[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 13 มรสุมในอุดมคติของหลานหลิง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เมื่อจั่งซุนกลับมาถึงพระราชวังก็ยังโมโหไม่หาย หลี่ซื่อหมินเห็นแบบนี้เขาก็แค่ส่ายหน้า ยิ้มและหันหน้ากลับไปคุยกับหลานหลิงที่กำลังถือชามเล็กๆ อยู่ในมือ “หลานหลิง นี่คือลูกอมนมที่เจ้าทำหรือ” 

 

“ใช่แล้วเพคะเสด็จพ่อ ลูกพึ่งทำเสร็จใหม่ๆ เสด็จพ่อลองชิมดูเพคะ” หลานหลิงยืนเขย่งเท้ายกชามขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้เสด็จพ่อหหยิบง่ายหน่อย 

 

หลี่ซื่อหมินลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อเห็นท่าทางที่คาดหวังของหลานหลิง เขาจึงหยิบเม็ดที่เล็กที่สุดในชามออกมายัดเข้าไปในปาก เคี้ยวไปสองสามที จากนั้นก็พูดกับจั่งซุนด้วยความตกใจว่า “ฮองเฮา เจ้าลองชิมดู ขนมหวานที่หลานหลิงทำไม่เลวเลยทีเดียว” 

 

จั่งซุนเงยหน้าขึ้นมองพ่อลูกคู่นี้ พิงเก้าอี้นุ่มและเอ่ยว่า “ท่านลองชิมเยอะๆ หน่อย หม่อมฉันเคยกินแล้ว นมตั้งหลายสิบถังทำออกมาแค่เท่านี้จะไม่อร่อยได้เช่นไร ลูกสาวของท่านจะหาเงินจากของสิ่งนี้ หม่อมฉันซื้อไปแล้วสิบเหรียญ หยางเฟยกับสนมอินก็ซื้อไปไม่น้อย ได้ยินมาว่าชิงเชวี่ยซื้อไปหนึ่งร้อยเหรียญ ท่านลองถามลูกสาวของท่านสิว่าเดือนนี้นางหาเงินในวังได้เท่าไหร่แล้ว” 

 

ได้ยินที่ฮองเฮาพูด หลี่ซื่อหมินก็หยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียดอีกชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็ก้มตัวลงไปถามหลานหลิง “ไหนเจ้าลองบอกพ่อมาหน่อยสิว่าเจ้าคิดที่จะเอาของสิ่งนี้มาขายได้อย่างไร ใครเป็นคนสอนเจ้าหรือเปล่า” 

 

“คืนที่พายุฝนฟ้าคะนอง หลานหลิงกำลังนอนหลับอยู่ ข้าฝันเห็นชายเฒ่าที่มีหนวดขาวคนหนึ่งกำลังทำอะไรอยู่ที่เตา ข้าจึงไปยืนดูอยู่ข้างๆ หลังจากที่ชายเฒ่าคนนั้นทำเสร็จแล้วเขาก็บอกกับข้าว่า ‘ทำเป็นหรือยัง หากทำเป็นแล้วก็กลับไปทำเอง’ ซุนเทพเซียนยังบอกอีกว่าของสิ่งนี้เป็นของดี เอาไปหาเงินก้อนใหญ่ได้ จากนั้นลูกก็ตื่นพอดี” 

 

แต่งเรื่องได้ดีเลยทีเดียว หลี่ซื่อหมินมักจะรู้สึกว่าประโยคพวกนี้คุ้นๆ จั่งซุนจึงพูดต่อว่า “ไม่ว่าใครถามก็มีแค่ประโยคไม่กี่ประโยคนี้ ก็ไม่รู้เช่นกันว่าชายเฒ่าหนวดขาวคนไหนแอบเข้ามาในวังและแอบเข้าไปในฝันของหลานหลิง หม่อมฉันถามแล้วตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่ยอมพูด ถามต่ออีกก็ร้องไห้ หม่อมฉันจึงไม่ถามอีก” 

 

