บทที่ 1407 ตลาดผี (1) Ink Stone_Fantasy
หมายความว่าอย่างไร?
ภายในตำหนัก เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก ใครๆ ก็รู้ว่าทั้งสองไม่ลงรอยกัน เบื้องบนกลับเลือกให้ทั้งสองไปปฏิบัติภารกิจลับที่ตลาดมืด ล้อเล่นอะไรกัน?
“ทำไมต้องเป็นพวกเราสองคนคะ?” จ้านหรูอี้อดไม่ได้ที่จะกุมหมัดคารวะถาม
“ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเลือกพวกเจ้าสองคน แต่เบื้องบนไม่ได้คำตอบ” เนี่ยอู๋เซี่ยวตอบ
“ไม่ทราบว่าเป็นภารกิจอะไรขอรับ?” เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง
เนี่ยอู๋เซี่ยวส่ายหน้า “ไม่รู้สิ หลังจากไปที่นั่นแล้ว จะมีคนติดต่อกับพวกเจ้าเอง ถึงตอนนั้นจะอธิบายรายละเอียดของภารกิจให้พวกเจ้ารู้ ภารกิจครั้งนี้ไม่สะดวกจะนำคนไปเยอะเกินไป ต่างคนต่างเลือกกำลังพลไปห้าพันแล้วกัน นอกจากนี้ ต้องเก็บเรื่องภารกิจนี้เป็นความลับด้วย”
“ที่ทะเลดาวสับสนพวกเราโดนปลดอาวุธไป ไม่ทราบว่าเบื้องบนจะแจกรางวัลหรือเปล่าคะ?” จ้านหรูอี้ถามอย่างไม่แน่ใจ
เนี่ยอู๋เซี่ยวตอบว่า “ไม่ใช่แค่พวกเจ้าที่ได้รับความเสียหาย แต่นั่นคือเครื่องมือของกำลังพลเก้าล้าน เสียของไปรวดเดียวเยอะขนาดนั้น เบื้องบนเติมลงมาไม่ทัน ถ้าขาดของอะไรก็ยืมลูกน้องคนอื่นมาใช้แก้ขัดก่อนแล้วกัน ถึงยังไงตอนนี้กำลังพลเบื้องล่างคนอื่นๆ ของพวกเจ้าก็ยังไม่มีภารกิจอะไร”
ให้เวลาทั้งสองคนเตรียมตัวสามวัน หลังจากสามวันก็จะต้องออกเดินทางแล้ว
พอออกจากกองมังกรดำ ตอนที่เดินลงจากบันไดภูเขา จู่ๆ จ้านหรูอี้ที่เดินมาด้วยกันก็บอกว่า “ขอบคุณนะ!”
“หืม?” เหมียวอี้หันซ้ายหันขวา พอไม่เห็นว่ามีคนอื่น ก็จ้องจ้านหรูอี้ด้วยสายตาฉงน เหมือนกำลังถามว่า ‘กำลังพูดกับข้าอยู่เหรอ?’
“ขอบคุณเจ้าเรื่องครั้งก่อน” จ้านหรูอี้พูดอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ
“เรื่องอะไร?” เหมียวอี้สงสัย
ทำไมตอบสนองช้าแบบนี้ล่ะ? จ้านหรูอี้พึมพำในใจ ทำได้เพียงอธิบายอย่างจริงจังว่า “ที่ทะเลดาวสับสนครั้งก่อน ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า”
ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะขอบคุณข้า นึกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกเสียแล้ว! เหมียวอี้ฝืนยิ้มพร้อมตอบว่า “เป็นเรื่องที่ง่ายไม่เปลืองแรง”
จ้านหรูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกอีกว่า “เรื่องก่อนหน้านี้ข้าทำเกินไปจริงๆ ถ้ามีจุดไหนที่ล่วงเกิน ข้าก็ขออภัยเจ้าตรงนี้เลย หวังว่าจะไม่เก็บมาใส่ใจ ตั้งแต่นี้ไปเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม[1] ไม่ทราบว่าพี่หนิวคิดว่ายังไง?”
