หลินหันเยียนเงยหน้าขึ้นมาทั้งน้ำตา แล้วมองไปที่ฮูหยินหลินด้วยสายตาไม่เข้าใจ

 

 

“ลุกขึ้นมา!” เมื่อเห็นว่านางไม่เข้าใจในความหมายของตน ฮูหยินหลินก็รีบร้อนตะคอกใส่นาง

 

 

หลินหันเยียนลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่”

 

 

“ไป!”

 

 

ฮูหยินหลินไม่พูดอะไรทั้งสิ้น รุดเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว

 

 

หลินหันเยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เดินออกจากเรือนตามไป หงเอ๋อร์ก็ไม่เข้าใจ แล้วจึงเดินตามออกไปเช่นกัน

 

 

เมื่อเข้ามาที่เรือนของพระชายาฉี หลิงหลงก็เห็นพวกนาง เลยออกมาต้อนรับ “ฮูหยินหลิน พวกท่าน…”

 

 

“ซู่อิงอยู่หรือไม่ ข้ามีเรื่องพบนาง”

 

 

“พระชายากำลังดูเด็กน้อยอยู่ อย่างนั้นฮูหยินหลินรอประเดี๋ยวก่อนค่อยมาใหม่ได้หรือไม่” หลิงหลงปฏิเสธอ้อมๆ

 

 

ฮูหยินหลินได้ยินดังนั้นก็รู้ว่านางต้องการสื่ออะไร แต่ก็ไม่ได้สนใจ ตะโกนเข้าไปด้านในจวน “ซู่อิง ข้ามาถึงจวนอ๋องแต่เจ้ากลับไม่ออกมาพบข้า เช่นนี้เจ้ากำลังหยามข้าอยู่อย่างนั้นหรือ”

 

 

เด็กน้อยทั้งสองคนกำลังผล็อยหลับไปในอ้อมอกของอ๋องฉีและพระชายาฉี เมื่อได้ยินเสียงตะโกนนี้ ตัวก็กระตุกเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมา

 

 

สีหน้าอ๋องฉีไม่พอใจเป็นอย่างมาก รอบตัวแผ่ความเกรี้ยวโกรธออกมา อ้าปากอยากที่จะออกคำสั่งให้องครักษ์เงาจับตัวฮูหยินหลินออกไป

 

 

พระชายาฉีหูตาไวก็ห้ามเขาเอาไว้ได้ทัน ส่ายหน้าให้กับอ๋องฉี คนทั้งเมืองต่างรู้ว่านางและเตี๋ยชิงมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นดีงามต่อกัน ถ้าให้คนจับตัวนางออกไปตอนนี้ เกรงว่าทุกคนจะคิดว่าเป็นเพราะจวนราชเลขากำลังจะล้ม จวนอ๋องจึงเห็นพวกนางกลายเป็นคนไร้ค่าไปเสียแล้ว

 

 

“ให้นางไปไกลๆ เสีย” น้ำเสียงของอ๋องฉีไม่พอใจเป็นอย่างมาก

 

 

พระชายาฉีตอบรับอย่างเบาๆ แล้วเอาเด็กวางลงบนรถเข็นเด็ก ออกไปต้อนรับ แล้วยิ้มแย้มทักทายว่า “ข้าเตรียมจะไปหาเจ้าวันพรุ่งนี้ คิดไม่ถึงว่านี่ก็ดึกแล้วเจ้าจะมา ไปกันเถอะ พวกเราไปคุยกันที่ห้องรับแขกเถิด”

 

 

ฮูหยินหลินข่มตัวเองแล้วข่มตัวเองอีก บอกกับตนเองว่าอย่าวู่วาม แต่ก็ยังไม่สามารถข่มเอาไว้ได้ หลุดพูดออกมาว่า “นี่ ใช่สิ หงส์จะมาเทียบกับกาได้อย่างไร เมื่อก่อนที่ข้ามาที่นี่ มีครั้งไหนที่ไม่ไปพูดคุยที่ห้องของเจ้าบ้าง มาวันนี้เหตุใดถึงไม่ได้แล้วล่ะ”

 

 