“ฮองเฮา เจ้าไม่คิดว่าที่ซุนเทพเซียนบอกว่าดี ประโยคนี้ฟังดูคุ้นๆ หูหรือ เราจำได้ว่าตอนที่พ่อค้าขายแป้งขายแป้งตั๊กแตนให้เราเขาก็พูดประโยคนี้ ตอนที่ซื้อสาหร่ายทะเลก็พูดเช่นนี้ ตอนนี้ก็เป็นเหมือนกัน มาถึงขนมหวานชิ้นเล็กๆ แล้ว เอ่อใช่ วันนี้เจ้าไปตระกูลอวิ๋นได้อะไรมาบ้าง” 

 

“บางครั้งข้าก็นึกอยากจะเอาสมองของพวกเขามาดูว่าข้างในมันคืออะไร ได้กวีมาสองบท แล้วยังถูกอาจารย์เหยียนจือทุยสั่งสอนเข้าให้อีก” 

 

หลี่ซื่อหมินเคี้ยวลูกอมนม อุ้มหลานหลิงขึ้นมานั่งบนตักแล้วพูดกับจั่งซุน “ท่องกวีสองบทนั้นให้เราฟัง แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงวิธีการ” 

 

“บท ‘ฉ่าวหยวนโบราณ’ เหยียนจือทุยบอกว่ากวีบทนี้คือกวีชั้นดี ‘นิราศเหลียงโจว’ ถึงจะมีแค่สี่ประโยค ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่สี่ประโยคนี้ก็ไม่ได้ง่ายดาย ท่านฟังให้ดี ต้นหญ้าเขียวชอุ่ม หนึ่งฤดูมีสีเหลือง ไฟป่าอันโหดเ**้ยมแผดเผาใบไม้แห้ง ลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านหญ้าก็กลับมาเขียวอีกครั้ง เพียงแค่สี่ประโยคนี้ก็สามารถแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองได้ ตัวอักษรถูกเลือกสรรมาได้เป็นอย่างดี” 

 

หลี่ซื่อหมินหยักหน้า กินลูกอมนมอีกชิ้นหนึ่งแล้วพูดกับจั่งซุนว่า “เป็นบทกวีที่ดีจริงๆ แนวคิดและความหมายล้วนแต่เป็นตัวเลือกที่ดี ตัวอักษรก็ไม่ได้งดงามมากจนเกินไป แต่กลับเรียบง่ายและชาญฉลาด แล้วอีกบทหนึ่งคืออันใดหรือ” 

 

“อีกบทหนึ่งไม่ถือว่าดีเท่าไรเพคะ แต่ในแง่ของการพลิกแพลงตามสถานการณ์ก็ไม่เป็นสองรองใคร หม่อมฉันกลัวว่าเขาจะเอากวีของอาจารย์ตัวเองมาหลอกเราอีก หม่อมฉันจึงให้เขาแต่งกวีตามภาพวาดบนโต๊ะ ใครจะไปรู้ เขากลับแต่งออกมาได้ แล้วยังแต่งออกมาดีอย่างคาดไม่ถึง” 

 

“ฮ่าๆ ฮองเฮา เจ้าเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว แต่เราก็อยากได้ยินว่าไอ้เจ้านั่นแต่งกวีนี้ได้เช่นไร รีบท่องให้เราฟังเถิด เรารอไม่ไหวแล้ว” 

 

“มองดูภูเขาอันงดงามจากไกลๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ กลับไม่ได้ยินเสียงน้ำไหล ฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไปแล้วแต่ยังมีดอกไม้ที่สวยงาม คนเดินเข้าไปใกล้ๆ นกก็ไม่ตกใจบินหนี ฝ่าบาทคิดว่าอย่างไร” 

 

“เราไม่มีอะไรจะพูด ไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ ช่างมันเถอะ เราไม่อยากใช้สมองกันเรื่องพวกนี้ แค่รู้สึกว่าไอ้เจ้านี่ทำลายอารมณ์แต่งกวีของเรา ทำให้เราไม่พอใจเล็กน้อย เอาสมองไปคิดเรื่องเทศกาลฉงหยางแทนเสียดีกว่า” 

 