“ต้องการแบบนั้นมากๆ!” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ แต่ในใจกลับสงสัย ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้เคยขอโทษมาก่อนล่วงหน้าแล้ว เขาคงสงสัยนิดหน่อยว่าผู้หญิงคนนี้กินยาผิดมาหรือเปล่า
หลังจากลงเขาแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป จ้านหรูอี้หยุดเดินและมองเหงาหลังเหมียวอี้เดินจากไป สีหน้าของนางดูสับสนเล็กน้อย เรื่องบางเรื่องตอนยังไม่รู้ก็ยังดีๆ อยู่ แต่หลังจากรู้แล้วก็ก็ทำให้คนว้าวุ่นใจ
หลังจากเกิดเรื่องที่ทะเลดาวสับสน คนในบ้านก็เรียกได้ว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกสาวพอสมควร ไม่แคล้วต้องถามนางว่าเรื่องเป็นอย่างไร หลังจากได้รู้ว่าเหมียวอี้ไม่ถือสาเรื่องในอดีตและช่วยชีวิตลูกสาวตัวเองไว้ อิ๋งลั่วหวนก็ชื่นชมเหมียวอี้มาก เก็บความลับไม่ได้ไปชั่วขณะ บอกความจริงให้ลูกสาวฟัง
หลังจากได้ทราบว่าท่านตาอ๋องสวรรค์อิ๋งต้องการให้ตนกับเหมียวอี้กลายเป็นสามีภรรยากัน ก็บอกไม่ถูกเลยว่าจ้านหรูอี้สุดจะทนขนาดไหน รู้สึกปั่นปั่นป่วนราวกับมีกวางมาวิ่งในใจ เพราะว่านางรู้ดี ว่าไม่ว่าจะเป็นตระกูลจ้านหรือตระกูลอิ๋ง ทุกอย่างล้วนอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในเมื่อท่านตาตัดสินใจแบบนี้แล้ว ทั้งสองตระกูลก็ไม่มีใครขัดขวางได้ นั่นก็หมายความว่าในไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องกลายเป็นผู้หญิงของหนิวโหย่วเต๋อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รู้ว่าอิ๋งลั่วหวนผู้เป็นมารดาไปดูตัวลูกเขยที่ธงพยัคฆ์ดำด้วยตัวเองมาแล้ว ทั้งยังพอใจว่าที่ลูกเขยคนนั้นมากด้วย เรียกได้ว่าทำให้จ้านหรูอี้อับอายไม่เลิกจริงๆ นางคับแค้นใจมารดาตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าหมดแล้ว แต่ตอนที่รู้ว่าเหมียวอี้ไม่รู้เจตนาของมารดาตัวเอง และมารดาก็ไม่ได้บอกความจริงกับเหมียวอี้ จิตใจที่วิตกกังวลของจ้านหรูอี้ถึงได้สงบลง ไม่อย่างนั้นต่อไปก็ไม่รู้ว่าในภายหลังจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร
ทว่าช่วงเวลาหลายวันหลังจากกลับมาจากทะเลดาวสับสน นางก็จิตใจว้าวุ่นมาตลอด มักจะเหม่อลอยอยู่บ่อยๆ นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายตัวเองกับเหมียวอี้จะเดินมาถึงขั้นที่กลายเป็นสามีภรรยากัน นางคิดถึงเหมียวอี้อย่างละเอียดอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่เป็นศัตรูกัน ถ้ามองเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ก็เหมือนจะไม่ได้แย่เหมือนกัน ถ้าไม่นับเรื่องภูมิหลังวงศ์ตระกูล ทั้งสองก็นับว่าเหมาะสมกันมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับตน จะรังเกียจตนหรือเปล่า ถึงอย่างไรทั้งสองก็เคยขัดแย้งกันมาก่อน
หลังจากเกิดเรื่องระดับนี้ขึ้น จู่ๆ จ้านหรูอี้ก็พบว่าการที่ตัวเองได้รับความอัปยศจากน้ำมือเหมียวอี้ก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่รับได้ยากอะไร ในภายหลังเมื่อกลายเป็นสามีภรรยากันแล้ว จากศัตรูกลายเป็นสามีภรรยากันอาจจะกลายเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจก็ได้ ในอนาคตถ้าเล่าให้ลูกหลานตัวเองฟังก็จะต้องเป็นความทรงจำที่งดงามแน่นอน
เรื่องราวยังไม่ทันเริ่มขึ้นเลย นางคิดมากเกินไปหน่อย…
หลังจากนั้นสามวัน ทั้งสองก็จัดเตรียมกำลังพลออกเดินทางอย่างลับๆ คนที่ติดตามเหมียวอี้ไปยังคงเป็นเหยียนซิวกับหยางเจาชิง
ระหว่างทาง เพื่อที่จะไม่ดึงดูดสายตาคน ทั้งหมดล้วนปลอมตัวแล้ว ต่างคนต่างเก็บกำลังพลห้าพันของตัวเองซ่อนไว้ในกระเป๋าสัตว์
สถานที่ที่จะต้องไปในครั้งนี้ เหมียวอี้ก็ไม่ได้ไปเป็นครั้งแรกเช่นกัน แดนรัตติกาล เขาภูตพเนจร!
เขาภูตพเนจรเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดจากทั้งเก้าโลก เรียกได้ว่าใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของเก้าโลก นั่นไม่ใช่ความใหญ่ธรรมดา ในปีนั้นเขาเคยติดตามโค่วเวินหลานไปปรายเฮยอวี้มาก่อน เพียงแต่ไม่เคยไปตลาดผีของเขาภูตพเนจร ตลาดผีของเขาภูตพเนจรก็เป็นตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาทั้งเก้าโลกเช่นกัน และเป็นสถานที่ที่เหมียวอี้มาปฏิบัติภารกิจลับด้วย
ระยะทางห่างไกลมากแท้ๆ แต่กลับมองเห็นดวงดาวขนาดใหญ่ที่โดนปกคลุมตั้งแต่อยู่ไกลๆ จ้านหรูอี้ที่เหาะอยู่ด้วยกันหันกลับมาถามเหมียวอี้ “ได้ยินว่าเจ้าเคยมาที่เขาภูตพเนจรเหรอ เจ้าคุ้นเคยกับที่นี่หรือเปล่า?” นางเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก
“ถูกกำหนดพื้นที่ให้มาปราบโจร ไม่เคยเพ่นพ่านไปทั่วหรอก ไม่คุ้นเคย” เหมียวอี้ส่ายหน้า เขาพบว่าหลังจากผู้หญิงคนนี้โดนเขาสร้างความอับอายให้ครั้งเดียว ก็มีความเปลี่ยนแปลงเยอะมากจริงๆ มักเป็นฝ่ายมาสื่อสารกับเขาก่อน
แต่เขาก็ไม่ใช่มือใหม่ที่เพิ่งเดินเข้าสู่แดนฝึกตน ยิ่งเกิดสถานการณ์แบบนี้ก็ยิ่งแอบระวังตัว แต่ภายนอกยังรับมืออย่างสุภาพเกรงใจ
เหมือนกับตอนแรกที่เคยมา ที่นี่เต็มไปด้วยเขาหลายลูกที่เชื่อมต่อกัน ดวงอาทิตย์กระพริบส่องแสงอยู่บนท้องฟ้าไกลๆ ส่องแสงที่อ่อนสลัวให้กับดาวเคราะห์ดวงนี้ ทำให้ทุกหย่อมหญ้าตกอยู่ในสภาพมืดครึ้มตลอดเวลา ขมุกขมัวตลอดกาล เหมือนจะแจ่มชัดแต่ก็ไม่แจ่มชัด
คนกลุ่มนี้เหยียบลงในภูเขาที่รกร้าง ตรงจุดทั้งใกล้และไกลมีภูตผีกึ่งโปร่งแสงกลุ่มหนึ่งโผล่เข้ามาใกล้ทันที ยื่นมือเข้ามาขอทาน “ทำบุญหน่อย ทำทานหน่อยเถอะ!”
