บทที่ 1408 ตลาดผี (2) Ink Stone_Fantasy
จ้านหรูอี้กับลูกน้องสองคนยังยืนอึ้งอยู่ในร้าน ไม่เข้าใจสถานการณ์นิดหน่อย จนกระทั่งกลิ่นคาวเลือดโผเข้าจมูก ทั้งสามถึงได้สติกลับมา แล้วรีบเดินออกไป จะได้ไม่ซวยติดร่างแหไปด้วย
พอตามเหมียวอี้ทัน จ้านหรูอี้ก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ทำไมต้องฆ่าเขา?”
“พนักงานที่ตลาดมืดกระจอกๆ คนหนึ่ง บังอาจมาขูดรีดเงินกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์” เหมียวอี้พูดเหยียด
“เจ้าไม่กลัวจะเกิดเรื่องขึ้นเหรอ?” จ้านหรูอี้ถาม
หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ทำไปเพราะอยากให้เกิดเรื่องขึ้นล้วนๆ พนักงานเล็กๆ อ่านสถานการณ์ไม่ออก เลยถือโอกาสจัดการสักหน่อย เขาเองก็ไม่อยากทำงานถวายชีวิตตำหนักสวรรค์ มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่อยากมาทำภารกิจบ้าบอในสถานที่บ้าๆ แบบนี้ ถ้าก่อเรื่องแล้วโดนเปิดโปงฐานะ เขาจะได้ย้อนกลับจวนและไม่ต้องยุ่งกับเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะไม่สะดวกจะให้ตำหนักสวรรค์เห็นว่าเขาขัดขืนภารกิจในครั้งนี้อย่างโจ่งแจ้งเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่าตำหนักสวรรค์จะมองออกได้ชัดเจนเกินไปว่าเขากำลังต่อต้านการทำภารกิจในครั้งนี้ เขาคงไม่ได้ฆ่าพนักงานคนเดียวหรอก แต่จะพังร้านทิ้งเสียเลย
ดังนั้นเหมียวอี้จึงกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าก็จะเปิดเผยตัวตนออกมา ดูซิว่าใครจะกล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้ง”
จ้านหรูอี้พูดไม่ออก หันกลับไปมองบนถนนที่เงียบเหงาอีกครั้ง ในร้านนั้นมีพนักงานอยู่แค่คนเดียว พนักงานของร้านนั้นก็คงนึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาลงมือกับพนักงานที่ไร้ประโยชน์อย่างตน
พอเดินผ่านไปหลายถนน เพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่จะตกเป็นผู้ต้องสงสัย พวกเขาถึงได้เหาะขึ้นมา เหาะออกไปข้างนอกประมาณยี่สิบลี้ และไม่นานก็เจอป้ายที่เขียนว่า ‘โรงเตี๊ยมมีห้องเดียว’ พวกเขาเหยียบลงตรงหน้าประตูโรงเตี๊ยม แล้วเดินเข้าไปโดยตรง
ตรงหน้าโต๊ะคิดเงินก็มีพนักงานที่นั่งอย่างเกียจคร้านอยู่คนหนึ่งเช่นกัน หยางเจาชิงก้าวขึ้นไปเคาะโต๊ะสองสามที แล้วถามว่า “ที่นี่มีโรงเตี๊ยมแค่ห้องเดียวใช่มั้ย?”