“อ๋องฉีอยู่ในห้องน่ะ ไม่สะดวกจริงๆ พวกเราไปคุยกันที่ห้องรับแขกเถิด” พระชายาฉียิ้มแล้วพูดเพื่อไม่ให้ไปกันใหญ่

 

 

ฮูหยินหลินก็รู้สึกผิดในสิ่งที่ตนพูดออกไป เมื่อได้ยินพระชายาฉีพูดเช่นนั้น ก็รีบแถว่า “ที่ข้าพูด ก็เพราะเห็นว่าพวกเราก็รู้จักกันมากว่าสิบปีแล้ว เจ้าก็ไม่น่าทำเรื่องอะไรที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราขุ่นหมองหรอก ข้าปากไวไปเอง ผู้ใหญ่อย่าถือสาผู้น้อยเลย เจ้าอย่าคิดมากไปเลย”

 

 

พระชายาฉีไม่พูดอะไร ก็มุ่งไปที่ห้องรับแขกทันที

 

 

ฮูหยินหลินและหลินหันเยียนตามอยู่ด้านหลัง

 

 

ในจวนเงียบสงบ อ๋องฉีตะโกนเรียก “องครักษ์!”

 

 

องครักษ์เงาก็ออกมาทันที “ขอรับนายท่าน”

 

 

“ไปจับตาดูไว้ ถ้าหากว่านางกล้าโวยวายไร้สาระใส่พระชายา ก็จับนางออกไปได้เลย”

 

 

องครักษ์เงาตอบรับ แล้วรีบไปที่ห้องับแขกอย่างรวดเร็ว

 

 

นั่งลง แล้วสั่งให้คนยกน้ำชา พระชายาเป็นห่วงก็แต่เด็กน้อยทั้งสอง ไม่มีเวลามานั่งพร่ำเพรื่อ จึงถามตรงๆ ถึงประเด็นเลยว่า “เตี๋ยชิง เจ้ามาที่นี่ดึกดื่นมีเรื่องอันใดกัน”

 

 

ข้ามีเรื่องอะไรเจ้าจะไม่รู้งั้นหรือ ฮูหยินหลินแอบบ่นในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา แล้วยิ้มตอบกลับไปว่า “ซู่อิง พวกเรามาเปิดใจคุยกันดีกว่า เจ้าคงรู้ถึงสถานการณ์ของจวนข้าแล้ว วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อที่จะให้เจ้าช่วยข้าขอร้องเสียหน่อย ให้ซื่อจื่อออมมือ ละเว้นนายท่านของพวกเรา เห็นแก่ที่เขาเคยเป็นราชเลขากรมทหารมาแต่เก่า วันนี้เขามาถึงจุดที่โดนกักขังกุมตัว อย่าพูดถึงจิตใจของเขาเลย จิตใจของข้าก็รับไม่ได้เช่นกัน”

 

 

“เรื่องนี้เกรงว่าข้าจะช่วยเจ้าไม่ได้” พระชายาฉีปฏิเสธ “เวลาที่เซวียนเอ๋อร์ทำเรื่องอันใดเขามีความคิดของเขา ข้าไม่สามารถก้าวก่าย และจะไม่ก้าวก่ายด้วย”

 

 

“นี่เจ้า…” ฮูหยินหลินก็ชะงักไป นางกลายเป็นคนที่พูดอะไรไม่ออกไปได้เสียเมื่อไร วันนี้นางกลายเป็นเสือที่โดนสุนัขขย้ำได้แต่อย่างใดกัน ขนาดน้ำใจแค่นี้ยังให้นางไม่ได้

 

 

หายใจเข้าลึกๆ แล้ว หายใจเข้าลึกๆ อีกพยายามที่จะกดความโกรธที่อยู่ภายในใจเอาไว้ สีหน้าก็ยังคงรักษารอยยิ้มอยู่ดังเดิม “ซู่อิง ถ้าหากว่าเจ้าไม่เห็นแก่หน้าของข้า ก็เห็นแก่หน้าของเยียนเอ๋อร์เสียหน่อยเถิด นางกับคุณชายรองกลายเป็นคู่สามีภรรยากันแล้ว อีกไม่นานก็จะแต่งงานกัน ถ้าหากว่าคนเอาไปพูดว่าลูกเขยตระกูลหลิน คุณชายรองแห่งจวนอ๋องกับซื่อจื่อพี่ชายของเขา บังคับขู่เข็ญให้ลูกชายกักตัวพ่อของเขาเอาไว้ ไม่ทราบว่าฮ่องเต้จะคิดเช่นไร ขุนน้ำขุนนางต่างๆ ในราชสำนักจะคิดเห็นอย่างไร ทุกคนรู้จะคิดเช่นไร”

