หลังจากรู้ว่าหลี่ไท่คืออัจฉริยะที่เล่นงานตัวเอง ไฮปาเทียจึงคิดว่าศักดิ์ศรีในฐานะอาจารย์ของนางควรสร้างขึ้นจากตัวเขา หลังจากปรึกษาอวิ๋นเยี่ยเกี่ยวกับผลที่ตามมาของการทำให้องค์ชายขุ่นเคืองแล้ว นางก็ไปเตรียมแผนการด้วยความชอบอกชอบใจ
คิดไม่ถึงว่าบนโลกใบนี้จะมีเรื่องราวดีๆ เช่นนี้ ในประเทศแห่งนี้อาจารย์สามารถเล่นงานองค์ชายให้ตายได้ ต่อให้ต่อยเขาก็ไม่มีเรื่องเดือดร้อนอะไร ฮ่องเต้ยังจะต้องลงโทษลูกชายของตัวเองอีกครั้ง ต้าถังช่างเป็นสรวงสวรรค์ของอาจารย์จริงๆ
ไฮปาเทียเรียกหลี่ไท่มายังห้องทำงานของตัวเองก่อน บอกว่าหลี่ไท่คำนวณความหนาแน่นบกพร่องเล็กน้อยจะต้องแก้ไข ได้ยินว่าอาจารย์กำลังท้าทายความสามารถของเขา หลี่ไท่จึงรีบไปหานางอย่างรวดเร็ว รอให้คำอธิบายของอาจารย์ผิดพลาดแล้วเขาจะประชดประชันอย่างแรงและเดินกลับออกมาอย่างสบายใจ อวิ๋นเยี่ยเคยบอกว่า เขาเป็นคนที่มีความสามารถที่สุดในเรื่องของการคำนวณความหนาแน่น ตอนนี้ความสามารถกำลังถูกสงสัย จะเป็นไปได้อย่างไร
เมื่อมาถึงใต้ตึกเล็กๆ ของอาจารย์ ก็มีน้ำเย็นตกลงมาจากท้องฟ้า ทำเอาหลี่ไท่เย็นยะเยือก ถูกน้ำเย็นสาดใส่ในวันที่อากาศร้อนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าน้ำที่ใส่น้ำแข็งนั้นไม่เหมือนกัน หลี่ไท่ร้องลั่น กำลังจะด่าออกมา ใบหน้าของไฮปาเทียก็โผล่ออกมาจากระเบียง พูดกับหลี่ไท่ด้วยความตกใจว่า “เจ้าเป็นอะไรไป ข้ากำลังทดลองความหนาแน่นที่เจ้าพูด ไม่ระวังไปโดนกะละมังเข้า มันสาดโดนเจ้าเปียกหรือ”
หลี่ไท่ฝืนยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นอะไรขอรับอาจารย์ อากาศร้อนๆ เช่นนี้เปียกน้ำเย็นก็สบายขึ้นมาหน่อย ท่านคิดว่าตารางความหนาแน่นที่ศิษย์เป็นคนเขียนมีปัญหาหรือขอรับ”
หลี่ไท่พูดเห็นฟันขาวและมองไปที่ไฮปาเทียที่อยู่บนตึก หากผู้หญิงคนนี้บอกข้อผิดพลาดไม่ได้ มันก็ถึงเวลาของตัวเขาเองแล้ว อวิ๋นเยี่ยบอกว่าการหาข้อผิดพลาดต้องมีเหตุผล มีหลักฐาน และมีระเบียบ ในฐานะผู้ชายจะคิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิงแค่เรื่องน้ำหนึ่งกะละมังไม่ได้ แต่เรื่องการศึกษาไม่เหมือนกัน เรื่องนี้ต้องมีถูกผิด ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้ชายผู้หญิง