พอพนักงานได้ยินคำถาม ก็ตอบอย่างกระปรี้กระเปร่าทันที “หนึ่งห้องก็สามารถเปลี่ยนเป็นหลายห้องได้”
เมื่อสัญญาณลับตรงกันแล้ว หยางเจาชิงก็ลักแผ่นหยกออกไปแผ่นหนึ่ง
หลังจากพนักงานถือแผ่นหยกขึ้นมาอ่าน ก็ลุกขึ้นยืนแล้วพยักหน้า เดินไปแหวกม่านที่ประตูด้านข้างออกพร้อมบอกว่า “ทุกท่านเชิญตามข้ามา”
พวกเขาเดินตามไป เดินตามทางเดินไปจนถึงห้องรับแขกที่อยู่ด้านในสุด พอพนักงานเปิดประตู ก็พบว่ามันไม่ใช่ห้อง แต่เป็นบันไดที่ทอดลึกลงไปด้านล่าง พอเดินตามบันไดที่คดเดี้ยวลงไปหลายจั้งก็เจอทางแยก พวกเขาเลี้ยวไปทางด้านซ้าย แล้วเดินลึกลงต่อไป
ตรงประตูทางแยกมีนักพรตเฝ้าอยู่สองคน พนักงานคนหนึ่งถ่ายทอดเสียงบอก หลังจากส่งแผ่นหยกต่อให้แล้วก็ขอตัวกลับไป
“ตามข้ามา!” ชายวัยกลางคนที่รับช่วงต่อพาเลี้ยวไปด้านขวา แต่นักพรตอีกคนขวางพวกหยางเจาชิงเอาไว้ “ให้พวกเขาเข้าไปได้แค่สองคน พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้”
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้หันกลับมาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าให้พวกเหยียนซิว บอกใบ้ว่าให้รอก่อน
ทั้งสองคนที่เดินตามไปผ่านห้องหลายห้อง แล้วก็มาถึงห้องที่อยู่ข้างในสุด จากนั้นผู้ที่นำทางก็เคาะประตูบอก
ข้างในมีน้ำเสียงราบเรียบดังขึ้น “เข้ามา”
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้สบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นหู
ผู้นำทางผลึกประตูออก หลังจากเชิญทั้งสองเข้าไปข้างในแล้ว ก็ปิดประตูเอาไว้
พอทั้งสองเข้ามาดูข้างใน ก็ตะลึงค้างพร้อมกัน ในห้องมีคนคนหนึ่งยืนอยู่ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นบัณฑิตหน้าขาวคนก่อนหน้านี้
บัณฑิตหน้าขาวถอดหมวกออก ดึงหนังปลอมบนใบหน้าออก ถอดชุดบัณฑิตออก เผยชุดคลุมสีเทาทั้งตัว แล้วกุมหมัดคารวะให้ทั้งสองพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการใหญ่จ้าน ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ข้าน้อยคือ ผู้จัดการกู่แห่ง ‘โรงเตี๊ยมมีห้องเดียว’ ขอรับ”
จ้านหรูอี้ชมวดคิ้ว “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้จัดการ แล้วทำไมต้องอ้อมค้อมมากมายขนาดนั้น?”
“ข้างกายทั้งสองท่านมีคนเยอะขนาดนั้น เมื่ออยู่ในสถานที่แบบนี้ คนที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้ายิ่งมีน้อยเท่าไรก็ยิ่งดี ถ้ามีจุดไหนที่ล่วงเกินไปก็หวังว่าจะอภัย และหวังว่าทั้งสองจะพยายามปกปิดตัวตนให้ข้าน้อยด้วย” กู่ตัวกุ้ยยิ้มพลางอธิบาย จากนั้นยื่นมือเชิญ “เชิญผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองท่านนั่งก่อน”
เหมียวอี้และจ้านหรูอี้นั่งลง กู่ตัวกุ้ยรินน้ำชาให้ทั้งสองด้วยตัวเอง
“บอกมาเถอะ เบื้องบนให้พวกเราทำภารกิจอะไรกันแน่” จ้านหรูอี้กล่าว
กู่ตัวกุ้ยวางกาน้ำชาแล้วนั่งลง “เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับทั้งสองอยู่บ้าง ทั้งสองก็เข้าร่วมคดีที่ทะเลดาวสับสนเหมือนกัน ตอนนี้ที่ตลาดมืดมีความเคลื่อนไหวเรื่องธนูเก้าล้านคันนั่นไม่น้อย มีอำนาจหลายฝ่ายจ้องอยากได้อุปกรณ์ชุดนี้ ตอนนี้หน่วยตรวจการฝ่ายขวาได้รับคำสั่งให้สืบเรื่องนี้ หวังว่าจะพบเบาะแสที่สาวไปถึงตัวไป๋เฟิ่งหวงได้ ทว่าถึงอย่างไรคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาก็มีจำกัด เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนเข้ามาทำเรื่องนี้ ก็เลยดึงตัวคนจากหน่วยองครักษ์ซ้ายมาช่วย”
หน่วยตรวจการฝ่ายขวา? พอนึกถึงผู้พิพากษาหน้านิ่งนั่น เหมียวอี้ก็ปวดประสาทนิดหน่อย ทำไมต้องดึงตัวข้าไปด้วย ในนั้นคงจะไม่มีเหตุผลอะไรใช่มั้ย? เขาถามว่า “คนของหน่วยองครักษ์ซ้ายไม่เข้าใจการสืบคดี จะเรียกคนนอกอย่างพวกเรามาทำอะไร?”