 

 

พระชายาฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ชิงเตี๋ย เจ้าอย่าคาดเดาสุ่มๆ ไปเองเลย ตอนนี้อวี้เอ๋อร์เป็นคนดูแลกิจการของจวนอ๋อง ไม่ได้มีความคิดที่จะเข้าราชสำนัก เพราะฉะนั้นเรื่องเช่นนี้เขาจะไม่มีทางข้องเกี่ยวแน่ อีกอย่าง ที่เซวียนเอ๋อร์จะให้กักขังหลินฉงเหวิน เพราะว่าหลินฉงเหวินสติฟั่นเฟือนไปจากเดิม ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป จะเกิดเรื่องใหญ่ได้ คงจะต้องปิดจวนหลินเป็นแน่ ดังนั้น… …”

 

 

เมื่อเห็นว่าพระชายาฉีไม่ให้ความช่วยเหลือ ฮูหยินหลินก็ไม่ปั้นหน้าอีกต่อไป แล้วพูดแทรกนางขึ้นมาว่า “เจ้าไม่ต้องหาคำพูดอะไรมาสาธยายอีกแล้ว อะไรที่บอกว่าสติฟั่นเฟือน ข้าอยู่ข้างกายท่านพี่ตลอดเวลา เหตุใดข้าถึงไม่รู้ ข้ารู้หรอกว่าเป็นเพราะตอนแรกพวกข้าไม่ได้ตอบรับการถอนหมั้นแต่โดยดี พวกเจ้าเลยใช้โอกาสนี้แก้แค้นพวกเราก็เท่านั้น”

 

 

พระชายาฉีลุกขึ้นยืน “เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะมาอยู่กับเยียนเอ๋อร์สักระยะหนึ่ง พวกเราจะต้อนรับอย่างดีที่สุด แต่ถ้าหากมาขอความช่วยเหลือ ก็ต้องขอโทษด้วย ไม่สามารถช่วยได้จริงๆ ตอนนี้เด็กๆ ผวาร้องไห้ตอนนอน ท่านอ๋องคนเดียวเอาไม่อยู่ ข้าต้องกลับแล้ว”

 

 

เมื่อพูดจบ ก็เดินออกไป

 

 

ฮูหยินหลินก็ลุกขึ้น แล้วเดินไปขวางทางพระชายาฉี แล้วขู่ว่า “ซู่อิง ถ้าหากว่าวันนี้เจ้าไม่ช่วยข้า วันพรุ่งข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าไทเฮา ให้นางเป็นผู้ตัดสิน”

 

 

สีหน้าของพระชายาฉีก็นิ่ง “ตามใจ ขอแค่ให้เจ้าเข้าเฝ้าไทเฮาได้ก็พอ”

 

 

ฮูหยินหลินโกรธจนแทบกระอักเลือด ฐานะของนางในวันนี้ อย่าว่าแต่เข้าวังเลย เกรงว่าประตูวังยังจะเข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

 

พระชายาฉีไม่สนใจนางอีกต่อไป เดินอ้อมตัวนางแล้วเดินออกมา

 

 

เห็นว่าเดินจะถึงประตูอยู่แล้ว ฮูหยินหลินก็ตะเบ็งเสียงว่า “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

 

 

พระชายาฉีไม่ฟัง แล้วเดินออกไป

 

 

ฮูหยินหลินก็เดินตามไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมือเอื้อมไปถึงบ่าของพระชายาฉี ก็มีเงาดำๆ พุ่งมาจากทางด้านนอก นำตัวของฮูหยินหลินออกไป

 

 