หลี่ไท่ใช้มือเช็ดน้ำที่เสื้อ ก่อนจะก้าวขึ้นบันได ขณะกำลังจะขึ้นไปยังชั้นบน ในรองเท้าที่เต็มไปด้วยน้ำทำให้ทุกย่างก้าวล้วนแต่ส่งเสียงแปลกๆ ออกมา เมื่อเขาขึ้นไปชั้นบน กำลังจะแสดงท่าทางที่ยิ่งใหญ่ของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ระวังไปเหยียบไปโดนท่อนไม้เล็กๆ ใต้ฝ่าเท้า ทันใดนั้นเขาก็ล้มลงไปนอนอยู่ที่บันไดทันที หลี่ไท่ไม่ได้รีบลุกขั้นมา แต่กลับหยิบท่อนไม้เล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาดูอย่างละเอียด เมื่อครู่ตอนที่เดินขึ้นมาไม่เห็นมีท่อนไม้
ไฮปาเทียรีบเดินเข้ามาพยุงหลี่ไท่ ตอนที่นางก้มตัวลงนางก็มองเข้าไปในดวงตาของหลี่ไท่ ทั้งใหญ่ทั้งกลม และที่สำคัญคือมันมีความยืดหยุ่น นางจับแขนของหลี่ไท่โดยไม่ทันระวังตัว
เขาลืมจุดประสงค์ของตัวเองไปในทันที นางสนมอายุสิบห้าปีของตัวเองจะมาเทียบกับผู้หญิงชาวหูคนนี้ได้อย่างไร ต้องบอกว่านี่คือการแข่งขันกับชาวหูที่แท้จริง ขณะที่หลี่ไท่กำลังจะดูให้ละเอียดถี่ถ้วน ไฮปาเทียก็ตะโกนขึ้นมา รีบปิดหน้าอกของตัวเองไว้และดึงมือของนางกลับไปอย่างรวดเร็ว หลี่ไท่จึงล้มลงไปที่พื้นอีกครั้งเมื่อตอนที่ทุกคนต่างพากันมาที่ชั้นล่าง
ได้ยินเสียงตะโกนของไฮปาเทีย อาจารย์หลี่กังก็เข็นรถเข็นออกมาจากห้องทำงาน เขาเห็นไฮปาเทียปิดหน้าอกด้วยความเขินอาย หลี่ไท่หน้าแดง ตัวเปียกนอนอยู่บนพื้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อเขากำลังจะดุหลี่ไท่ แต่กลับได้ยินไฮปาเทียพูดเบาๆ ว่า “อย่าโทษหลี่ไท่เลยเจ้าค่ะ เมื่อครู่เขาล้ม ข้าจึงเข้าไปช่วย ข้าลืมไปว่าผู้ชายกับผู้หญิงไม่เหมือนกัน ข้าผิดเอง ทำให้เขาล้มลงไปอีกครั้ง”
ได้ยินไฮปาเทียพูดแบบนี้ หลี่กังก็พยักหน้า นึกถึงพฤติกกรมที่ดีมาตลอดของหลี่ไท่ เขายอมเชื่อว่าเรื่องนี้คือเรื่องเข้าใจผิด ชาวหูไม่ค่อยสนใจเรื่องของชายหญิง มีความเข้าใจผิดนิดหน่อยก็เป็นไปได้ เขาจึงตำหนิหลี่ไท่ไปสองสามประโยค ความหมายก็คือให้เขารักษาท่าทีของสุภาพบุรุษที่ดีเอาไว้ อย่ามองอะไรที่ไม่ควรมอง
หลี่ไท่ยืนขึ้นมา โค้งคำนับขอบคุณความเมตตาของอาจารย์ที่ช่วยเขา พยายามทำให้ตัวเองสงบลง และพูดอย่างอ่อนโยน “อาจารย์ ไม่ทราบศิษย์มีข้อผิดพลาดอะไรในเรื่องของของความหนาแน่น อาจารย์โปรดให้คำแนะนำ ศิษย์จะกลับไปแก้ไขเดี๋ยวนี้”