“เช่นนั้นไม่ได้สิเพคะ ท่านควรจะแก้ไขปัญหาที่ในวังไม่มีนมก่อน หลานหลิงเอาวัวนมไปสิบเอ็ดตัว ในวังก็ไม่มีใครกล้าถาม ตอนนั้นท่านเคยบอกว่า ดื่มนมเท่าไหร่ก็ได้ วัวนมไม่ใช่ของต้องห้าม ดังนั้นตอนนี้หลานหลิงส่งสาวใช้ไปบีบนมวัวทั้งหมดสิบเอ็ดตัวจนหมด ใส่ถังใหญ่กลับไปที่ตำหนักของนาง ตั้งหม้อใบใหญ่ทำลูกอมนม ท่านควรจัดการได้แล้ว” 

 

หลี่ซื่อหมินเกาหัวเบาๆ ตอนนี้ลูกสาวของตัวเองชอบทำอาหารก็เป็นเรื่องที่ดี ทั้งๆ ที่รู้ว่าชายเฒ่าหนวดขาวคนนั้นคืออวิ๋นเยี่ย แต่หลานหลิงกลับไม่ยอมพูดออกมา เขาก็คงทำอะไรไม่ได้ เด็กน้อยยืนหยัดขนาดนี้ ควรให้กำลังใจนาง 

 

“หลานหลิง สุภาพบุรุษต้องรักษาคำพูด แต่เจ้าหาเงินให้ตัวเอง แล้วปล่อยให้คนอื่นในวังไม่มีนมดื่ม เจ้าคิดว่าสิ่งนี้มันสอดคล้องกับคำสอนของอาจารย์หรือไม่?” 

 

หลานหลิงได้ยินเหมือนว่าเสด็จพ่อจะเอาวัวนมของนางไป ทันใดนั้นนางก็น้ำตาไหลออกมาทันที ภายในหนึ่งเดือนนางหาเงินได้ตั้งสามกล่อง แล้วยังออกเงินเดือนให้พวกสาวใช้ ตอนนี้นางเป็นที่นิยมมากในวัง เดินไปไหนก็มีแต่คนเข้ามาพบปะทักทาย พวกเขาล้วนแต่อยากจะย้ายไปทำงานที่ตำหนักซีอวี่ขององค์หญิงหลานหลิงกันทั้งนั้น ไม่เพียงแต่สบายแล้วยังได้เงินเดือนก้อนใหญ่ ทำงานที่อื่นไม่มีทางเทียบได้ 

 

อาวุธวิเศษของหลานหลิงก็คือมีน้ำตามากมาย ไม่รู้ว่าคนตัวเล็กๆ เช่นนี้ไปเอาน้ำตามาจากไหนตั้งมากมายทำเอาหลี่ซื่อหมินไม่รู้จะทำเช่นไร เขาตบไปที่แผ่นหลังของหลานหลิงเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร หากหลานหลิงชอบวัวนมก็ให้ในวังเลี้ยงให้มากสักหน่อย เอามาเลี้ยงอีกสักสิบกว่าตัวก็ได้ ลูกสาวของข้าก็มีความสุขก็พอ” 

 

จั่งซุนกลอกตามองบนใส่พ่อลูกคู่นี้ นางไม่พอใจกับการที่หลี่ซื่อหมินตามใจลูกจนไม่มีหลักการเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นหลี่ซื่อหมินอุ้มหลานหลิงมาอยู่ในอ้อมแขน นางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา 

 

“เสด็จพ่อ วัวสิบเอ็ดตัวยังไม่พอ ตอนนี้ลูกติดลูกอมนมตั้งเยอะแยะ ของพี่รัชทายาท ของพี่สี่ ของพี่ห้า แล้วยังมีของท่านลุงเหอเจียน สรุปก็คือติดลูกอมนมตั้งเยอะแยะ วัวสิบเอ็ดตัวนั้นรีดนมจนหมดแล้วก็ยังไม่พอ แล้วน้ำตาลในวังก็ไม่พอแล้ว สาหร่ายสีน้ำตาลก็เหลือไม่มากแล้ว เสด็จพ่อ แม่ของข้าจากไปเร็ว ท่านต้องช่วยข้านะ” 

 