“ท่านแม่!” หลินหันเยียนที่เห็นทุกกอย่างก็ร้องออกมา รีบวิ่งตามไปโดยทันที แล้วโบกมือบอกว่า “เจ้าจะทำอะไร ปล่อยแม่ของข้าเดี๋ยวนี้นะ”

 

 

ฮูหยินหลินก็ร้องเรียกออกมาเช่นเดียวกัน แล้วใช้กำปั้นของตนทุบคนเสื้อดำ แล้วพูดว่า “เจ้าจะทำอะไร ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”

 

 

มือของคนเสื้อดำก็ยังจับมือของนางอยู่ไม่ปล่อย หันหลังไปจับหลินหันเยียนมาด้วย

 

 

เขาไม่ขยับเลยสักนิด หลินหันเยียนก็ถอยหลังลงไป ตึกๆๆ

 

 

คนเสื้อดำก็จับคนเดินออกไปด้านนอก

 

 

พระชายาฉีก็ห้ามเขาไว้ “ปล่อยเดี๋ยวนี้!”

 

 

คนเสื้อดำคือองครักษ์เงา โดนฝึกมาตั้งแต่เล็กว่าให้ฟังคำสั่งแค่เจ้านายของตนเท่านั้น ถ้าเป็นแต่ก่อน เขาก็จะทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วจับคนออกไป แต่ว่าเนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนว่าพระชายาฉีจะใหญ่กว่าท่านอ๋อง ถ้าหากว่าเขาไม่ฟังคำสั่งล่ะก็ พระชายาฉีเอาไปฟ้องท่านอ๋อง ตนก็จะหมดหนทางทำมาหากินแน่นอน จึงหยุด แล้วปล่อยมือฮูหยินหลิน

 

 

ฮูหยินหลินนั่งกองลงกับพื้น แล้วหอบไม่หยุด

 

 

หลินหันเยียนรีบเข้ามาพยุงตัวนางขึ้น “ท่านแม่เจ้าคะ”

 

 

หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “พระชายา!” ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวโกรธกล่าวโทษ คนที่มีหูต่างก็ฟังออก

 

 

พระชายาฉีแอบถอนหายใจ คิดว่าหลังจากนี้ เกรงว่าเยียนเอ๋อร์จะมีอคติกับตน ก็จ้องไปที่หลินหันเยียน แล้วพูดว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าพยุงแม่ของเจ้าไปพักที่เรือนเสียก่อน ส่วนเรื่องจวนหลิน ข้าก็ยังยืนยันคำเดิม ข้าไม่สามารถช่วยได้”

 

 

หลินหันเยียนเม้มปาก สายตามีความโกรธเคือง ภายใต้คืนที่มืดมิด พระชายาฉีมองไม่ชัดแต่ก็รู้สึกได้ จึงถอนหายใจออกมา แล้วไม่สนใจนางสองแม่ลูกอีก หันหลังเดินกลับไปที่จวนของตนเอง

 

 

ฮูหยินหลินยืนอยู่กับที่ สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น ถ้าหากว่าไม่มีองครักษ์เงาที่คอยจ้องจะเขมือบอยู่ข้างๆ ล่ะก็ จะต้องมีเรื่องกับพระชายาฉีให้ได้เป็นแน่ นังซู่อิง มีฐานะตำแหน่งสูงกว่าตนตั้งแต่ยังเด็ก ตนคิดหาวิธีที่จะได้ใกล้ชิดนาง ทำดีกับนาง เสแสร้งใส่นาง ตอนแรกก็เอาลูกของตนที่ยังไม่คลอดมาตบปากรับคำจะให้แต่งงาน ก็คิดเพียงแต่ว่าจะมีสักวันหนึ่ง ตัวเองเดือดร้อน จากนิสัยของนางแล้ว จะต้องให้การช่วยเหลือแน่นอน แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า สุดท้ายแล้วจะสูญเปล่า ตนเองกลับไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง แถมยังทำให้นางไม่พอใจอีก ทำให้ลูกของนางมาแก้แค้นจวนหลิน แค้นนี้นางจำฝังใจ นางจะต้องหาโอกาสแก้แค้นให้ได้อย่างแน่นอน