ในเมื่อพูดถึงเรื่องการศึกษา สีหน้าของไฮปาเทียก็เปลี่ยนไปทันที ประสานมือทั้งสองไว้ที่หน้าท้องและพูดกับหลี่ไท่ “ข้าดูตารางความหนาแน่นของเจ้าอย่างละเอียดแล้ว พูดได้ว่านี่คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่เจ้ายังไม่ค่อยคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ ยังไม่รู้หลักการของการขยายตัวและหดตัวจากความร้อน เจ้าเพียงแค่ไล่ดูตามรูปร่างของวัตถุภายใต้สภาวะปกติ เจ้าไม่รู้ว่าวัตถุจำนวนมากกำลังเปลี่ยนแปลงตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ดังนั้นมันจึงไม่ค่อยตรง เจ้าดูสิ ดูการทดลองของข้า ผลลัพธ์ที่ได้ช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
หลี่ไท่ก้มลงมองนิ้วเท้าของตัวเอง เขาตัดสินใจที่จะไม่เงยหน้าขึ้นไปดูบั้นท้ายที่อวบอั๋นของไฮปาเทีย เดินตามนางเข้าไปในห้องทำงาน เห็นว่ามีกะละมังทองแดงสองใบวางอยู่บนชั้น กะละมังหนึ่งเต็มไปด้วยน้ำ อีกกะละมังเต็มไปด้วยน้ำแข็ง กะละมังที่มีน้ำไม่มีอะไรผิดปกติ แต่กะละมังที่มีน้ำแข็ง น้ำแข็งกลับอยู่สูงถึงขอบกะละมัง เห็นได้ชัดว่ามันอยู่สูงกว่าน้ำ
“เจ้าดูสิ ขนาดของน้ำที่อยู่ในสถานะที่แตกต่างกันมันไม่เหมือนกัน ทั้งสองใบล้วนแต่เป็นน้ำที่มีปริมาณเท่ากัน แต่หลังจากที่มันแข็งตัวแล้วมันกลับมีปริมาณมากกว่าน้ำธรรมกว่าหนึ่งเท่า หากต้มแล้วกลายเป็นไอน้ำ มันก็จะยิ่งมีมากขึ้นไปอีก ดังนั้น ตารางความหนาแน่นของเจ้าต้องรีบแก้ไข ตอนนี้มันยังไม่สมบูรณ์แบบ เจ้ายังมีภารกิจอีกมากมายที่ต้องทำ ไปเถอะ ข้าไม่รบกวนเวลาอันมีค่าของเจ้า”
หลี่ไท่อ้าปาก เห็นว่าตัวเองไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ เขาแอบมองไปที่หน้าอกของอาจารย์ อาจารย์ช่วยเขาไว้ ถือว่าเขาติดหนี้บุญคุณนาง แล้วอีกอย่าง อาจารย์พูดถูกต้อง ตารางความหนาแน่นของเขาต้องปรับปรุงให้ดีกว่านี้ เขาจึงโค้งคำนับให้อาจารย์ หันหลังเดินลงบันไดไปทีละก้าว เดินมาถึงชั้นล่างก็ถอนหายใจและเดินกลับไปหลังภูเขา
ไฮปาเทียมองดูหลี่ไท่เดินออกไปไกลแล้ว ยื่นมือออกไปหยิบน้ำแข็งในกะละมังออกมากิน หยิบตารางความหนาแน่นของหลี่ไท่ขึ้นมาดูอีกครั้งแล้วพูดกับตัวเองว่า “ไอ้เจ้านี่ช่างอัจฉริยะจริงๆ ของสิ่งนี้ก็ทำออกมาได้ ไม่รู้ว่าสมองดีแค่ไหน อยากจะใช้คณิตศาสตร์มาแสดงวัตถุทั้งหมดบนโลก หากเป็นเช่นนี้ มันจะช่วยให้มนุษย์รู้จักโลกของตัวเอง ดูเหมือนว่าคำพูดของมุฮัมมัดที่พูดไว้ว่าถึงแม้ความรู้จะอยู่ไกลแต่ก็ควรไปแสวงหา ประโยคนี้ที่พูดไว้ไม่มีผิดเลย”
หันไปมองที่หนังสือกองสูงบนโต๊ะของตัวเอง นางก็ถอนหายใจ หยิบหนังสือออกมาเปิดอ่าน กลับเข้าสู่โลกที่สร้างขึ้นด้วยตัวเลขอีกครั้ง