หลี่ซื่อหมินได้ยินเช่นนี้ถึงกับปวดหัว หันหน้าไปมองที่จั่งซุน หวังว่านางจะช่วยเขาได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าจั่งซุนกลับก้มหน้าจิบชา ทำท่าราวกับไม่สนใจพวกเขาสองพ่อลูก เรื่องของการทำการค้าขาย เขาไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ 

 

“เสด็จพ่อ เทพเซียนหนวดขาวบอกแล้วว่าให้ข้าขายลูกอมนมให้กับราชวงศ์ก่อน เรื่องนี้ไม่ได้ยากสำหรับลูก ผู้อาวุโสต่างชอบกินลูกอมนมที่ข้าทำ ขั้นตอนต่อไปคือขายให้กับเหล่าขุนนาง ต่อไปค่อยไปขายที่ตลาด เมื่อลูกอมนมขายออกไปได้ในทุกที่ของต้าถัง ลูกก็จะกลายเป็นเศรษฐีน้อย เสด็จพ่อ ลูกจะเป็นเศรษฐี เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด” 

 

หลี่ซื่อหมินพูดไม่ออก จั่งซุนตกใจจนหน้าเสีย อุดมคติของหลานหลิงช่างยิ่งใหญ่จริงๆ หากนางขายลูกอมนมได้ทั่วต้าถังจริงๆ รายได้ขนาดนั้น แม้แต่ฮ่องเต้ก็ดูถูกไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้หลานหลิงกำลังทำการค้าขายที่ไม่ได้ใช้ต้นทุน กิจการยิ่งใหญ่เท่าใดราชวงศ์ก็ยิ่งเสียเปรียบมากเท่านั้น 

 

“หลานหลิง เจ้าบอกเสด็จพ่อสิว่าตอนนี้เจ้ามีเงินเท่าไหร่” 

 

หลานหลิงเอากุญแจขนาดใหญ่สามดอกออกมาจากคออย่างมีความสุข เอาให้เสด็จพ่อดู “นี่คือกุญแจกล่องเงินของลูก มีสามกล่องแล้ว ลูกจะสะสมให้ถึงหนึ่งร้อยกล่อง!” 

 

สายตาของหลี่ซื่อหมินเป็นประกาย เขาลูบหัวหลานหลิงเบาๆ และพูดว่า “หากเจ้าชอบวัวนมก็ไปเอามา ไม่มีน้ำตาลก็ไปเอาในกรมวัง สาหร่ายทะเลที่บ้านตระกูลอวิ๋นมีตั้งเยอะแยะ ไปซื้อมาก็ได้ ตอนนี้เจ้าไปเล่นเถอะ พ่อต้องไปอ่านฎีกาสักหน่อย” 

 

หลานหลิงรับรู้ความเห็นว่าเสด็จพ่อสนับสนุนนาง นางจึงกลับไปยังตำหนักซีอวี่ของตัวเองอย่างมีความสุข เตรียมที่จะพาสาวใช้ไปเอาวัวนมหลังห้องอาหารของพระราชวังมารีดนมให้หมด 

 

จั่งซุนรอให้หลานหลิงจากไปและเอ่ยถามว่า “เหตุใดกัน เหตุใดท่านถึงได้ตามใจหลานหลิงถึงเพียงนี้ ทำเช่นนี้มันช่างไม่ยุติธรรมกับองค์หญิงองค์อื่นๆ หลักการที่ว่าไม่กังวลความยากจนแต่กังวลความร่ำรวยที่ไม่เท่าเทียม ท่านก็เข้าใจไม่ใช่หรือ” 

 

“ฮองเฮา ข้าแค่อยากจะดูว่าหลานหลิงจะไปได้ถึงไหนเท่านั้นเอง นางจะสร้างเส้นทางที่แตกต่างให้กับลูกหลาน ระบบศักดินาและประเทศในอนาคตได้หรือไม่ เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่เรื่องที่ดี สมัยก่อนราชวงค์ฮั่นก็คือตัวอย่างหนึ่ง เนื่องจากจำนวนลูกหลานที่เพิ่มมากขึ้น เชื้อราชวงศ์ก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ จะไปเบียดเบียนราษฎรอย่างเดียวไม่ได้ ความขัดแย้งนี้ไม่ช้าก็เร็วคงจะระเบิดออกมา หากหลานหลิงสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ หาทางเจริญก้าวหน้าให้ตัวเอง เราก็ควรสนับสนุนอย่างเต็มที่ ไม่ว่าตอนนี้จะสนับสนุนนางเช่นไร มันก็คงจะไม่กระทบกับที่ดินของนางมากนัก” 