 

 

พระชายาฉีหายไปแล้ว สองแม่ลูกก็เก็บสายตาของตน หลินหันเยียนพยุงฮูหยินหลิน “ท่านแม่ ไปกันเถอะ”

 

 

หงเอ๋อร์รีบเข้ามาช่วยพยุง

 

 

ฮูหยินหลินตกใจจนแทบทรุด ทั้งสองคนต้องพยุงเดินออกไป

 

 

สายตาขององครักษ์เงาคมเยี่ยงมีด มองทั้งสามคนตลอดเวลา เมื่อเห็นพวกนางหายไปจากห้องรับแขกแล้ว ถึงกลับไปที่เรือนของพระชายาฉี แล้วหายตัวกลับไปที่ลับของตน

 

 

 

 

ณ จวนหลิน

 

 

สาวใช้ที่ดูแลฮูหยินหลิน หลังจากที่ฟังคำสั่งของพ่อบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาที่จวน พบว่าฮูหยินหลินไม่อยู่แล้ว ก็ตกใจเป็นอย่างมากจึงรีบไปรายงานพ่อบ้าน

 

 

พ่อบ้านได้ยินดังนั้น เหงื่อก็ไหลออกมา รีบวิ่งไปบอกข่าวกับหลินจ้งโดยทันที

 

 

หลินจ้งสองสามีภรรยานั่งอยู่ที่ห้องรับแขกไม่ขยับ กำลังครุ่นคิดว่าต่อไปจำทำเช่นไรดี เมื่อฟังคำรายงานของพ่อบ้านแล้ว ก็ตกใจจนลุกขึ้นยืน รีบวิ่งไปที่จวนที่กักตัวของหลินฉงเหวินทันที

 

 

บอกว่ากักตัว แต่แท้จริงแล้วก็แค่กุมตัวหลินฉงเหวินไม่ให้ใช้กำลัง ให้คนคอยดูตลอดเวลาเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นก็เหมือนเดิมทุกประการ ก็ยังคงอยู่ที่จวนเดิม กินนอนก็ยังเหมือนเดิม เมื่อเห็นหลินจ้งเข้ามา หลินฉงเหวินที่สติไม่ดีก็กำเริบพุ่งตัวเข้าไปหาหลินจ้ง แล้วด่าทอว่า “เจ้าลูกเนรคุณ ในเมื่อกล้าคุมตัวข้า ข้าก็จะบีบคอเจ้าให้ตาย”

 

 

พ่อบ้านย่อมไม่ให้เขาเข้าถึงตัวหลินจ้งได้อยู่แล้ว สองคนพุ่งตัวเข้ามา หยุดเขาเอาไว้

 

 

หลินฉงเหวินไม่ยอม “เจ้าลูกเนรคุณ เจ้าทำเรื่องเดรัจฉานเช่นนี้ จะต้องได้รับกรรมที่เจ้าก่อไว้แน่นอน”

 

 

“ท่านพ่อ!” หลินจ้งพูด น้ำเสียงมีความเจ็บปวดรวดร้าว “ถ้าหากท่านยังดึงดันคิดไม่ได้เช่นนี้ เกรงว่าจวนหลินจะต้องล่มสลายไปกับท่านอย่างแน่นอน”

 

 

ฮาๆๆ หลินฉงเหวินแหงนหน้ามองฟ้าแล้วหัวเราะ “จวนหลินนี้ข้าสร้างมันขึ้นมากับมือ มันจะต้องล่มสลายด้วยมือของข้าอยู่แล้ว”

 

 

“ท่านไม่คิดถึงร้อยชีวิตในจวนเลยอย่างนั้นหรือ” หลินจ้งถามด้วยความเจ็บปวด

 

 

“ชีวิตที่ไร้ค่าของพวกมันข้าเป็นคนให้ ข้าให้มันมีชีวิต มันก็ต้องมีชีวิต ถ้าข้าให้มันตาย มันก็ต้องตาย”

 

 