แค่มองปาดเดียวก็รู้ว่ามาขอทานทรัพยากรฝึกตน จ้านหรูอี้ก็มองเหมียวอี้ที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง แล้วคว้ายาแก่นเซียนกำหนึ่งเตรียมจะสาดออกไป แต่ใครจะคิดว่าจะโดนลูกน้องที่ติดตามมาด้วยห้ามไว้ ลูกน้องอธิบายอย่างเรียบง่ายมาก บอกว่าถ้านางให้ไป ก็จะมีภูตผีอีกนับไม่ถ้วนกรูกันเข้ามาเกาะแกะพัวพันกับนางทันที ถึงตอนนั้นถ้าเจ้าไม่หนี เจ้าก็ต้องเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่
ยังโชคดี ตรงจุดไกลๆ มีนักพรตผีที่ที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิตหน้าขาวยืนศีรษะออกมาสำรวจทางนี้พักหนึ่ง แล้วก็เหาะเข้ามา โบกมือไปทางซ้ายทางขวาเพื่อฆ่าภูตผีพวกนั้นให้ ทำให้กลุ่มภูตผีตกใจจนหนีหัวซุกหัวซุน
บัณฑิตหน้าขาวเป็นคนของตำหนักสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าปลอมตัวมาแล้ว เขาใส่หนังปลอมบนใบหน้า หลังจากทั้งสองฝ่ายส่งสัญญาณลับให้กัน อีกฝ่ายก็มอบแผ่นหยกให้แผ่นหนึ่ง บอกใบ้ให้ทั้งคู่ไปหาผู้จัดการกู่ตัวกุ้ยของโรงเตี๊ยม ‘มีหนึ่งห้อง’ ที่ตลาดผี ทางนั้นจะมอบหมายเรื่องที่ต้องทำต่อไป
บัณฑิตหน้าขาวเป็นผู้นำทาง พาคนกลุ่มนี้ไปยังจุดที่อยู่ห่างจากตลาดผีร้อยลี้แล้วก็บอกลา
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ให้กำลังพลส่วนใหญ่เฝ้าอยู่ที่เดิม แล้วต่างคนก็ต่างพาลูกน้องสองคนเดินทางตามแม่น้ำขึ้นไปบนยอดเขาที่อยู่ห่างจากตรงนั้นร้อยลี้ ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือแอ่งกระทะขนาดใหญ่มาก เพียงแต่ในแอ่งกระทะมียอดเขาตั้งอยู่ทั้งเล็กทั้งใหญ่ เพียงแต่ไม่สูงเท่าสภาพพื้นดินที่อยู่โดยรอบก็เท่านั้นเอง
โคมไฟระยิบระยับราวกับดาราจักรมีอยู่ทั่วแอ่งกระทะ เป็นโคมไฟหลากสีสัน สลับสีกันแพรวแพรว เป็นภาพที่สวยงามมาก แม่น้ำสายหนึ่งแบ่งเป็นสามสาขายาวคดเคี้ยวผ่านแอ่งกระทะ แล้วก็ไปบรรจบกันที่อีกฝั่งหนึ่งของแอ่งกระทะที่อยู่ไกลๆ ยอดเขาทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านพวกนั้นคงจะถูกขุดจนกลวงหมดแล้ว ในห้องถ้ำที่สร้างไม่ซ้ำแบบใครมีโคมไฟสีต่างๆ แทรกซึมออกมา
มองจากที่ไกลๆ เหมือนสงบ แต่พอฟังดูเงียบๆ ก็มีเสียงดังเอะอะโวยวาย แต่ก็ดูเหมือนมีคนไม่เยอะเท่าไร และสำหรับทั้งสองที่ทำการบ้านมาล่วงหน้าแล้วไม่น้อย ความสงบเงียบนี้เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ภายนอก แท้จริงแล้วเป็นทางเข้าไปสู่ใต้ดิน ดังนั้นจุดที่คึกคักที่แท้จริงนั้นอยู่ใต้ดิน ใต้ดินเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าตลาดสวรรค์แต่ละแห่งเสียอีก ใต้ดินถูกขุดไว้นานแล้ว มีทางเชื่อมต่อกันทั่วทุกทิศ เส้นทางใต้ดินหนาแน่นยิ่งกว่าใยแมงมุมเสียอีก คนไม่คุ้ยเคยมาที่นี่จะต้องหงทางแน่นอน
ถึงแม้ที่นี่จะเจริญคึกคักกว่าตลาดสวรรค์ แต่ก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากไม่มีกบฏระเบียบควบคุม ที่นี่จึงมั่วมากการหลอกต้มตุ๋นซื้อขายเป็นเรื่องปกติมาก ดังนั้นถ้าอยากจะทำการค้าแบบปกติ ก็ไม่อยู่ที่ตลาดสวรรค์จะเหมาะสมกว่า
และแน่นอน ทุกแห่งในใต้หล้านี้ มิมีที่ใดไม่ใช่ผืนดินของราชัน ที่นี่ยังเป็นอาณาเขตที่อยู่ในการควบคุมของตำหนักสวรรค์ ตลาดผีถูกควบคุมโดยแม่ทัพภาพคนหนึ่งของตำหนักสวรรค์ เป็นไปไม่ได้ที่ตำหนักสวรรค์จะปล่อยละเลยตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า
เพียงแต่แม่ทัพภาคที่มาคุมรักษาการณ์ที่นี่จะต้องอ่านสถานการณ์ออก จะใช้อำนาจมากเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ใช่ปัญหาว่าจะควบคุมได้หรือไม่ได้ แต่จะโดนมือมืดวางแผนกำจัดทิ้ง สถานที่นี้มีคนร้อยพ่อพันแม่ มีคนดีและคนเลวอยู่ปะปนกัน คนจากอำนาจฝ่ายต่างๆ ล้วนมีหมด คิดว่าจะไม่มีคนกล้าฆ่าเจ้างั้นเหรอ?