ขณะนี้บรรยากาศที่บ้านของอวิ๋นเยี่ยช่างครึกครื้น เหยียนจือทุย หลี่กัง อวี้ซัน ขงอิ่งต๋า และฉู่ซุ่ยเหลียง นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งฉางอันล้วนแต่มานั่งอยู่ในบ้านของเขา รอให้อวิ๋นเยี่ยแต่งบทกวีที่ยอดเยี่ยมตามแบบของเขาให้พวกเขา
“ไอ้หนุ่ม แต่งออกมาวันนี้ให้ได้ หากทำไม่ได้อย่าหาว่าข้าใจร้าย หากบทกวีแต่งออกมาได้ง่ายดายเช่นนี้ คงไม่จำเป็นต้องมีพวกข้า ข้าท่องกวีมาแล้วกว่าแปดสิบปี แต่ก็ไม่เคยแต่งบทกวีที่งดงามถึงเพียงนั้นได้ หากเจ้ากล้าใช้บทกวีของอาจารย์เจ้ามาหลอกลวงผู้คน วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
หัวล้านๆ ของเหยียนจือทุยกำลังเดือดพล่านด้วยความโกรธ ถือไม้เท้าอยู่บนพื้น ดูเหมือนว่าที่ทำอยู่เช่นนี้มันยังไม่เพียงพอที่จะแสดงความโกรธของเขาด้วยซ้ำ
ตอนนี้แม้แต่ลำไส้ของอวิ๋นเยี่ยยังรู้สึกผิด วันนั้นเขาดื่มเหล้ามากเกินไปจริงๆ ควบคุมสมองของตัวเองไม่อยู่ อยากจะออกหน้าแทนเหล่าแม่ทัพ โง่จริงๆ เลย
เหล่าผู้เฒ่าไม่เท่าไหร่ แต่ว่าจั่งซุนที่กำลังจิบชาอยู่หลังม่าน มีท่านย่าอยู่เป็นเพื่อน มีซินเย่วคอยรับใช้ บอกว่าวันนี้เป็นเรื่องบังเอิญ คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นความสนุกแบบนี้
อวิ๋นเยี่ยไม่สงสัยเลยสักนิดว่าผู้กำกับครั้งนี้คือคนที่กำลังนั่งอยู่หลังม่าน ตอนนี้เขาขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก ดูจากรอยยิ้มของจั่งซุนเขาก็รู้แล้วว่าวันนี้นางจะมาดูความสนุก
“ไอ้หนุ่ม ไม่อยากจะทำให้เจ้าลำบากใจ เจ้าแค่ใช้หญ้าบนพื้นแต่งบทกวีออกมาให้ข้าดูก็พอ” เหยียนจือทุยเบิกตาโตมองมาที่อวิ๋นเยี่ยราวกับตาวัว เขาไม่เชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยจะสามารถแต่งกวีจากหัวข้อที่เขาพูดออกไปตามอำเภอใจได้
ไม่อยากทำก็ต้องทำ จะวิ่งไปไหนก็ไม่ได้ ฉู่ซุ่ยเหลียงกับขงอิ่งต๋าดักอยู่ที่ประตู จั่งซุนเห็นอวิ๋นเยี่ยร้อนรนราวกับมดบนหม้อไฟก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ซินเย่วมองท่านพี่ด้วยความกังวล นางรู้สึกเป็นห่วงเขามากทีเดียว
“ต้นหญ้าเขียวชอุ่ม” อวิ๋นเยี่ยท่องประโยคแรกออกมา ในใจขอร้องให้อาจารย์ไป๋เหล่าให้อภัย เขาไม่มีทางเลือกจริงๆ คนพวกนี้กดดันเขาเกินไป
“ถูกต้อง ถือว่าตรงประเด็น ต้นหญ้าเขียวชอุ่มจริงๆ” เหยียนจือทุยหลับตาแสดงความคิดเห็น