กู่ตัวกุ้ยยิ้มพร้อมอธิบายว่า “ก็บอกแล้วว่าให้มาช่วยเหลือ ไม่ได้ต้องการให้ทั้งสองมาสืบคดี เรื่องรายละเอียดในการสืบ หน่วยตรวจการฝ่ายขวาจะจัดการเอง เพียงแต่คนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวามีจำกัด หน้าที่ของทั้งสองก็คือช่วยหน่วยตรวจการฝ่ายขวา ถ้าพบเป้าหมายที่น่าสงสัยก็ต้องจับตาดูเอาไว้ ให้กำลังพลของทั้งทั้งสองคอยดูเอาไว้ ถ้ามีเรื่องอะไรทั้งสองก็แจ้งให้คนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาออกเคลื่อนไหวได้เลย ถ้ากำลังคนยังไม่พอ ก็อาจจะต้องให้ทั้งสองโยกย้ายกำลังพลใต้บังคับบัญชามาเติมอีกที”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! เหมียวอี้โล่งอกนิดหน่อย ภารกิจหลักคือจับตาดู ไม่ใช่ต่อสู้เข่นฆ่า โอกาสมีอันตรายน้อยลงเยอะ
จ้านหรูอี้มองเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วถามอีกว่า “ทำไมต้องดึงกำลังพลของพวกเราสองคนให้มาช่วย?”
กู่ตัวกุ้ยส่ายหน้า “เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้แล้ว นี่เป็นเจตนาของเบื้องบน”
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าสาเหตุคืออะไร ว่ากันตามจริง เรื่องระหว่างเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้วุ่นวายจนโด่งดังขนาดนั้น เขาเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน จึงไม่เข้าใจว่าทำไมเบื้องบนจึงส่งศัตรูคู่นี้มาด้วยกัน
แต่ที่จริงแล้ว สาเหตุที่ดึงตัวคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายมาช่วยก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย คนระดับสูงของตำหนักสวรรค์ก็กำลังอยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้เช่นกัน กำลังคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวามีไม่พอ แต่ก็ไม่กล้าใช้งานกำลังพลท้องถิ่น การใช้งานคนของกองทัพองครักษ์นั้นเหมาะสมกว่า
และสาเหตุที่เลือกเหมียวอี้ให้มาเข้าร่วม ก็เป็นเพราะเกาก้วนเลือกเองต่อหน้าประมุขชิง สาเหตุก็เรียบง่ายมาก เพราะว่าเหมียวอี้ล่วงเกินบุคลระดับสูงมาทั้งตำหนักสวรรค์แล้ว เกาก้วนรู้สึกว่าใช้งานเหมียวอี้จะวางใจกว่า
ข้ออ้างนี้ก็สมเหตุสมผลมากเช่นกัน ถึงอย่างไรกองทัพองครักษ์ก็ไม่ใช่ที่ที่น้ำใสจนมองเห็นก้น เมื่อป่ากว้างใหญ่ไม่ว่านกอะไรก็มีทั้งนั้น ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าพวกลูกพี่ใหญ่ที่ตำหนักสวรรค์ไม่ได้ส่งคนมาแทรกซึมอยู่ในกองทัพองครักษ์ ดังนั้นการให้เหมียวอี้มาช่วยเหลือเรื่องในครั้งนี้ก็เหมาะสมกว่าจริงๆ ประมุขชิงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล เหมียวอี้ถึงได้มาเข้าร่วมได้ แต่ประมุขชิงก็เลือกอีกคนหนึ่งมาด้วย นั่นก็คือจ้านหรูอี้ ประมุขชิงต้องการให้จ้านหรูอี้เข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ แต่เกาก้วนคัดค้านเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าอำนาจที่อยู่เบื้องหลังจ้านหรูอี้จะเปิดโปงว่าหน่วยตรวจการฝ่ายขวามีสายลับอยู่ที่ตลาดผี แต่ประมุขชิงดึงดันที่จะทำแบบนี้ เกาก้วนเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพียงแต่คิดไม่ตกนิดหน่อย รู้อยู่แท้ๆ ว่าจ้านหรูอี้เป็นหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง แต่ก็ยังให้นางมาเข้าร่วมเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าประมุขชิงมีเจตนาอะไรกันแน่
สรุปก็คือเบื้องหลังมีสถานการณ์แบบนี้ ระดับของกู่ตัวกุ้ยก็ไม่ได้สูงขนาดนั้น จะไปรู้เรื่องระดับนี้ได้อย่างไร
รู้เรื่องภารกิจคร่าวๆ ชัดเจนแล้ว เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ก็มีแผนในใจแล้ว
ก่อนจะกล่าวอำลา เหมียวอี้ก็ถามเพิ่มอีกว่า “ภารกิจในครั้งนี้จะสิ้นสุดเมื่อไร? คงจะไม่ได้ให้กำลังพลหนึ่งแสนของพวกเราเป็นมังกรที่ไร้หัว[1]อยู่ตลอดหรอกใช่มั้ย”
กู่ตัวกุ้ยส่ายหน้าอีกครั้ง “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ชัดเหมือนกัน คงจะต้องดูความคืบหน้าของภารกิจกระมัง แต่พวกท่านวางใจได้ ทางหน่วยองครักษ์ซ้ายจะต้องเตรียมการอย่างเหมาะสมเรียบร้อยแน่นอน ไม่ให้พวกเจ้าห่วงหน้าพะวงหลังหรอก”
“แล้วพวกเราจะเริ่มปฏิบัติการเมื่อไร” จ้านหรูอี้ถาม
กู่ตัวกุ้ยบอกว่า “ไม่รีบหรอก พวกท่านเหมือนจะยังไม่คุ้ยเคยกับที่นี่ ให้เวลาพวกท่านทำความเข้าใจสถานการณ์ของตลาดผีสักครึ่งเดือนแล้วกัน ถือโอกาสวางกำลังพลไว้ที่ตลาดผีด้วย การวางกำลังพลที่เหมาะสมที่สุดก็คือ ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ไหนก็สามารถเรียกตัวมาประกบได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นก็ต้องให้กำลังพลของพวกเจ้าทำความคุ้นเคยกับเส้นทางของของตลาดผีให้เร็วที่สุด ถึงตอนนั้นก็ย่อมมีภารกิจให้พวกท่านเอง แต่ทั้งสองต้องจำไว้จุดหนึ่ง ต้องออกคำสั่งลงไปด้วย ว่าภารกิจในครั้งนี้เป็นความลับ”
หลังจากสอบถามและสั่งงานกันพักหนึ่ง ถึงแม้ที่นี่จะเป็นโรงเตี๊ยม แต่กู่ตัวกุ้ยกลับไม่เห็นด้วยที่ทั้งสองจะอยู่ที่นี่ กลัวว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นแล้วจะโยงถึงกันและกัน จึงให้ทั้งสองไปหาโรงเตี๊ยมข้างนอกพัก และบอกว่าค่าใช้จ่ายสำหรับที่อยู่ในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ ตำหนักสวรรค์เป็นคนออกทั้งมมด
แต่กู่ตัวกุ้ยก็มอบแผนที่ของตลาดผีชุดหนึ่งให้พวกเขา
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ออกจากห้องนี้ไปแล้ว หลังจากออกมาก็นำพวกเหยียนซิวเดินลงไปข้างล่างต่อ
ขณะที่เดินตามบันไดลงไป เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะเอามือลูบผนังที่ขุดออกมาจากใต้ดิน พบว่าเป็นแร่ธาตุที่เกิดร่วมกันของเหมืองเหรียญผลึก บนผนังมีแสงระยิบระยับเล็กน้อย ขนาดโคมไฟที่ใช้ส่องแสงก็ประหยัดไปได้แล้ว
