็ผ่อนคลายจึงฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนกรอบหน้าต่างทั้งอย่างนั้น เขาหลับตาลงงีบหลับ

ที่ใดที่ใจข้าเป็นสุข ที่นั่นก็คือบ้านเกิดของข้า

แล้วเมื่ออยู่บ้านเกิดของข้าจะไม่อาจหลับตานอนได้อย่างไร

ศาลเทพวารีแม่น้ำชุนฮวาที่อยู่ห่างไปหลายสิบลี้ มีผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังนอนแทะน่องไก่อยู่บนเสาคานของตำหนักใหญ่ในศาล บนศีรษะปักปิ่นดอกซิ่ง สวมชุดผ้าแพรปักลาย มองดูแล้วชวนขบขัน ทันใดนั้นเขาก็สะดุ้งโหยง เกือบจะโยนน่องไก่มันเยิ้มไปโดนหัวของผู้มีจิตศรัทธาในห้องโถง ภูตน้ำตนนี้ที่ปีนั้นได้รับโชควาสนา ถูกวิญญูชนท่านหนึ่งของสำนักศึกษากวานหูแต่งตั้ง ถึงได้สร้างร่างทอง กลายมาเป็นองค์เทพแห่งสายน้ำที่แท้จริงที่ได้เสวยสุขกับควันธูปในโลกมนุษย์พลันทะยานตัวขึ้นกลางอากาศ กลายร่างเป็นภาพมายาที่ลอดทะลุหลังคาตำหนักใหญ่ออกไป เทพวารีผู้เฒ่ากวาดตามองรอบด้านด้วยความตระหนกลน จากนั้นก็ประสานมือโค้งคำนับไปสี่ทิศ เอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “อริยะท่านใดมาเยือน เทพน้อยหวาดกลัว หวาดกลัวยิ่งแล้ว”

โดยที่ไม่รู้เลยว่า ‘ตัวการสำคัญ’ ผู้นั้น

เวลานี้กำลังยุ่งอยู่กับการแอบอู้งีบหลับ

เมื่อคุณธรรมจริยธรรมติดกาย หมื่นสิ่งชั่วร้ายเสนียดจัญไรหนีห่าง กระทั่งองค์เทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังต้องหลีกทางให้

—–