ตำหนักสวรรค์เองก็มีศักยภาพที่จะควบคุมให้มากกว่าเดิม แต่ถ้าเจ้าให้อำนาจมากอื่น คนอื่นก็จะเลิกเล่นกับเจ้าทันที จะย้ายสถานที่ทันที ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล นักพรตประเภทต่างๆ มีเยอะเกินไป เยอะจนนับไม่หมด ของบางอย่างที่อยู่ในด้านมืด ต่อให้ตำหนักสวรรค์จะมีอำนาจมากขนาดไหน แต่ก็ไม่มีทางปราบให้หมดได้อยู่ดี ในเมื่ออุดไม่ได้ ก็ทำได้เพียงขุดลอกให้ไหลผ่าน การผูกมัดจิตใจคนเอาไว้ด้วยกันแบบนี้ อย่างน้อยก็ยังควบคุมได้ในระดับหนึ่ง
ดังนั้นการเป็นแม่ทัพภาคของที่นี่จึงเป็นแค่ฉากหน้าเฉยๆ ถ้าเจ้าสบายดีข้าสบายดี ทุกคนก็สบายดี ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือแม่ทัพภาคของที่นี่เป็นขุนนางที่เก็บภาษี แต่ภาษีของที่นี่ก็ไม่ได้เก็บง่ายขนาดนั้น ร้านที่ค้าขายกันแบบเปิดเผยยังคุยง่ายหน่อย แต่ร้านที่ขายกันลับๆ ไม่มีใครจ่ายภาษี และในตลาดผีก็ดันมีการซื้อขายกันอย่างลับๆ เยอะมาก
พวกเหมียวอี้ปลอมตัวแล้ว เหาะไปเหยียบลงในแอ่งกระทะ หาร้านค้าที่เงียบเหงาร้านหนึ่งแล้วเดินเข้าไป
พนักงานคนหนึ่งนอนหมอบอยู่บนโต๊ะคิดเงิน พอลืมตามองพวกเขา ก็พูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “ทางลงอยู่ในห้องด้านหลัง ค่าผ่านทางหนึ่งร้อยผลึกแดง”
หยางเจาชิงก้าวขึ้นมาถามว่า “ไม่ผ่านทางหรอก แค่อยากจะถามสักหน่อย ว่าโรงเตี๊ยม ‘มีหนึ่งห้อง’ ไปยังไง?”
“ถามอย่างเหรอ!” พยักหน้ายื่นมือออกมา “ราคาเท่ากัน หนึ่งร้อยผลึกแดง”
หยางเจาชิงหันกลับมามองแวบหนึ่ง พอเห็นเหมียวอี้ไม่ว่าอะไร ถึงได้โยนหนึ่งร้อยผลึกแดงไว้บนโต๊ะคิดเงิน
พนักงานโบกมือกวาดเงิน แล้วชี้ไปที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ “ไปทางนั้นประมาณยี่สิบลี้ จะเห็นป้ายโรงตี๊ยม ‘มีหนึ่งห้อง’ ไปหาเอาเอง” จากนั้นพนักงานก็ขี้เกียจจะสนใจแล้ว
เหมียวอี้เลิกคิ้ว ส่งสายตาให้แล้วหันตัวเดินออกไป
จ้านหรูอี้เพิงจะหันตัวเดินตาม แล้วจู่ๆ ก็หันหน้ากลับไป ดวงตาเบิกกว้าง นางพูดไม่ออกมาก
จู่ๆ เหยียนซิวกับหยางเจาชิงก็ลงมือพร้อมกัน คนหนึ่งเอามือปิดปากพนักงาน ส่วนอีกคนเอามีดปาดคอ ฆ่าพนักงานคนนั้นทิ้งเสียเลย จากนั้นก็ปล้นของจนหมดตัว แล้วรีบออกจากร้านมา เดินตามหลังเหมียวอี้แล้ว
…………………………
[1] 化干戈为玉帛 เปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม อุปมาว่า เปลี่ยนสงครามการต่อสู้ให้เป็นสันติภาพ