เมื่อเดินจากโรงเตี๊ยมลึกลงมาใต้ดินหลายสิบจั้ง หลังจากพวกเขาเดินออกจากประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมที่อยู่ใต้ดิน ก็เหมือนกับได้มายังโลกอีกใบหนึ่ง
สาเหตุที่เรียกว่าตลาดผี ก็เพราะเป็นตลาดที่ไม่เจอกับแสงสว่าง การเรียกตลาดที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินว่าตลาดผีก็เป็นสิ่งที่สมชื่อแล้ว
บนถนนมีทั้งชายทั้งหญิง ผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่ คึกคักมาก แต่สวนใหญ่ปลอมตัวหรือไม่ก็ใส่หน้ากากผี แทบจะไม่มีใครอยากเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของตัวเอง พวกเหมียวอี้ก็ทำแบบนี้เช่นกัน
ถนนห่างจากข้างบนประมาณสิบจัง อยู่ในนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะกับการเหาะจริงๆ ถนนที่มีเจ็ดแปดโค้งเดิมทีก็ไม่ผ่านการวางแผนที่เป็นระเบียบอะไรอยู่แล้ว จ้านหรูอี้เงยหน้ามองเพดานที่เต็มไปด้วยทรายเปล่งแสงระยิบระยับ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ถ้าเดาไม่ผิด ตลาดผีนี้น่าจะขุดมาจาก ‘เหมืองตาย’ นะ”
เหมียวอี้พยักหน้า แสดงออกว่าเห็นด้วย
ที่เรียกว่า ‘เหมืองตาย’ ก็หมายถึงเหมืองที่ขุดจนกลวงแล้ว หรือไม่ก็เป็นแค่เหมืองที่มีแร่ธาตุที่เกิดร่วมกัน แต่กลับไม่มีแร่หลัก และถนนของตลาดผีที่อยู่ตรงหน้าก็ต่ำเตี้ยขนาดนี้ ไม่เหมือนผ่านการขุดเก็บแร่มาก่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นเหมืองตายแบบหลัง ไม่มีเหรียญผลึกโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ผลก็คือหลังจากโดนขุดแล้วก็ทำเป็นตลาดสำหรับค้าขายใต้ดิน
การใช้ประโยชน์แร่ธาตุที่เกิดร่วมกันของเหมืองเหรียญผลึกเพื่อขุดสถานที่แบบนี้ออกมาก็มีข้อดีเหมือนกัน เหมียวอี้เคยทดสอบแร่ธาตุที่เกิดร่วมกันประเภทนี้ด้วยตัวเอง มันมีความสามารถในการลดพลังโดยธรรมชาติ มีความสามารถในการต้านทานโจมตีสูงมาก สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ใต้ดินประเภทนี้ ต่อให้โดนโจมตีแต่ก็ไม่ถล่มพังง่ายๆ ถ้ามีความเสียหายก็กินพื้นที่ไม่เยอะ
ถึงแม้จะมีแสงจากธรรมชาติคอยส่องสว่าง แต่ลำแสงก็ไม่ได้สว่างและเป็นธรรมชาติ มีร้านค้าจำนวนไม่น้อยแขวนโคมไฟหลากสีไว้ตรงประตู ในร้านค้าก็มีโคมไฟส่องแสงออกมาเช่นกัน เมื่อประกอบกับแสงจากทราย ก็ทำให้โลกที่อยู่ใต้ดินมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
พวกเขาเดินอยู่บนถนน ขณะที่จดจำเส้นทางก็เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว บางครั้งก็ข้ามสะพานเพื่อข้ามแม่น้ำสายหนึ่งไป ตลาดผีที่นี่ไม่ได้มีแค่เส้นทางใต้ดินที่คดเคี้ยวเท่านั้น ทั้งยังมีแม่น้ำใต้ดินด้วย สามารถแล่นเรือได้ จากบางจุดด้านบนเพดานจะมีกระแสน้ำไหลพุ่งลงมา เนื่องจากด้านบนมีแม่น้ำสายหนึ่ง ทำให้มีพ่อค้าจำนวนไม่น้อยดึงน้ำของแม่น้ำด้านบนลงมาใช้งานในร้านค้าโดยตรง
…………………………
[1] มังกรที่ไร้หัว 群龙无首 อุปมาว่าขาดหัวหน้า