 

จั่งซุนพยักหน้าและถามอีกว่า “หลานหลิงมีอวิ๋นเยี่ยคอยช่วยเหลือ เขาคอยชี้ทางหาเงินให้นาง จึงทำให้นางเป็นเช่นนี้ เด็กคนอื่นๆ ที่ไม่มีโอกาสเช่นนี้จะไม่เสียเปรียบแย่หรือเพคะ” 

 

หลี่ซื่อหมินกะพริบตา กำแขนเสื้อและพูดว่า “ฮองเฮายังดูไม่ออกหรือ อวิ๋นเยี่ยกำลังเขียนฎีกาให้เราผ่านทางหลานหลิง หวังว่าเราจะหยุดระบบศักดินาที่ไม่มีวันสิ้นสุดสักที เขาอยากให้เราให้รางวัลลูกๆ ของเราด้วยวิธีอื่นบ้าง ไม่ใช่แค่ให้รางวัลเป็นที่ดิน 

 

ก่อนหน้านี้ชิงเชวี่ยบอกเราอย่างชัดเจนว่า เขาไม่มีแรง ไม่มีเวลาไปจัดการกับที่ดินของตัวเอง หากเป็นไปได้ เขาอยากจะให้เราเอาที่ดินเหล่านั้นกลับคืนมา ขอแค่เอารายได้ของทุกปีให้เขาก็พอ เขาบอกว่าหากไม่ใช่เพราะการศึกษาต้องใช้เงิน เขาก็ไม่นึกอยากได้แม้แต่เงิน คำขอร้องเช่นนี้ช่างไม่เหมือนใคร ราชวงศ์อื่นกลัวว่าประเทศของตัวเองจะยิ่งใหญ่ไม่พอ มีเพียงราชวังต้าถังของข้าเท่านั้นที่ไม่สนใจที่ดิน ตอนนี้เค่อเอ๋อร์ก็ไม่ค่อยสนใจที่ดินมากนัก เขาเอาแต่ตั้งใจดูแลกรมวัง ราวกับหลงใหลเข้าไปอยู่ข้างในนั้น สำหรับเรื่องของการเงินก็มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เส้นทางที่เราเคยเดินมา เฉิงเฉียนและคนอื่นๆ ก็คงจะไม่เดินตามอีกแล้ว มันทำให้เรารู้สึกโชคดีเป็นอย่างมาก” 

 

จั่งซุนไม่พูดไม่จา หากไม่มีระบบศักดินา ลูกๆ ของตัวเองยังพออยู่ได้ แต่สมาชิกราชวงศ์อื่นๆ คงจะไม่พอใจ ท่านพี่กำลังฝัน และช่างเป็นฝันที่แสนหวาน สิ่งที่เขาคิดอยู่ทุกวันทุกคืนก็คือไม่อยากให้ลูกๆ ของตัวเองต้องเจอกับความล้มเหลว ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมองเห็นแค่แสงอันริบหรี่ที่อยู่ในช่องของก้อนเมฆที่มืดมน แต่ท้องฟ้าก็ยังคงมืดสนิท เขาอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงดินแดนอันสวยงาม 

 

หลี่ซื่อหมินที่เหม่อลอยไปพักหนึ่งกลับมาพูดกับจั่งซุนอีกครั้ง “หากมีรังมดอยู่บนเขื่อน ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวมันก็พัง เจ้าไม่ต้องกังวล เราไม่มีทางดำเนินการตอนนี้แน่นอน ที่ดินของชิงเชวี่ยเราก็จะไม่เอาคืนมา ในเมื่อเรามีวิธีแล้ว เราก็จะค่อยๆ ทำความฝันให้เป็นจริงทีละเล็กทีละน้อย ตอนนั้นเราบอกเจ้าว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้หญิงที่มีเกียรติที่สุดในโลกไม่ใช่หรือ วันนี้เจ้าก็ได้เป็นแล้วจริงๆ”