เห็นหลินฉงเหวินที่กำลังเป็นบ้า หลินจ้งก็แทบจะหมดแรง หลับตา แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ไม่สนใจเสียงด่าทอของหลินฉงเหวินอีก ทั้งในนอกจวน ก็หาทั่วแล้ว ก็หาไม่พบ จนกระทั่งเห็นบันไดเล็กๆ ในใจก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงออกคำส่งพ่อบ้าน “ให้คนในจวนออกไปตามหาฮูหยินเดี๋ยวนี้”

 

 

พ่อบ้านตอบรับ แล้ววิ่งเหยาะๆ ออกไปออกคำสั่ง

 

 

ส่งคนออกในจวนออกไปตามหาจำนวนมาก หาเป็นระยะเวลานาน แต่ก็หาไม่เจอ

 

 

หลินจ้งร้อนรนกลับไปที่ห้องรับแขกเดินไปเดินมา ในหัวมีแต่ความคิดที่ไม่ดีเกิดขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังร้อนรนอยู่นั้น พ่อบ้านก็พาโจวอันเข้ามา โจวอันก็พูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ฮูหยินหลินไปที่จวนอ๋อง ซื่อจื่อเฟยมีคำสั่งให้คุณชายหลินส่งคนไปรับกลับด้วย”

 

 

จิตใจของหลินจ้งก็สงบลง ท่านแม่หายตัวไปตั้งหลายชั่วยาม ซื่อจื่อเฟยเพิ่งจะส่งคนมาบอก เกรงว่าจะก่อเรื่องอะไรที่ในจวนอย่างแน่นอน คิดได้เช่นนี้ ก็ขอบคุณโจวอัน รอให้โจวอันกลับไปก่อน ก็รีบสั่งให้คนจูงม้ามา กระโดดขึ้นหลังม้า แล้วรีบมาที่จวนอ๋อง ลงจากม้า โยนเชือกจูงม้าทิ้ง แล้วมุ่งตรงเข้าไปยังด้านใน

 

 

โจวอันมารออยู่ที่ด้านหน้าจวน พูดว่า “คุณชายหลิน ฮูหยินหลินอยู่ที่เรือนของคุณชายรอง ซื่อจื่อเฟยออกคำสั่งว่าเมื่อท่านมาแล้วให้ไปที่นั่น ไม่ต้องเข้าไปหาซื่อจื่อกับนาง”

 

 

หลินจ้งพยักหน้า “ช่วยขอบคุณซื่อจื่อเฟยแทนข้าด้วย”

 

 

แล้วรีบเดินมาที่จวนของหวงฝู่อวี้อย่างรวดเร็ว

 

 

ฟ้ามืดแล้ว ในห้องส่องสว่างด้วยแสงตะเกียง เงาในหน้าต่างมีเงาของคนสองคน เสียงของฮูหยินหลินที่ดังออกมาไม่หยุด “เยียนเอ๋อร์ เจ้าฟังให้ดี นับแต่นี้เจ้าเป็นเมียของคุณชายรองแล้ว จะต้องยืดอกตรงเข้าไว้ จะต้องไม่ให้พวกนางมากดเจ้าได้ มิเช่นนั้น กระทั่งแม่ก็จะไม่ได้รับความเคารพจากพวกนาง ดูจากวันนี้เจ้าก็น่าจะเข้าใจแล้ว… …”

 

 

หลินจ้งใจหล่นลงไปยันตาตุ่ม เรื่องที่กังวลมาตลอดได้เกิดขึ้นแล้ว ท่านแม่มาล้างสมองน้องเล็กนี่เอง

 

 

หงเอ๋อร์ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเห็นหลินจ้งเข้า ก็ตะโกนออกมาด้วยความตกใจว่า “คุณชาย!”

 

 

ในห้องไม่มีความเคลื่อนไหว ฮูหยินหลินได้ยินดังนั้น ว่าหงเอ๋อร์ตะโกนว่าหลินจ้ง ก็รีบลุกขึ้นยืน วิ่งไปที่ประตูจวน อยากจะปิดประตู ห้ามไม่ให้หลินจ้งเข้าไป แล้วรีบตะโกนไปที่หงเอ๋อร์ว่า “อย่าให้เจ้าเนรคุณนั่นเข้ามาเป็นอันขาด”