“หนึ่งฤดูมีสีเหลือง”
“ประโยคนี้ก็ค่อนข้างตรงประเด็น หญ้ามักจะเ**่ยวเฉาปีละครั้ง ท่องต่อไป หากท่องสองประโยคถัดไปไม่ได้ ข้าจะลงไม้ลงมือแล้ว”
“ไฟป่าอันโหดเ**้ยมแผดเผาใบไม้แห้ง ลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านหญ้าก็กลับมาเขียวอีกครั้ง” อวิ๋นเยี่ยท่องสองประโยคสุดท้ายในครั้งเดียว ความโมโหบนใบหน้าของเหยียนจือทุยก็หายไปทันที เขาท่องกวีบทนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วก็พูดกับจั่งซุนที่อยู่หลังม่านว่า “ไอ้เจ้านี่แต่งกวีได้ไม่เลวเลยทีเดียว ฮองเฮาโปรดคลายความสงสัย กวีบทนี้สำหรับกระหม่อมแล้วมันคือกวี ‘นิราศเหลียงโจว’ ยิ่งเป็นกวีที่เรียบง่าย ที่จริงแล้วมันคือกวีที่ประณีตที่สุด ตอนที่แต่งกวีบทนี้ออกมา กระหม่อมพอใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเขาจะแต่งออกมาได้เช่นไร ถึงแม้ว่าจะเป็นหมูป่าที่โผล่ขึ้นมาจากพื้น แต่มันก็คือบทกวีที่ยิ่งใหญ่ในต้าถังของกระหม่อม”
จั่งซุนขอบคุณเหยียนจือทุย กัดฟันและพูดกับอวิ๋นเยี่ย “หากเจ้าแต่งกวีตามภาพวาดนี้ได้ ข้าถึงจะเชื่อ” เดิมทีจั่งซุนหมายความว่าภาพวาดเสือในห้องโถง แต่คิดดูแล้วไม่เหมาะสม นางจึงชี้ไปที่ภาพวาดดอกไม้และนกที่อยู่บนโต๊ะ ภาพวาดช่างดูมีชีวิตชีวา ภูเขาลำธารดอกไม้และนก ไม่มีโครงสร้าง ไม่มีกฎเกณฑ์ เป็นภาพวาดที่เรียบง่ายที่สุด นี่เป็นภาพวาดมงคลของจิตรกรในหมู่บ้าน ใครจะแต่งกวีจากภาพวาดนี้ได้กัน
ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยหดตัวเป็นซาลาเปา แม้แต่เหยียนจือทุยก็ยังเบิกตามองฮองเฮาจั่งซุน พึมพำพักหนึ่งและหลับตาลงอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจกับหัวข้อของฮองเฮาจั่งซุนสักเท่าไหร่
“ทำไม เจ้าทำไม่ได้หรือ อาจารย์ของเจ้าไม่เคยแต่งกวีเช่นนี้หรือ หากเจ้ามีความสามารถก็ลองแต่งออกมาให้ข้าดู” จั่งซุนแทบจะหัวเราะขึ้นฟ้า หากอาจารย์เฒ่าไม่อยู่ด้วย นางคงทำเช่นนั้นไปแล้ว
“มองดูภูเขาอันงดงามจากไกลๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ กลับไม่ได้ยินเสียงน้ำไหล ฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไปแล้วแต่ยังมีดอกไม้ที่สวยงาม คนเดินเข้าไปใกล้ๆ นกก็ไม่ตกใจบินหนี” อวิ๋นเยี่ยท่องสี่ประโยคนี้ออกมา กำมือขอร้องอ้อนวอนอย่าให้เขาแต่งกวีอีกเลย ช่างทรมานเหลือเกิน ต่อไปเขาจะไม่แต่งกวีอีกแล้ว